ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 16 ข้าดีกับท่าน แต่ท่านกลับต้องการทุบตีข้าเนี่ยนะ?
บทที่ 16 ข้าดีกับท่าน แต่ท่านกลับต้องการทุบตีข้าเนี่ยนะ?
บทที่ 16 ข้าดีกับท่าน แต่ท่านกลับต้องการทุบตีข้าเนี่ยนะ?
ไม่มีเสียงอื่นใดในหอกลั่นโอสถหมายเลขสามยกเว้นเสียงเคี้ยว
ในฐานะบุคคลหลักที่สร้างบรรยากาศมีชีวิตชีวานี้ขึ้นมา หลิงเยว่ไม่สามารถหาคำพูดที่เหมาะสมมาพูดได้ ปากของนางยุ่งเกินไป!
น่องไก่สมุนไพรวิญญาณไร้กระดูกหมักด้วยส่วนผสมของน้ำสมุนไพรวิญญาณและเครื่องปรุงรส จากนั้นจึงเอาไปย่างให้หนังกรอบเนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ กลิ่นสมุนไพรวิญญาณจาง ๆ ยังคงอยู่ในปากเคี้ยวเพลินเต็มคำ แล้วกินตามด้วยข้าววิญญาณที่หุงด้วยน้ำสมุนไพรวิญญาณเป็นสีชมพูอ่อน ซดให้คล่องคอด้วยน้ำแกงไก่ตุ๋น แล้วกินผัดผักรสเข้มข้นตบท้ายไปอีกที
มื้อนี้ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!
โม่จวินเจ๋อกินโดยไม่พูดจาอะไรกับใครทั้งนั้น แก้มของเขาพองจนแทบจะแตก ดวงตาที่ว่าโตแล้วมาตอนนี้ก็ยิ่งโตขึ้นอีก เขาหันไปมองดูหลิงเยว่ที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นกัน
“อร่อยหรือไม่?”
หลิงเยว่พยักหน้าอย่างจริงจัง และทันทีที่กลืนอาหารลงคอ นางก็เริ่มกินอีกคำ
การกินของหลิงเยว่ดูมูมมามมาก แต่มันดันกระตุ้นความอยากอาหารของอีกสามคนที่ร่วมโต๊ะด้วยอย่างน่าประหลาด
หลงหว่านโหรวเลียนแบบหลิงเยว่และลองยัดอาหารใส่เต็มปาก โดยมีอาหารอยู่ทุกชนิด และเมื่อเคี้ยว รสชาติที่ผสมปนเปกันของทุกอย่างยิ่งทำให้นางรู้สึกว่ามันยิ่งอร่อยขึ้น การกินแบบนี้อร่อยกว่าอย่างแท้จริง!
เพียงแต่ว่า… โอสถกลั่นลมปราณหลากสีหลากรสชาติที่นางทำกลับไม่มีผลเช่นนี้เลย?
ดูเหมือนนางจะต้องฝึกฝนให้มากกว่าเดิม
“พวกเจ้ากล้ากินอาหารอร่อยมากมายลับหลังข้างั้นหรือ!?”
อวี้เจินที่เพิ่งตามมาทีหลังโกรธมากจนตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นอาหารที่เหลืออยู่ไม่มากบนโต๊ะ
“ข้าแบ่งส่วนของท่านเก็บเอาไว้ให้แล้ว”
หลิงเยว่หยิบอาหารอีกชุดหนึ่งออกมาจากถุงมิติ ฉากนี้ทำให้อวี้เจินรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
“เมื่ออิ่มแล้ว ข้าจะเป็นคู่ซ้อมให้เจ้าเอง!”
ทันทีที่คำพูดนี้ดังออกมา โม่จวินเจ๋อซึ่งแต่เดิมต้องการจะทวงเงินให้หลิงเยว่ก็หยุดคิด
ตอนนี้ดวงตาของหลิงเยว่ระเรื่อแดง นางให้อาหารอร่อย ๆ มากมายแก่ผู้หญิงคนนี้ แต่อีกฝ่ายกลับจะตอบแทนด้วยการทุบตีนางหลังจากกินมื้อใหญ่หรือ?
นางจะเป็นกระสอบทรายให้กับหัวหน้าศิษย์ของยอดเขาบ่มเพาะกายาได้อย่างไรกัน?
โต๊ะอาหารไม่น่าเบื่อเหมือนก่อนหน้าเมื่ออวี้เจินมาเข้าร่วมวงด้วย อวี้เจินคนนี้สามารถอุทานได้หลากหลายแม้ว่าปากของนางจะเต็มไปด้วยอาหารมากมาย แม้ว่าจะส่งเสียงไม่ได้ แต่การแสดงออกที่หลากหลายนั้นก็ทำให้ผู้คนหัวเราะ
เมื่อทั้งห้าคนกินและดื่มเพียงพอแล้ว จึงมุ่งหน้ากลับไปที่ภูเขาด้านหลังโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ไม่สิ จริง ๆ แล้วต้องพูดว่าสี่คนมากกว่า หลิงเยว่ไม่ได้ไปด้วย
หลงหว่านโหรวและว่านอวี้เฟิงตกตะลึงเมื่อเขาและนางรู้จากอวี้เจินว่าศิษย์น้องเล็กคนที่ห้าของพวกเขากำลังจะต้องขึ้นสนามประลองชี้ชะตากับศิษย์สายนอกของยอดเขาจุตรเทพในอีกยี่สิบสองวันต่อจากนี้!
ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ ความคิดแรกคือฆ่าศิษย์สายนอกคนนั้นอย่างเงียบ ๆ
แต่จากนั้นหลงหว่านโหรวก็ปฏิเสธความคิดนี้ อีกฝ่ายได้รับคำท้าประลองชี้ชะตาไปแล้วจึงมีป้ายหยกของศิลาชี้ชะตาคุ้มครอง นางไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ ดังนั้นจึงเหลือทางเดียวคือต้องใช้เวลาให้มากที่สุดในทุกวันเพื่อฝึกฝนให้ศิษย์น้องเล็กคนที่ห้าของนางเท่านั้น
หลิงเยว่จึงโชคดีมากที่ได้ผู้คนมาคอยเคี่ยวกรำตัวเองเพิ่มอีกคน…
สำหรับว่านอวี้เฟิงนั้นเขาต้องการจับผาวฮุยมาขังเอาไว้แทน เพราะเมื่อถึงเวลาประลองก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใด ๆ สิ่งที่รอต้อนรับผาวฮุยคือการตายอย่างขี้ขลาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
วิธีนี้ดีที่สุด! ข้าจะหารือกับศิษย์พี่ใหญ่อย่างละเอียดในภายหลังว่าควรดำเนินแผนนี้ให้รัดกุมอย่างไร!
พวกเขาทั้งสองไม่รู้ตัวเลยว่าหลังจากรับประทานอาหารสองมื้อด้วยกัน พวกเขาก็เพิกเฉยต่อคำว่า ‘ศิษย์รอลงทะเบียน’ ไปอย่างไม่รู้ตัว และถือว่าหลิงเยว่เป็นศิษย์น้องเล็กของพวกเขาอย่างจริงจัง
โม่จวินเจ๋อหยุดความคิดที่ชั่วร้ายของว่านอวี้เฟิงทันที และบอกเงื่อนไขของอาจารย์ชิงยวนที่มีไว้สำหรับหลิงเยว่
“เป็นอย่างนั้นหรือ?”
หลงหว่านโหรวขมวดคิ้ว ส่วนว่านอวี้เฟิงก็ผิดหวัง
…
พวกเขาทั้งสามยืนอยู่ในระยะไกลและเฝ้าดูการเผชิญหน้ากันระหว่างหลิงเยว่และอวี้เจิน
ทั้งสองคนยังไม่ได้เคลื่อนไหวในตอนนี้
“ศิษย์น้องหลิง ข้าแนะนำให้เจ้าลงมือก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าให้ข้าลงมือเป็นคนแรก เจ้าจะมีแต่ถูกทุบตีฝ่ายเดียวเท่านั้น”
“ข้าจะหลีกเลี่ยงการถูกทุบตีได้หรือไม่ หากชิงลงมือก่อน?”
ในใจของหลิงเยว่ตื่นตระหนกมาก นางไม่เคยทุบตีใครสักคน รู้แต่วิธีต่อสู้ด้วยคำพูดที่เจ็บแสบเท่านั้น!
“ไม่ ถ้าเจ้าต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น บทเรียนแรกคือการเรียนรู้ในการถูกทุบตี”
อวี้เจินยิ้ม นางยิ้มเหมือนลูกเสือตัวน้อยที่เหมือนดูไม่เป็นอันตราย
หลิงเยว่ไม่เชื่อ แต่ทั้งสามคนที่ดูอยู่ใกล้ ๆ พยักหน้าเห็นด้วย
นาง…
ก็ได้!
หลิงเยว่บังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์และใช้กระบวนท่าแรกของวิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์ นางคิดว่าตนเคลื่อนไหวเร็วมาก ก่อนพุ่งเข้าหาอวี้เจิน
“อย่าให้ผู้ฝึกตนอยู่ใกล้เจ้าได้ จงใช้วิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์เพื่อหลบหนีหรือเพื่อทิ้งระยะห่างเท่านั้น!”
คำเตือนของโม่จวินเจ๋อบังคับให้หลิงเยว่ซึ่งพยายามจะเอาชนะอวี้เจินแบบเผชิญหน้าต้องเปลี่ยนหนทาง
แต่อวี้เจินจะปล่อยหลิงเยว่ที่เข้ามาใกล้ขนาดนี้แล้วไปได้อย่างไร?
วิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์นั้นทรงพลัง แต่ในสายตาของอวี้เจินนั้นหลิงเยว่ที่เพิ่งฝึกฝนได้สองวันนั้นเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง นางเข้าประชิดจากทางด้านหลังของหลิงเยว่ได้อย่างง่ายดาย
หลิงเยว่ถูกคว้าคอเสื้อเอาไว้ได้ แล้วถูกโยนจนตัวลอยละลิ่ว
จู่ ๆ จิตใจของหลิงเยว่ก็ว่างเปล่าไปชั่วขณะ และเมื่อกำลังจะล้มลงกับพื้น นางก็ตื่นตระหนก ก่อนใช้วิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์เพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรม
แต่ก่อนที่นางจะมีเวลาชื่นชมยินดีกับความสำเร็จแรก อวี้เจินก็กลับมาอีกครั้ง
“เมื่อครู่ข้าออมมือให้นะ”
ขณะที่พูด อวี้เจินก็เหวี่ยงหมัดเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
หลิงเยว่กลัวมากจนเอามือกุมหัวแล้วย่อตัวลงนั่งยองพยายามหลีกเลี่ยงหมัด
“หากเจ้าไม่รู้วิธีออกกระบวนท่าก็แค่ใช้ปราณของเจ้าเพื่อโจมตีนาง!”
หลงหว่านโหรวไม่สามารถทนมองหลิงเยว่ที่โง่เขลาได้ ฝึกสำเร็จถึงขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสี่แล้วแต่กลับยังลนลานเหมือนพวกมือใหม่อยู่อีก
หลิงเยว่ไม่ได้โง่เช่นกัน หลังจากถูกเตือนนางก็รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร
ทว่า…
สมองของนางรู้ แต่ร่างกายกลับเชื่องช้า
ผลที่ได้คืออวี้เจินเข้ามาประชิดตัวแล้ว
หลิงเยว่ที่ล้มลงกับพื้นรีบลุกขึ้นวิ่งหนีอย่างไม่เต็มใจ มือซ้ายและขวาของนางเริ่มรวบรวมปราณ เมื่ออวี้เจินเข้ามาใกล้อีกมวลพลังทรงกลมสีแดงและสีทองสองลูกก็ถูกซัดออกไป
ตูม!
การระเบิดสองครั้งเข้าปะทะร่างเล็กของอวี้เจิน
อวี้เจินคงไม่ได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดใช่หรือไม่…
นางใช้ปราณอัคคีและปราณทองคำ
หลิงเยว่รู้สึกผิดและรีบหยุดเพื่อควักหายาเอาไปรักษาให้อวี้เจิน
“เจ้ากำลังมองหาอะไร?”
เสียงดังมาจากข้างหลัง ฟังดูเหมือนปีศาจร้ายที่พร้อมขย้ำผู้คน
อวี้เจินผู้โหดร้ายคว้าหลิงเยว่ขึ้นมาแล้วโยนลงไปที่พื้นอย่างแรง
อั้ก!
เจ็บสุด ๆ!
นางนี่โง่จริง ๆ หลงคิดได้อย่างไรว่าตนจะสามารถทำร้ายอวี้เจินได้?
จากนั้นฉากดราม่าก็เกิดขึ้นที่ภูเขาด้านหลัง หลิงเยว่วิ่งหนี อวี้เจินไล่ล่า ศิษย์น้องเล็กร้องไห้เหมือนเจอผี ร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือด ศิษย์พี่หญิงหัวเราะราวกับคนบ้า หญิงสาวคอยทุบตี เด็กสาวรับแรงระเบิด
จนกระทั่งหลิงเยว่นอนอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เสื้อผ้าของนางขาดรุ่งริ่งอย่างกับชุดขอทาน อวี้เจินจึงตัดสินใจปล่อยนางไป
ว่านอวี้เฟิงเทยารักษาเข้าไปในปากของหลิงเยว่ทำให้นางแทบลืมตาไม่ได้
นางเจ็บไปทั้งตัว แม้แต่กระดูกก็รู้สึกเหมือนกำลังจะแตกสลาย
“ประสบการณ์การต่อสู้ที่แท้จริงของเจ้าเกือบจะเป็นศูนย์”
อวี้เจินดูลำบากใจ เมื่อครู่นางออมมือให้อย่างมากที่สุดแล้วแต่หลิงเยว่ก็ยังคงอ่อนหัด
“ปราณของเจ้าแข็งแกร่ง แต่ความแข็งแกร่งทางกายนั้นปวกเปียก”
“การตอบสนองก็ช้าเช่นกัน”
อวี้เจินสรุปได้ดี นอกเหนือจากข้อได้เปรียบของปราณที่แข็งแกร่งของหลิงเยว่แล้ว ทุกอย่างล้วนแต่มีข้อบกพร่องมาก
“เท่าที่ข้ารู้ คู่ต่อสู้ของเจ้ากำลังปิดด่านฝึกตน พ่อของเขาได้เรียกผู้ฝึกตนมาช่วยฝึกสอนเขาอีกเป็นจำนวนมากด้วย”
คำพูดของโม่จวินเจ๋อเพิ่มแรงกดดันให้หลิงเยว่เป็นสองเท่า
ตอนนั้นหลิงเยว่หุนหันพลันแล่นเกินไป นางไม่ควรไปที่ศิลาชี้ชะตาเพื่อประกาศท้าประลองชี้ชะตาจริง ๆ
แต่ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ได้ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเสียใจอีกต่อไป ตนทำได้เพียงฝึกฝนอย่างหนักเท่านั้น
“มีศิษย์มากมายในยอดเขาโอสถ”
“ข้าไม่เชื่อว่าด้วยการช่วยเหลือของศิษย์มากมายที่จะช่วยเจ้าฝึกซ้อมบวกกับโอสถจำนวนมาก เจ้าจะไม่สามารถเอาชนะศิษย์สายนอกเพียงคนเดียวได้”
“ศิษย์พี่ใหญ่พูดถูก”
ว่านอวี้เฟิงพยักหน้า นี่ไม่ใช่การประลองระหว่างศิษย์สำนักสายนอกอีกต่อไป ทว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับยอดเขาโอสถไปแล้ว!
แม้ว่าตอนนี้หลิงเยว่จะเป็นศิษย์รอลงทะเบียน ตราบใดที่นางรอดชีวิตจากการประลองครั้งนี้ ตามความเข้าใจของว่านอวี้เฟิงที่มีต่ออาจารย์ แม้ว่าศิษย์น้องเล็กคนที่ห้าจะไม่สามารถเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรกของสำนักได้ในอนาคต แต่อย่างเลวร้ายที่สุดนางจะถูกรับเป็นศิษย์สายในแน่นอน
ดังนั้นจึงไม่ผิดหากจะพูดว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของยอดเขาโอสถ
“ข้ามีศิษย์น้องมากมายที่ยอดเขาบ่มเพาะกายา”
ด้วยเหตุนี้การฝึกรายวันของหลิงเยว่จึงถูกบรรจุไว้ในวาระการประชุม
ในขณะเดียวกัน คราวนี้หลิงเยว่ไม่ได้คร่ำครวญถึงชะตากรรมอันน่าเศร้าของนางในอนาคต และตัดสินใจที่จะพยายามให้หนักขึ้น!