ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 152 เล่นใหญ่ถึงเพียงนี้คงไม่เหมาะกระมัง?
บทที่ 152 เล่นใหญ่ถึงเพียงนี้คงไม่เหมาะกระมัง?
เมืองฮั่วหยางที่คึกคักอยู่แล้ว กลับยิ่งร้อนระอุขึ้นไปอีก เมื่อท่านรองเจ้าเมืองหลิงเยว่ผู้มีการบำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐาน กลับมาแล้ว!
นางยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ด้วยรอยยิ้มไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
แน่นอนอยู่แล้วที่นางจะไม่มีอาการตื่นตระหนก เพราะเหล่าสมาชิกระดับหัวหน้าทหารชุดแดงยืนเรียงรายกันอยู่อีกสามแถวด้านหลัง คอยปกป้องนางอยู่ และจำนวนสมาชิกที่คอยสนับสนุนนางก็ยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ชายร่างท้วมเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ฝืนยิ้ม พลางกลอกตาไปมา ราวกับว่าเขาคิดสิ่งใดออก รอยยิ้มของผู้บำเพ็ญร่างท้วมนั้นจึงกลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง
“ดูเหมือนการเป็นรองเจ้าเมืองฮั่วหยางนอกจากจะได้ใช้หินวิญญาณแล้ว ยังมีประโยชน์อีกไม่น้อย ทั้งยังซื้อเหล่าสุนัขแดงที่จงรักภักดีไว้รับใช้ได้อีกด้วย”
หลิงเยว่ได้ยินแล้วไม่ได้รู้สึกโกรธ แต่ไม่เข้าใจว่าเขาเอาความมั่นใจมาจากที่ไหน ถึงได้กล้าด่าทหารชุดแดงในเมืองฮั่วหยางว่าเป็นทหารสุนัขแดง เขาเสียสติไปแล้วหรือ?
“อ้าว! นึกว่าใคร นั่นมันอดีตรองเจ้าเมืองจากเมืองร้างข้าง ๆ นี่เองไม่ใช่หรือ?”
หัวหน้ากองที่เจ็ดถือขวานขนาดใหญ่ฝ่าฝูงชนเข้ามา ด้านหลังมีเหล่าทหารชุดแดงตามมาอีกเป็นร้อย สมาชิกทั้งหมดก้าวเดินอย่างโอหัง ล้อมชายร่างท้วมผู้นั้นและลูกน้องของเขา
“ระวังคำพูดของเจ้าให้ดี!”
ชายร่างท้วมพลันยิ้มไม่ออก เมืองร้างอะไรกัน เมืองฮั่วหยางต่างหากที่เป็นเมืองร้าง!
“พวกขี้ขลาดราวกับสุนัขกัดไม่ปล่อย! กล้ามาดูถูกท่านรองเจ้าเมืองน้อยของเราได้อย่างไร ซ้ำยังด่ากองทหารชุดแดงเช่นนี้ ระวังไว้เถิด เจ้าอาจไม่ได้กลับออกไปอีก!”
“เจ้ากล้าขู่ข้าหรือ?”
คนทั้งสองสลับกันพูดจาด่าทออย่างหยาบคาย
ในที่สุดหลิงเยว่ก็เข้าใจสาเหตุแล้วว่าเหตุใดนางจึงโดนหางเลขไปด้วย
เมืองร้าง โอ้! นั่นคือเมืองทะเลทรายร้างที่อยู่ข้าง ๆ เมืองฮั่วหยางหรือ เดิมทีทั้งสองเมืองนี้เป็นเพื่อนบ้าน ทั้งยังมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
สภาพความเป็นอยู่และความเจริญของเมืองทะเลทรายร้างนั้น ในอดีตเมืองฮั่วหยางเทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ ทั้งสัตว์อสูร พืชสมุนไพรวิญญาณวิเศษ และอื่น ๆ อีกมากมายที่มาจากเมืองฮั่วหยางมักจะขายให้เมืองทะเลทรายร้างในราคาที่ถูก และเมืองทะเลทรายร้างก็จะส่งนักโทษมาที่เมืองฮั่วหยางให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน
ความร่วมมือนี้กินเวลามาหลายพันปีแล้ว แต่เพราะการปรากฏตัวของหลิงเยว่ กฎนั้นจึงถูกทำลายโดยไม่ตั้งใจ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เมืองฮั่วหยางได้ใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์สัตว์เทพจุติ เขตแดนลับสัตว์อสูร และอาหารวิญญาณพิเศษ จึงทำให้เมืองฮั่วหยางเติบโตขึ้นเป็นอย่างยิ่ง!
ด้วยเหตุนี้ ซูซวงเลยยกเลิกความร่วมมือกับเมืองทะเลทรายร้างฝ่ายเดียว ไม่ยอมเป็นคนโง่อีกต่อไป และคนโง่เขลาเช่นนางก็ฉวยโอกาสแย่งชิงผู้คนส่วนใหญ่ของเมืองทะเลทรายร้างมาด้วยเช่นกัน
และเนื่องจากการปรากฏตัวของเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีก ปรมาจารย์ด้านโอสถของเมืองทะเลทรายร้างเลยย้ายมาที่เมืองฮั่วหยางด้วย เมืองทะเลทรายร้างที่เคยรุ่งเรืองด้วยโอสถ สัตว์อสูร และพืชสมุนไพรวิญญาณราคาถูกที่ถูกส่งมาจากเมืองฮั่วหยาง เมื่อขาดสิ่งเหล่านี้ไปจะอยู่รอดได้อย่างไรกัน?
นอกจากผู้คนและกองกำลังพิทักษ์ เมืองทะเลทรายร้างในยามนี้ได้กลายเป็นเมืองร้างสมชื่อไปเสียแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะไม่ให้รองเจ้าเมืองทะเลทรายร้างโกรธได้อย่างไร?
หากท่านลองอยู่ในสถานการณ์เช่นข้า… ท่านก็คงต้องโกรธเช่นกัน
ทว่าผู้ที่บอกเลิกสัญญามิใช่ท่านซูซวงหรือ แล้วท่านจะโทษนางเช่นนี้ได้อย่างไร?
เพียงเพราะนางเป็นเพียงผู้สร้างรากฐานเท่านั้นหรือ?
สีหน้าหลิงเยว่ไม่สู้ดีนัก เดิมทีนางเป็นผู้กลั่นลมปราณตัวน้อย ๆ พอพัฒนาฝีมือขึ้นมากลายเป็นขอบเขตสร้างรากฐานแล้ว ยังถือเป็นผู้สร้างรากฐานที่เปราะบางอยู่อีกหรือ…
ผู้คนและสัตว์อสูรในโลกนักบำเพ็ญเซียนนี้ ไม่รู้จักมารยาทกันบ้างหรืออย่างไร?
รองเจ้าเมืองทะเลทรายร้างตะโกนโวยวายอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังสนั่น
“ข้าในฐานะตัวแทนของคนเมืองทะเลทรายร้าง ขอประกาศสงครามต่อเมืองฮั่วหยาง! เมืองที่พ่ายแพ้จะต้องตกเป็นของเมืองที่ชนะ ข้าขอท้าทายรองเจ้าเมืองหลิง เจ้ากล้ารับคำท้านี้หรือไม่!”
“ข้ารับคำท้า เจ้าเมืองคนนี้จะจัดการกับคำท้าทายนี้เอง! สามวันให้หลัง กองทัพทหารชุดแดงจะบดขยี้เมืองทะเลทรายร้างจนราบเป็นหน้ากลอง!”
ท่านเจ้าเมืองซูซวงตอบรับคำท้าอย่างกล้าหาญ
นาง… เล่นใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“เมื่อถึงเวลา ข้าหวังว่าท่านรองเจ้าเมืองหลิงแห่งเมืองฮั่วหยางจะไม่ขลาดกลัวการต่อสู้”
รองเจ้าเมืองทะเลทรายร้างจ้องมองหลิงเยว่ก่อนจากไป
ว่าอย่างไรนะ? นางเป็นเพียงผู้สร้างรากฐานเท่านั้น จะให้นางออกรบด้วยหรือ!?
หลิงเยว่รู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบต่างจ้องเล่นงานนาง และส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่นางยังไม่รู้เรื่องราวเสียด้วยซ้ำ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับราชานิกายอสุภะสองตนนั้น และเถาวัลย์วิญญาณกึ่งเทวะที่ซุ่มโจมตีนาง
หลิงเยว่ต้องการค้นหาสาเหตุยิ่งนัก แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสใด รวมถึงร่างกายพิเศษของนางด้วยเช่นกัน เดิมทีเจ้าของร่างเป็นผู้ที่มีร่างกายเช่นนี้หรือไม่? หรือนางมาที่นี่แล้วจึงเกิดสิ่งแปลกประหลาดเหล่านี้ขึ้น
ทั้งยังมีระบบที่น่าแปลกยิ่งนัก
ปริศนาต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้หลิงเยว่คิดไม่ตก ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน
ซูซวงตบบ่านางเบา ๆ แต่หลิงเยว่กลับไม่มีทีท่าตอบสนองแต่อย่างใด
“เจ้าตกใจหรือ?”
“ท่านต่างหากที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก” หลิงเยว่พยายามไม่กลอกตาใส่ซูซวง “ท่านคงไม่คิดจะให้ข้าไปสู้รบจริง ๆ ใช่หรือไม่?”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ไปเล่า?”
ในฐานะรองเจ้าเมือง หากไม่ไปก็คงจะดูไม่ดี
เอาเถิดไปก็ไป เมื่อถึงเวลานั้นนางคงต้องจ้างผู้คุ้มกันไปด้วยอีกสักสองสามคน
“ศิษย์ห้า เจ้าจะไปที่ใดอีก?”
ชิงยวนคว้าแขนหลิงเยว่ที่กำลังจะเดินออกไป ครั้งนี้นางไม่ยอมให้หลิงเยว่หาข้ออ้างไม่เรียนการกลั่นโอสถอีกแล้ว
“ท่านอาจารย์ ข้าเพียงอยากไปหาของกินสักหน่อยเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่ถูกจับยกคอเสื้อลากไปอย่างทุลักทุเล ทำให้นางรู้สึกไร้ซึ่งความหวังในชีวิตเสียจริง
“หากเจ้าสามารถกลั่นโอสถฟื้นปราณระดับต่ำได้สำเร็จ ข้าถึงจะปล่อยเจ้าไป!”
ชิงยวนโยนตัวหลิงเยว่เข้าไปในห้องกลั่นโอสถ แล้วปิดประตูอย่างแน่นหนา จากนั้นผู้เป็นอาจารย์ก็ยืนพิงประตูพร้อมกับเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะสั่งให้หลิงเยว่เริ่มทำงาน
ก็แค่กลั่นโอสถไม่ใช่หรือ?
เทียบกับตอนที่หลิงเยว่ใช้แก่นปราณอัคคีย่างเนื้อแล้วนั้นแทบไม่ต่างกัน ช่างดูง่ายดายสำหรับนางยิ่งนัก!
หลิงเยว่ที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจพลันหย่อนเปลวไฟลงไปในเตากลั่น นางพยายามนึกย้อนไปถึงขั้นตอนการกลั่นโอสถฟื้นปราณ จากนั้นก็ใส่สมุนไพรวิญญาณที่ต้องการลงไปในเตาตามขั้นตอน แล้วปิดฝาเตา พร้อมกับนั่งลงขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้า
ชิงยวนพยักหน้าเล็กน้อย ขั้นตอนที่หลิงเยว่ทำนั้นไม่มีผิดพลาด ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนนางคงจะเคยอ่านตำรากลั่นโอสถอยู่บ้าง
หลิงเยว่ควบคุมเปลวไฟให้โอบล้อมสมุนไพรวิญญาณแล้วเผาไหม้ เพื่อดึงเอาสรรพคุณออกมาจากสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้น จนกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพรลอยออกมาจากเตากลั่นโอสถ
ชิงยวนกำลังจะพูดเตือน แต่กลิ่นโอสถนั้นพลันหายไปอย่างรวดเร็ว
หลิงเยว่ใช้พลังวิญญาณปิดกลั้นกลิ่นโอสถไว้ได้ทันเวลา จำต้องทำขั้นตอนนี้เพื่อป้องกันไม่ให้สรรพคุณของโอสถกระจายออกไป
ดี สมกับเป็นลูกศิษย์ของนาง แค่เพิ่งเริ่มก็ทำได้ดีเพียงนี้แล้ว ชิงยวนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม
สมุนไพรวิญญาณกว่าสิบหกชนิดผ่านการกลั่นของแก่นปราณอัคคีอ่อน ๆ ก็กลายเป็นของเหลวสิบหกหยดที่มีสีสันต่างกันในเวลาอันรวดเร็ว ขั้นตอนนี้หลิงเยว่สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว ที่เหลือก็เพียงแค่ต้องรวมเข้าด้วยกันแล้วใช้แก่นปราณอัคคีกลั่นต่อไป…
“ไม่ดีแล้ว!”
ชิงยวนคว้าหลิงเยว่ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการกลั่นโอสถแล้ววิ่งออกไปทันที
ตู้ม!
ห้องกลั่นโอสถพังทลายลงทันทีที่ทั้งสองคนออกไป บัดนี้ห้องกลั่นโอสถกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง เหลือเพียงเตากลั่นโอสถที่ไม่รู้ว่าฝาปลิวหายไปอยู่ที่ใดแล้ว
โครม!
ฝาเตาที่ถูกแรงระเบิดเหวี่ยงขึ้นสู่ท้องฟ้า ตกลงมาอย่างรุนแรงจนทะลุหลังคาบ้านฝั่งตรงข้าม
กลิ่นสมุนไพรไหม้ลอยคลุ้งไปในอากาศ
ว่านอวี้เฟิงมองดูหลังคาที่ทะลุเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่บนศีรษะ และฝาเตากลั่นโอสถที่วางทับอยู่บนเตากลั่นโอสถของเขา แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เขาทำคือวิ่งหนีในทันที
แต่น่าเสียดายที่ยังช้าไปก้าวหนึ่ง
เสียงระเบิดดังสนั่นอีกครั้ง ว่านอวี้เฟิงที่ไร้เดียงสาถูกแรงระเบิดของเปลวไฟอัดจนกระเด็นออกมา
บ้านที่อยู่ด้านหลังถูกแรงระเบิดทำลายราบเป็นหน้ากลอง เตาสำหรับกลั่นโอสถได้พุ่งขึ้นไปแล้วตกลงมาในสวนจนกลายเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่
หลิงเยว่ “…”
นางไม่คิดว่าการกลั่นโอสถจะเป็นเรื่องอันตรายถึงเพียงนี้
ว่านอวี้เฟิงในตอนนี้ศีรษะเต็มไปด้วยรอยดำเขียวและผมที่ฟูฟ่องจากการระเบิด เขาชี้ไปทางหลิงเยว่ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ด้วยมืออันสั่นเทา
“ศิษย์น้องห้า เจ้าอยากจะ… ฆ่าข้าหรือ?”
“มันเป็นอุบัติเหตุเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่ฝืนยิ้มแล้วประคองตัวว่านอวี้เฟิงที่ดูน่าสงสารขึ้นมา นางพยายามอย่างมากในการกลั้นหัวเราะ
สภาพของศิษย์พี่รองผู้โชคร้ายของนางในตอนนี้ดูน่าขันยิ่งนัก!