ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 155 โปรดใช้หินวิญญาณทุบข้าให้ตายทีเถิด!
บทที่ 155 โปรดใช้หินวิญญาณทุบข้าให้ตายทีเถิด!
ท่ามกลางเสียงร้องไห้คร่ำครวญของวิญญาณผู้พิทักษ์ เหล่าผู้คนต่างพากันกินอาหารบนโต๊ะซึ่งเคยเป็นวังของพี่ชายนางจนหมดเกลี้ยง แม้กระทั่งน้ำแกงก็ยังถูกนำมาคลุกกับข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย
ซูซวงที่ตามมาทีหลังเหลือบมองโต๊ะว่างเปล่าด้วยความเสียดาย แล้วหันไปหาหลิงเยว่ “ได้ยินมาว่า… เถาจวงมอบจดหมายเชิญให้เจ้าแล้ว?”
ข่าวแพร่ไปเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
หลิงเยว่ลูบท้องที่กินจนแน่นแล้วตอบว่า “มีคนมอบจดหมายเชิญให้ข้าจริง แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นเถาจวงที่ท่านกล่าวถึงหรือไม่?”
กล่าวจบหลิงเยว่ก็หยิบจดหมายเชิญออกมา
ชิงยวนรีบคว้าจดหมายเชิญมาอ่าน สีหน้าของนางยากที่จะตีความได้ เมื่อเห็นดังนั้นซูซวงก็รีบคว้าจดหมายไปอ่านต่อ เพียงครู่เดียวใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกับชิงยวน
“เจ้าคิดเช่นไร?” ชิงยวนถาม
หลิงเยว่ตอบตกลงไปโดยไม่ลังเล ความจริงแล้วนางอยากไปดูสถานการณ์ก่อนค่อยตัดสินใจ… แต่เมื่อภารกิจออกมาเช่นนี้แล้ว จึงไม่สามารถตัดสินใจเองได้ เพียงย้ายไปอยู่ที่อื่นสามปี เหตุใดจึงเป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้?
นางสามารถอยู่ได้อย่างแน่นอน!
สำหรับการอยู่ตัวคนเดียวเป็นเวลายี่สิบถึงสามสิบปีนั้น หลิงเยว่ลืมมันไปแล้ว ส่วนการบำเพ็ญเพียรนั้น… ต้องค่อยเป็นค่อยไป ในเวลานี้นางยังเยาว์วัย เพียงหลบซ่อนอยู่สักร้อยปีหรืออีกสักพันปี นางย่อมกลายเป็นผู้ที่น่าเกรงขามได้อย่างแน่นอน!
ตราบใดที่ไม่ถูกคนที่อยู่เบื้องหลังของราชานิกายอสุภะค้นพบเสียก่อน
“นับเป็นการฝึกฝนที่ดี แต่ก่อนไปเจ้าต้องกลั่นโอสถฟื้นปราณให้ได้เสียก่อน”
ชิงยวนยังคงกังวลใจกับเรื่องที่ลูกศิษย์น้อยระเบิดเตากลั่นโอสถไป ทั้งที่ขั้นตอนไม่ผิดพลาด แล้วเหตุใดเตาถึงระเบิดในขั้นตอนสุดท้ายได้เล่า
“พรุ่งนี้ต้องไปที่เมืองทะเลทรายร้าง รอจนกว่าจะยึดเมืองนั้นได้แล้วค่อยไปสำนักเหอตงเถิด”
ซูซวงไม่อยากให้หลิงเยว่ไป ให้นางอยู่เป็นเทพธิดาประจำเมืองนี้ไม่ดีกว่าหรือ ตั้งแต่ที่นางมา เมืองฮั่วหยางก็เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มต้นจากแผนสร้างเมืองอาหารวิญญาณที่ใจกล้าบ้าบิ่นของหลิงเยว่ แค่คิดย้อนกลับไปก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว
จริงอยู่ที่คนหนุ่มสาวมีข้อดีคือกล้าคิดกล้าทำ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลิงเยว่นั้นโชคดีไม่น้อย หรือไม่นางก็อาจรู้ล่วงหน้าว่าจะมีสัตว์เทพจุติและเขตแดนลับสัตว์อสูรปรากฏขึ้นที่เมืองฮั่วหยาง
มิฉะนั้น ทุกอย่างมันก็บังเอิญเกินไปแล้ว
หลิงเยว่พูดไม่ออก ไม่รู้ว่าเหตุใดซูซวงถึงได้ยืนกรานจะให้นางผู้อยู่เพียงขอบเขตสร้างรากฐานอันน้อยนิดไปออกรบกับเมืองข้าง ๆ
ทั้งที่ในใจของซูซวง เมืองฮั่วหยางนั้นย่อมไม่พ่ายแพ้อยู่แล้ว ทั้งยังมีกองทัพทหารชุดแดงร้อยกว่ากองที่แข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่เมืองยากจนแห่งนี้ถูกฟื้นฟูขึ้นมา ก็มีแต่ผู้แข็งแกร่งและกลุ่มนักล่าสัตว์อสูรเข้ามาสมทบอีกจำนวนไม่น้อย การที่หลิงเยว่จะไปหรือไม่ไปรบนั้นย่อมไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว
การพูดคุยของทั้งสามคนนั้น คนอื่นไม่กล้าเข้าไปแทรก ได้แต่นั่งฟังกันอยู่เงียบ ๆ ส่วนหัวหน้าตะขาบมรกตที่ทนฟังจนรู้สึกหงุดหงิดก็เตรียมลุกขึ้นจะไปหาอะไรกินที่อื่นต่อ หลิงเยว่จึงรีบคว้าหัวหน้าตะขาบมรกตเอาไว้ เขากินอิ่มแล้วจะไม่รับผิดชอบอย่างนั้นหรือ?
“หัวหน้าตะขาบมรกต เจ้ากินอิ่มอร่อยดีหรือไม่?”
“ก็พอใช้ได้” หัวหน้าตะขาบมรกตพยายามที่จะไม่เรอออกมาพลางกล่าวอย่างสำรวม “พรุ่งนี้ข้าจะไปเมืองทะเลทรายร้างกับเจ้าสักครั้งก็ได้”
“ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง” หลิงเยว่กับหัวหน้าตะขาบมรกตออกห่างจากผู้คนอีกครั้ง แล้วไปกระซิบกระซาบกันที่มุมหนึ่ง
คนอื่น ๆ พยายามตั้งใจฟัง แต่กลับพบว่าหัวหน้าตะขาบมรกตได้สร้างกำแพงกั้นเสียงไว้ ทำให้แม้แต่เหล่าปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับชิงยวนและซูซวงก็ไม่สามารถแอบฟังได้
เมื่อได้ยินว่าหลิงเยว่ต้องการเดินทางไปยังสำนักเหอตง โม่จวินเจ๋อเดิมทีตั้งใจจะขอไปด้วย แต่สถานที่นั้นเปรียบเสมือนดินแดนของนักกลั่นโอสถ แม้แต่เขตแดนลับที่ปรากฏขึ้นก็ยังเกี่ยวข้องกับการกลั่นโอสถเช่นกัน ทักษะทั้งสามของเขาล้วนไม่เกี่ยวข้องกับการกลั่นโอสถเลย การไปที่นั่นย่อมไม่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาของตน
โม่จวินเจ๋อนึกเสียดายขึ้นมา
ส่วนติงหลิวหลิ่วและว่านอวี้เฟิง ตอนนี้พวกเขาติดหนี้หลิงเยว่จำนวนมหาศาล จำเป็นต้องรีบเร่งกลั่นโอสถเพื่อชดใช้หนี้ การจะไปกับศิษย์น้องห้านั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ทั้งคู่จึงรู้สึกราวกับถูกฉุดไว้ด้วยหนี้สองแสนล้านนั่นเสียแล้ว
แต่เมื่อนึกถึงเหล่าตะขาบมรกตทั้งสามตัวที่ยังอยู่ในช่วงแปลงร่าง โดยเฉพาะหัวหน้าตะขาบมรกต แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ แต่พวกเขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากกลั่นโอสถออกมาแล้ว จำนวนการผลิตและคุณภาพก็สูงขึ้นเป็นอย่างยิ่ง หากลองเติมของล้ำค่าอย่างปี้สุ่ยเย่ลงไปด้วย…
จะชดใช้หินวิญญาณสองแสนล้านก้อนนี้ก็คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มแล้ว!
แม้บรรยากาศจะดูกลมเกลียวกันสักเพียงใด แต่ในมุมหนึ่งหัวหน้าตะขาบมรกตนั้นกำลังโกรธจนตัวพอง
“เจ้าคิดจะส่งเหล่าตะขาบมรกตลูกหลานของข้าไปจนหมดสิ้นเลยหรือ?!”
“อย่าโกรธเลย เพียงตัวเดียวเท่านั้น!” หลิงเยว่จำใจยื่นขวดแก้วเล็ก ๆ ที่บรรจุโอสถแปลงร่างระดับเทพให้หัวหน้าตะขาบมรกตด้วยความเศร้าใจ หินวิญญาณกว่าหกแสนล้านที่อาจารย์ของนางให้มานั้น หลังจากใช้หนี้เสร็จ นางก็แลกโอสถเพิ่มอีกหนึ่งเม็ด ตอนนี้เหลือค่าพลังวิญญาณเพียงแค่หลักพัน จะไม่ให้นางเศร้าใจได้อย่างไร?
สุดท้ายก็กลับมาเป็นยาจกอีกครั้งแล้ว
สิ้นเปลืองค่าพลังวิญญาณมากมายถึงเพียงนี้ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้แม้แต่ตะขาบมรกตสักตัว กลับกลายเป็นคนหาสิ่งของให้ผู้อื่นเสียหมด
จริงอยู่ที่นางจะได้กำไรมหาศาล แต่นางยังไม่ได้เห็นหินวิญญาณเลยสักก้อนไม่ใช่หรือ?
หัวหน้าตะขาบมรกตรีบคว้าขวดโอสถไปตรวจสอบอย่างรวดเร็ว แล้วมันก็หัวเราะชอบใจ ในไม่ช้าน้องชายของมันก็จะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว
“ถือเป็นตัวสุดท้ายเท่านั้น เจ้ายังติดหนี้โอสถอีกหนึ่งเม็ด ข้าจะจำเอาไว้!”
แม้กระบวนการจะถือว่าไม่ราบรื่นนัก แต่ผลลัพธ์ก็ยังถือว่าน่าพอใจ แต่ว่า… เหตุใดตะขาบมรกตตัวที่เจ็ดถึงดูขี้อายและหวาดกลัวผู้คนเช่นนี้เล่า
หลิงเยว่มองเจ้าตะขาบมรกตตัวที่เจ็ดที่หน้าแดงด้วยความประหลาดใจ
“เจ้านั่นค่อนข้างขี้อาย” หัวหน้าตะขาบมรกตเม้มปาก “แล้วบอกอาจารย์ของเจ้าด้วยว่า อย่าหวังให้เจ้าเจ็ดออกหน้าต่อสู้แทน เพราะมันขี้ขลาดนัก ทั้งยังหลบหนีได้อย่างยอดเยี่ยมอีกต่างหาก”
ตะขาบมรกตตัวที่เจ็ดหน้าแดง พลางจ้องมองหัวหน้าตะขาบมรกตด้วยความโกรธ
“ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย!”
หลิงเยว่ส่งเจ้าตะขาบมรกตตัวที่เจ็ดให้กับชิงยวน เจ้าเจ็ดยิ่งมีสีหน้าแดงก่ำเข้าไปใหญ่ แววตาน้อย ๆ ของมันฉายแววหวาดกลัวจนไม่กล้าสบตาชิงยวน ทว่าร่างกายของมันซื่อสัตย์ยิ่งนักพลางรัดข้อแขนของชิงยวนแน่นขึ้น
ชิงยวนลูบหัวน้อย ๆ ของเจ้าตะขาบตัวที่เจ็ดจนแทบวางไม่ลง
“มันจะแปลงร่างเมื่อใด?”
หัวหน้าตะขาบมรกตจะบอกได้หรือไม่ว่าเจ้าตะขาบมรกตตัวที่เจ็ดนั้นผ่านพ้นการแปลงร่างมาแล้ว?
ย่อมบอกไม่ได้ ในเวลานี้สมควรบ่ายเบี่ยงไปก่อน เพราะโอสถแปลงร่างที่อยู่ในมือหัวหน้าตะขาบมรกตนั้นล้ำค่ายิ่ง มันขอเก็บไว้ก่อนชั่วคราวแล้วกัน
เวลาหนึ่งวันนั้นผ่านพ้นไปด้วยการกินดื่มและเที่ยวเล่น เช้าวันต่อมาขณะที่หลิงเยว่กำลังจะระเบิดเตากลั่นโอสถฟื้นปราณเป็นครั้งที่สาม นางก็ได้รับแจ้งว่าต้องขึ้นไปยังเมืองทะเลทรายร้าง
หลิงเยว่อยากร้องไห้เสียจริง
นอกจากกลั่นโอสถไม่สำเร็จ แล้วยังต้องไป… ดูผู้คนต่อสู้ฆ่าฟันกันอีกหรือ
“ศิษย์น้องห้า!”
ผู่ตานรีบเข้ามาขวางทางหลิงเยว่ที่กำลังจะพาเจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตออกไป ข้างกายนางยังมีโม่จวินเจ๋อและวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยอีกด้วย เพียงเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับการปกป้องชีวิตแล้ว
ผู่ตานเปิดแหวนเก็บของออกมา จากนั้นหินวิญญาณจำนวนมหาศาลก็ไหลทะลักออกมากองท่วมตัวหลิงเยว่และคนอื่น ๆ จนศีรษะของพวกเขาแทบจะจมมิดไปใต้กองหินวิญญาณแล้ว
หินวิญญาณเต็มห้องสะท้อนแสงแดดสว่างจ้าทำให้หลิงเยว่ตาพร่ามัว
“เจ้าขนเอาสมบัติทั้งตระกูลผู่มาเลยหรือ?” โม่จวินเจ๋อพยุงหลิงเยว่ที่ตาเบิกกว้างตกตะลึงอยู่กับจำนวนหินวิญญาณที่มากมายตรงหน้าของนาง
“ตระกูลผู่ไม่ได้ยากจนถึงเพียงนั้นเสียหน่อย ข้าแค่เอามาเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น”
ผู่ตานเอามือไพล่หลังพลางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ราวกับเตรียมรับคำสรรเสริญจากหลิงเยว่ ถึงแม้ว่าตอนนี้นางจะดูคล้ายกับคนโง่เขลา ซ้ำยังมีคราบน้ำลายติดอยู่ที่มุมปาก นั่นทำให้เขามีความสุขยิ่งนัก
“โอ้โห! ศิษย์พี่สี่ช่างร่ำรวยนัก!”
หากรู้เช่นนี้ตอนแรกน่าจะขอเพิ่มอีกสักหลายแสนล้านก็คงจะดี
หลิงเยว่เอาใบหน้าซุกเข้าไปในกองหินวิญญาณแล้วหลับตาลงอย่างมีความสุข นี่เรียกว่าอย่างไรดี ช่างเป็นความพลิกผันที่ไม่คาดคิดเสียจริง!
เดิมทีหลิงเยว่ยากจนนัก เหลือค่าพลังวิญญาณเพียงหลักพัน แต่บัดนี้กลับเพิ่มขึ้นถึงสองหมื่นล้าน ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว
“ท่านรองเจ้าเมือง รีบหน่อยเถิด!”
คนรับใช้ของซูชวงที่อยู่หน้าประตูคอยเร่งเร้า เหล่าผู้คนพร้อมออกเดินทางแล้ว รอเพียงท่านรองเจ้าเมืองน้อยผู้นี้อยู่
พวกเขาพยายามเงี่ยหูฟัง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงใดมาจากด้านในเลย
หรือว่าท่านรองเจ้าเมืองน้อยของพวกเขาจะขี้ขลาดและหนีไปจริง ๆ อย่างที่รองเจ้าเมืองทะเลทรายร้างเคยพูดไว้?
เขายื่นมือออกไปหวังจะพังประตู แต่บานประตูนั้นกลับเปิดออกเสียก่อน
พร้อมกับท่านรองเจ้าเมืองที่มีใบหน้าแดงก่ำเดินออกมา…