ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 156 ร่ำรวยไปด้วยกัน!
บทที่ 156 ร่ำรวยไปด้วยกัน!
ท้องฟ้ายามเช้าของเมืองฮั่วหยางปกคลุมด้วยหมอกควัน เหล่าทหารในชุดเกราะสีแดงยืนอยู่ด้านนอกเมือง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง เปรียบเสมือนสัตว์ร้ายที่พร้อมตะครุบเหยื่อ แววตาที่เด็ดเดี่ยวของพวกเขาสร้างทั้งความหวาดหวั่นและความฮึกเหิมที่จะคว้าชัยชนะครั้งนี้ให้กับผู้คน
หลิงเยว่ไม่คิดว่าจะมีการจัดกองทัพใหญ่โตเช่นนี้
“ท่านรองเจ้าเมืองฮั่วหยางมาแล้ว”
ทหารชุดแดงคนหนึ่งตะโกนขึ้นเมื่อเห็นหลิงเยว่
ซูซวงที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองจึงโบกมือสั่ง “ออกเดินทาง!”
“เมืองฮั่วหยางจงเจริญ!”
“เราจะต้องยึดเมืองทะเลทรายร้างให้จงได้!”
“บุก!”
ผู้คนเบียดเสียดบนกำแพงเมือง เสียงโห่ร้องของชาวเมืองและทหารชุดแดงที่เฝ้ายามก้องกังวานไปทั่ว
เลือดของหลิงเยว่เดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น นางจึงตะโกนพร้อมกับฝูงชน โม่จวินเจ๋อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เหลือบมองนางครู่หนึ่ง หลิงเยว่ในตอนนี้ช่างแตกต่างกับหญิงสาวขี้แยที่ฉุดแขนเขามาและอ้างว่านางแทบจะเอาชีวิตไม่รอด เพื่อให้ตนมาเป็นผู้คุ้มกันให้เหลือเกิน
หัวหน้าตะขาบมรกตไม่ได้รู้สึกฮึกเหิมไปกับความกระตือรือร้นของมนุษย์ เขานำซาลาเปาที่ตกอยู่ข้างทางตอนเดินผ่านมากินอย่างไม่ใส่ใจ
ผู้คนทยอยออกเดินทางท่ามกลางเสียงโห่ร้องอวยพร
การเดินทางไปยังเมืองทะเลทรายร้างโดยใช้ยานบินและสัตว์อสูรบินไปจะใช้เวลาประมาณห้าวัน ซึ่งระยะทางถือว่าไม่ใกล้นัก
เมื่อมาถึงเมืองทะเลทรายร้าง พวกเขากลับพบว่าประตูเมืองถูกเปิดอยู่ แม้แต่ทหารที่เฝ้ากำแพงเมืองก็มีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น นี่แสดงว่าเมืองทะเลทรายไม่ได้ใส่ใจกับคำขู่ที่จะเข้าโจมตีเมืองทั้งเมืองให้ราบเป็นหน้ากลองของซูซวงแต่อย่างใด
“ท่านเจ้าเมือง กองทัพเมืองฮั่วหยางของพวกเรามาแล้ว!”
กองทัพทหารชุดแดงเตรียมพร้อมรับมือ ซูซวงยกคันธนูสีทองขึ้นไว้ในมือด้วยท่าทีสงบ หากท่านเจ้าเมืองทะเลทรายร้างปรากฏตัว นางก็พร้อมลงมือทันที!
หลิงเยว่แอบซ่อนตัวอยู่หลังหัวหน้าตะขาบมรกต มือของนางยังคงจับปลายแขนของโม่จวินเจ๋อเอาไว้ เผยให้เห็นความขลาดกลัวอย่างที่สุด
ยามนี้ ทั้งหัวหน้าตะขาบมรกตและชายหนุ่มผู้ถูกใช้เป็นโล่ป้องกันมนุษย์ผู้เปราะบางนางนี้ไว้ ต่างก็เผยให้เห็นสีหน้าที่เหมือนกัน ทั้งยังมีแววเอือมระอาแฝงอยู่หลายส่วน
“โอ้โห! คิดว่าพวกเจ้าจะมาหลังจากสามวันเสียอีก เหตุใดถึงใช้เวลายาวนานกว่าแปดวัน ให้พวกเราต้องรอคอยอยู่เช่นนี้เล่า…”
คนผู้นั้นพูด แต่ไม่ได้ปรากฏตัวออกมา ทว่าเสียงอันแฝงไว้ด้วยถ้อยคำหยามเหยียดก็ดังก้องมาจากทุกสารทิศ
ซูซวงยกธนูทองในมือขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา เพียงวางมือบนสายธนู ลูกศรสีทองก็ได้พุ่งออกไปทางทิศใต้ทันที
ตู้ม!
ชายคนหนึ่งถูกระเบิดจนกระเด็นออกมา
“ลงมือโหดร้ายเกินไปแล้ว!”
ชายผู้นั้นก้าวออกมาจากแสงสีทองทำทีคลำหน้าอกอย่างเจ็บปวด ร่างกายดูอิดโรยเล็กน้อย
โดยมิได้กล่าวคำใด ซูซวงหมายจะแผลงศรอีกครั้ง
เมื่อชายคนนั้นเห็น จึงรีบถอยหลังแล้วกล่าวว่า “ใจเย็น คุยกันดี ๆ ก่อนเถิด!”
ซูซวงไม่ต้องการพูดคุยด้วย จึงออกคำสั่งให้กองทัพทหารชุดแดงเข้าโจมตีทันที!
ประตูเมืองเปิดกว้างอยู่เช่นนี้ หากไม่ได้เข้าไป ไม่ใช่ว่าจะเป็นการล้มความตั้งใจของท่านเจ้าเมืองทะเลทรายร้างหรือ?
เมื่อได้รับคำสั่งจากซูซวง รองเจ้าเมืองอี้เหิงจึงนำเหล่าทหารมุ่งหน้าสู่ประตูเมือง และได้เผชิญหน้ากับรองเจ้าเมืองทะเลทรายร้างที่ออกมาต้อนรับ โดยไม่ได้กล่าวคำใด อี้เหิงก็ลงมือทันทีเช่นกัน!
พวกที่กล้าด่ากองทัพทหารชุดแดงว่าเป็นกองทัพสุนัขแดง วันนี้จะต้องจัดการพวกมันให้กลายเป็นสุนัขให้ได้!
พวกที่เหลือต่างหมายมั่นจะแลกชีวิตกับคู่ต่อสู้ แต่กลับต้องพบสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง
“อย่าเพิ่งลงมือ ข้าขอยอมแพ้!”
“ข้าก็ขอยอมแพ้เช่นกัน!”
“พวกเรามาสร้างความร่ำรวยไปด้วยกันเถิด!”
“พวกเราเมืองทะเลทรายร้างเป็นเมืองแห่งสันติ การต่อสู้ฆ่าฟันช่างไร้สาระนัก ข้าก็ขอยอมแพ้!”
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่คู่ต่อสู้ยอมแพ้ก่อนจะเริ่มการต่อสู้ เหล่ากองทัพทหารชุดแดงต่างก็ตกตะลึง
ย้อนกลับไปตอนที่รองเจ้าเมืองทะเลทรายร้างยังคงกร่างอยู่ที่เมืองฮั่วหยาง แต่ในตอนนี้เล่า?
หลิงเยว่ในฐานะหนึ่งในฝูงชนที่เฝ้าดูและเป็นตัวนำโชคก็ตกตะลึงเช่นกัน ทั้งไม่มีการนองเลือด ไม่มีแผนการร้าย ไม่มีการลอบสังหาร ไม่มีแม้แต่ซากปรักหักพังจากการสู้รบ ทุกอย่างจบลงเช่นนี้… ได้รับชัยชนะแล้วอย่างนั้นหรือ?
เหลือเชื่อนัก!
ในยามที่ทหารทั้งเมืองยอมจำนน โม่จวินเจ๋อยอมรับว่าตนมองการณ์ตื้นเขินเกินไป
หัวหน้าตะขาบมรกต “?”
เพียงเท่านี้หรือ?
“เจ้ามีแผนเช่นไร?”
ซูซวงหยุดต่อสู้กับเจ้าเมืองทะเลทรายร้าง นางถอยหลังกลับไป พลางสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความฉงน
ช่างไม่เหมือนกับพ่อค้าหน้าเลือดที่เคยพัวพันด้วยมาหลายร้อยปีเสียเลย พวกมันต้องมีไม้ตายซ่อนอยู่เป็นแน่!
“แผนก็คือแบ่งปันความร่ำรวยไปด้วยกัน!”
ชายหนุ่มลูบไล้ใบหน้าที่บาดเจ็บจากคมธนูพลางเอ่ยอย่างเปิดเผย
ซูซวง “…”
แล้วประกาศสงครามไปเพื่ออันใดเล่า?
“หากไม่ประกาศสงคราม พวกเจ้าย่อมคิดว่าข้าเสแสร้งเป็นแน่ ข้าจึงแสดงความจริงใจให้เจ้าเห็นตรงหน้าเช่นนี้แล้ว เจ้าควรเชื่อใจข้าได้แล้วกระมัง”
เจ้าเมืองทะเลทรายร้างเฝ้ามองเมืองอันว่างเปล่าไร้ผู้คนนอกจากชาวเมือง ครั้งหนึ่งเมืองแห่งนี้เคยรุ่งเรือง แต่บัดนี้กลับทรุดโทรมลงผิดหูผิดตา
หากจะสู้กันจริง โอกาสที่จะชนะก็ไม่ใช่ว่าไม่มี เพียงแต่ถึงเวลานั้นย่อมต้องสูญเสียผู้บำเพ็ญอีกจำนวนมากเป็นแน่ ถือเป็นการสูญเปล่าที่ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
การได้ตามติดเมืองฮั่วหยางเพื่อเสวยสุขย่อมดีกว่าการดิ้นรนเอาตัวรอดเช่นนี้ ที่ผ่านมาเมืองฮั่วหยางต่างหากที่ถูกเมืองทะเลทรายร้างกดขี่ แต่บัดนี้สถานการณ์ได้พลิกผันแล้ว
ช่างเป็นไปตามกงล้อแห่งวัฏจักรโดยแท้…
แต่เหตุใดซูซวงจึงยังไม่อาจปักใจเชื่อ
เหล่ากองทัพทหารชุดแดงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเมืองทะเลทรายร้าง ทั้งที่ก่อนหน้า กลุ่มคนเหล่านี้ต่างมองพวกเขาเสมือนขอทาน ไร้ซึ่งความเคารพยินดีแต่อย่างใด
บัดนี้ความรู้สึกที่ถูกโอบล้อมนั้นช่างซับซ้อน และ… สบายใจยิ่งนัก
ความอัดอั้นที่สั่งสมมาเนิ่นนานได้ระบายออกมาเมื่อได้เห็นเมืองแห่งนี้เสื่อมโทรมลง
“ท่านรองเจ้าเมืองจงเจริญ!”
ทหารชุดแดงจิตใจดีอย่างเซี่ยงหมิงแผดเสียงคำราม พวกเขาหาใช่คนโง่ไม่ ความรุ่งเรืองในเมืองฮั่วหยางยามนี้ ล้วนเกิดจากคุณงามความดีของหลิงเยว่มากกว่าครึ่ง
ไม่สิ เพิ่มมากกว่าครึ่งเสียอีก
หลิงเยว่ผู้ยืนเฝ้าดูอยู่มุมหนึ่งพร้อมด้วยผู้คุ้มกันทั้งสอง ถูกผู้คนมากมายที่หลั่งไหลมาโยนร่างของนางขึ้นสู่ฟ้า
หลิงเยว่ “???”
นางเพียงแค่เฝ้าดูอยู่เท่านั้น!
ความคึกคักตรงนี้ดึงดูดความสนใจของเจ้าเมืองทะเลทรายร้าง สายตาของเขาที่มองหลิงเยว่เต็มไปด้วยความโลภ
ซูซวงเองก็เหลือบตาไปมองเขาเช่นกัน เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าอย่าคิดแตะต้องนาง”
“ข้ารู้”
รองเจ้าเมืองทะเลทรายร้างได้สืบหาข้อมูลของหลิงเยว่มาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขารู้ว่าเบื้องหลังนางไม่ได้มีเพียงชิงยวนผู้เป็นดั่งภูเขาลูกใหญ่ที่คอยช่วยเหลือนางอยู่ แต่ยังมีบรรพจารย์เล่อเหอ และขณะนี้ยังมีตะขาบมรกตผู้ที่ทำให้เหล่านักกลั่นโอสถต้องคลั่งไคล้อยู่เคียงข้าง ความคิดที่จะแตะต้องนางนั้นย่อมมี แต่ก็ไม่อาจกล้า
สงครามระหว่างเมืองทะเลทรายร้างกับเมืองฮั่วหยางเป็นดั่งเรื่องน่าขันที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จบสิ้นลงแล้ว หลังจากนั้นเมืองทะเลทรายร้างจึงประกาศตนเป็นเมืองขึ้นของเมืองฮั่วหยาง!
ในใจของผู้คนเมืองทะเลทรายร้างทุกคนล้วนรู้สึกขมขื่นแต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้
“ข้ากลับได้หรือไม่?”
หลิงเยว่ถามซูซวง นางยังต้องรีบกลับไปต่อสู้กับการกลั่นโอสถฟื้นปราณ และยังต้องมุ่งหน้าสู่สำนักกลั่นโอสถเหอตงอีก
“ท่านรองเจ้าเมืองหลิงอย่าเพิ่งรีบร้อน เมืองของเรานั้นได้ยอมจำนนแล้ว แต่เรื่องราวในภายหลังยังต้องปรึกษาหารือกันอยู่”
ในเวลานี้ สายตาที่เจ้าเมืองทะเลทรายร้างมองหลิงเยว่นั้นเปรียบเสมือนกำลังมองก้อนเนื้ออันอวบอ้วน
พวกเขาก็อยากจะพัฒนาเมืองตนให้เป็นเช่นเมืองฮั่วหยาง แม้การกลั่นโอสถจะยากเย็น แต่เขาได้ยินมาว่าการเรียนรู้โอสถที่มีผลเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นอาหารวิญญาณพิเศษนั้นกลับไม่ยากเย็นเท่าใดนัก
ถึงแม้จะไม่สะดวกสบายเหมือนกับการกินโอสถโดยตรง แต่ว่ามีรสชาติดี นับว่าเพียงพอจะทดแทนความไม่สะดวกสบายนั้นได้บ้าง
อมยิ้มฟื้นปราณเขาเองก็ได้ลิ้มลองแล้ว แท่งหนึ่งเทียบเท่าโอสถฟื้นปราณระดับต่ำหลายเม็ด นอกจากราคาถูก ทั้งยังกินแล้วมีรสหวาน สดชื่น และยังให้ผลในการฟื้นฟูปราณดีเยี่ยมอีกด้วย
ตราบใดที่หลิงเยว่ยินดีอยู่ในเมืองทะเลทรายร้างสักระยะหนึ่ง ก็คงพอช่วยฝึกฝนเหล่านักกลั่นโอสถพิเศษขึ้นมาได้สักรุ่น แล้วเสริมด้วยโอสถที่ส่งมาจากยอดเขาโอสถของอาจารย์นางอีก…
เจ้าเมืองทะเลทรายร้างได้เริ่มวาดฝันถึงเรื่องดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าแล้ว และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหลักที่ทำให้เขาตัดสินใจนำเมืองทั้งเมืองมาสวามิภักดิ์ต่อเมืองฮั่วหยาง
ส่วนสาเหตุที่สองนั้น ตามนิสัยใจคอของซูซวงแล้ว นางคงไม่ลงมือขูดรีดพวกเขาจนสิ้นเนื้อประดาตัวเป็นแน่
แท้จริงแล้วหลิงเยว่ก็คิดการเช่นนี้
หากไม่ได้จดหมายเชิญและภารกิจที่ระบบประกาศ หลิงเยว่ย่อมเต็มใจเป็นที่สุด แต่น่าเสียดาย…
อย่างไรก็ตาม นางยังมีลูกศิษย์อีกมาก เรียกสักรุ่นมาสอนก็เพียงพอแล้ว เพียงแต่การปรับปรุงตำราอาหารวิญญาณพิเศษนี้อาจยากลำบากอยู่สักหน่อย
ลูกศิษย์ของหลิงเยว่ส่วนใหญ่นั้น ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญธรรมดาทั่วไป เชี่ยวชาญอาหารวิญญาณพิเศษเพียงอย่างเดียว ส่วนตำรับโอสถและสมุนไพรวิญญาณวิเศษที่อยู่นอกเหนือจากความเชี่ยวชาญนั้น ล้วนไม่แตกฉานกระจ่างแจ้ง แล้วจะไปให้พวกเขาลงลึกถึงหลักการของการส่งเสริมซึ่งกันและกัน หรือการต่อต้านซึ่งกันและกันของสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นได้อย่างไร?
หากนำเอาสมุนไพรวิญญาณวิเศษที่ไม่รู้จักมาใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่โดยพลการ ก็อาจถึงแก่ชีวิตได้!
หากหลิงเยว่ไม่มีตำราอาหารวิญญาณพิเศษที่เปรียบเสมือนหนังสือสารานุกรม รวบรวมความรู้เกี่ยวกับอาหารวิญญาณพิเศษ นางก็ไม่กล้าใช้สมุนไพรวิญญาณมาจับคู่กับวัตถุดิบเพื่อทำอาหารวิญญาณพิเศษเช่นกัน