ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 161 โอสถนี้ผู้ใดอยากกลั่นก็กลั่นไป!
บทที่ 161 โอสถนี้ผู้ใดอยากกลั่นก็กลั่นไป!
ชิงยวนหลอกให้หลิงเยว่กลั่นโอสถเตาแล้วเตาเล่า นางบอกว่าเตานี้จะเป็นเตาสุดท้ายแล้ว ทั้งหมดล้วนหลอกลวง!
โอสถฟื้นปราณเบญจธาตุสำเร็จอีกเตาหนึ่งแล้ว หลิงเยว่ก็ไร้เรี่ยวแรงนอนแผ่บนผืนทราย ดวงตาแข็งทื่อราวกับซากศพไร้วิญญาณ
“เตานี้เป็นเตาสุดท้ายแล้วจริง ๆ”
ชิงยวนดึงร่างนั้นให้ลุกขึ้น หลิงเยว่ราวกับร่างไร้กระดูก ล้มลงไปอีกครั้ง พร้อมกับสาดทรายขึ้นมาเป็นชั้น
แม้แต่ลาดำยังมีเวลาพักผ่อน นางกลับกลั่นโอสถติดต่อกันมาห้าวันแล้ว พละกำลังไม่มี อีกทั้งพลังวิญญาณเองก็หมดสิ้น กำลังใจย่ำแย่ แล้วต้องคอยกินโอสถหรือให้ชิงยวนใช้พลังพฤกษาช่วยฟื้นฟูอีกต่างหาก
นี่ไม่ใช่มนุษย์แล้ว!
หลิงเยว่อยากจะประท้วง นางอยากกลับเมืองไปกินอาหารให้เต็มอิ่ม นอนหลับให้เต็มตื่น แล้วหนีไปให้ไกลจากชิงยวนผู้น่ากลัวเสียที
“หินวิญญาณหนึ่งแสนล้านก้อน”
ชิงยวนหยิบถุงหินวิญญาณออกมาอย่างเย็นชา โบกไปมาตรงหน้าหลิงเยว่ที่แกล้งตาย
ร่างที่แกล้งตายจึงฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา และยังถามด้วยความประจบประแจงว่า “ท่านอาจารย์ เตาเดียวพอหรือไม่? ข้าจะกลั่นให้ท่านอีกสักสามสี่เตานะเจ้าคะ”
ต้องขอบคุณชิงยวนที่ทำให้หลิงเยว่ได้รับการฝึกฝนการกลั่นโอสถอย่างเข้มข้นในช่วงเวลานี้ นางพัฒนาฝีมือในการกลั่นโอสถฟื้นปราณเบญจธาตุได้อย่างรวดเร็ว จนสามารถกลั่นโอสถสำเร็จได้ในทุก ๆ หนึ่งชั่วยาม
ครั้งแรกใช้เวลาครึ่งค่อนวัน ครั้งที่สองใช้เวลาน้อยลงหนึ่งชั่วยาม ครั้งที่หกใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม สิ่งนี้ทำให้ชิงยวนอดคิดมากไม่ได้
เมื่อถึงเวลาที่ศิษย์น้อยเติบโตขึ้น นางจะสามารถกลั่นโอสถสำเร็จได้ในพริบตาหรือไม่?
และไม่รู้ว่าเหตุใด โอสถฟื้นปราณเบญจธาตุที่หลิงเยว่กลั่นได้แต่ละครั้งนั้น ลวดลายบนเม็ดโอสถล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และโอสถแต่ละเม็ดก็มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งเดียวที่ทำให้ชิงยวนเสียดายก็คือแต่ละครั้งกลั่นออกมาได้เพียงหกเม็ดเท่านั้น จึงไม่สามารถก้าวข้ามไปเป็นโอสถฟื้นปราณระดับกลางได้จริง ๆ
นางอยากให้ศิษย์น้อยช่วยปลูกสมุนไพรวิญญาณระดับกลาง แต่ด้วยรากฐานการฝึกฝนของหลิงเยว่ที่อยู่ในระดับสร้างรากฐานจึงไม่สามารถทำได้
หึ!
ชิงยวนอยากจะจับตัวนางกลับสำนักแล้วปิดประตูบำเพ็ญสักร้อยปี แต่หลิงเยว่กลับดื้อดึงจะเดินทางไปยังสำนักเหอตงเสียให้ได้
นี่ก็ล่วงเลยมาห้าวันแล้ว เสียงระเบิดเตาที่คุ้นเคยไม่ได้ดังขึ้นอีก ที่เมืองฮั่วหยาง เหล่านักกลั่นโอสถในเมืองที่รอชมความตลกขบขันของหลิงเยว่ต่างรู้สึกเบื่อหน่าย
เกรงว่านางคงจะทำสำเร็จแล้ว
“ข้าว่าท่านรองเจ้าเมืองต้องกลั่นโอสถสำเร็จแล้วเป็นแน่!”
“เช่นนั้นหรือ เหตุใดข้าจึงจำได้ว่าเจ้าเป็นผู้ที่ตะโกนให้เลิกกลั่นโอสถเสียงดังที่สุด”
เจ้าของร้านขายเต้าฮวยเมื่อถูกแฉเพียงหัวเราะแห้ง ๆ แล้วโต้กลับทันที “พวกท่านยังสู้ท่านรองเจ้าเมืองไม่ได้เลย ครึ่งเดือนกว่าแล้วยังทำเต้าฮวยฟื้นปราณไม่ได้สักชาม”
เหล่าอาจารย์จากสำนักกลั่นโอสถที่ถูกเหน็บแนม “…”
เต้าฮวยฟื้นปราณทำยากถึงเพียงนั้น จะมาโทษพวกเขาได้อย่างไร?
สองวันต่อมา ในที่สุดหลิงเยว่ก็ได้รับอิสระ ขณะนี้เหลือเวลาอีกสามวันจะครบกำหนดครึ่งเดือน นางรีบวิ่งเข้าสู่เมืองฮั่วหยางด้วยความสบายใจ ไม่นานร่างกายของนางก็เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด
มือซ้ายถือเนื้อย่างเสียบไม้ เนื้อแกะย่างสีทองอร่าม มือขวากุมแก้วน้ำชาเย็นสีคราม กัดเนื้อสักคำ พร้อมกับดื่มชาหนึ่งอึก ช่างเป็นวันที่งดงามยิ่งนัก!
“แน่นอนอยู่แล้ว!” หลิงเยว่ที่กินจนปากเปื้อนมันเยิ้มเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “โอสถฟื้นปราณระดับต่ำเช่นนี้ สบายมาก!”
“เกือบเดือนแล้ว เตากลั่นพังไปนับไม่ถ้วน ดูเถิด นั่นคือจวนเจ้าเมืองที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง และผืนทะเลทรายที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ สิ่งเหล่านั้นเป็นผลงานของเจ้าล้วน ๆ ไม่รู้ว่าจะมีสิ่งใดน่าภาคภูมิใจนักหนา ข้าผู้เป็นตะขาบมรกตตัวหนึ่งยังสามารถกลั่นโอสถได้เลย”
หัวหน้าตะขาบมรกตเผยสีหน้าดูถูก เจ้ามนุษย์เปราะบางไม่มีแม้แต่ความรู้พื้นฐานเสียด้วยซ้ำ
“เจ้ากลั่นโอสถเป็นแล้วหรือ?” หลิงเยว่พลันรู้สึกว่าซาลาเปาในปากไม่อร่อยเสียแล้ว แค่ตะขาบมรกตตัวหนึ่งนางยังสู้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ!
“ในเรื่องนี้ข้าขอเป็นพยาน” ติงหลิวหลิ่วแทรกตัวเข้ามาตรงกลางระหว่างมนุษย์กับตะขาบมรกต “หัวหน้าตะขาบมรกตใช้เวลาหนึ่งวันก็กลั่นโอสถฟื้นปราณได้แล้ว ส่วนข้าใช้เวลาถึงสองวัน ได้ยินมาว่าตะขาบมรกตตัวที่สองใช้เวลาเพียงหนึ่งวันครึ่งเท่านั้น”
ติงหลิวหลิ่วชำนาญในการจี้จุดอ่อน หลิงเยว่รู้สึกเจ็บปวดเป็นที่สุด
ติงหลิวหลิ่วราวกับเห็นว่าหลิงเยว่ยังไม่เจ็บปวดพอ จึงกล่าวต่อไป “ศิษย์น้องห้า ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนบอกให้เจ้าเมืองซูไปทวงถามข้าถึงหินวิญญาณสามสิบล้าน เพื่อซ่อมแซมจวนเจ้าเมืองที่ถูกทำลายใช่หรือไม่?”
“สามสิบล้านหรือ?!”
หลิงเยว่ตำหนิสวนซูซวงในใจ นางผู้นี้ช่างใจดำนัก ทั้งที่ได้ตกลงกันไว้ที่สิบห้าล้าน แต่นางกลับแอบเพิ่มจำนวนถึงเท่าตัว!
ติงหลิวหลิ่วกะพริบตาไร้เดียงสาแล้วพยักหน้า “ใช่แล้ว สามสิบล้าน”
หลิงเยว่มีความคิดอยากจะวิ่งไปทวงถามความยุติธรรมกับซูซวงทันที แต่เมื่อนึกถึงระยะทางระหว่างเมืองทะเลทรายร้างและเมืองฮั่วหยางแล้ว เห็นทีคงหมดหวัง
ช่างเถิด รอเดินทางกลับจากสำนักเหอตงก่อน แล้วค่อยมาจัดการกับนาง
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงพริบตาเดียว ท่ามกลางการกินอย่างสุขสำราญของหลิงเยว่ นางและหัวหน้าตะขาบมรกตนั่งยานบินมุ่งหน้าสู่สำนักเหอตง เมื่อยานบินลอยขึ้นสูง ร่างของชาวเมืองที่ออกมายืนส่งนางก็ค่อย ๆ เล็กลง…
ภาพเมืองฮั่วหยางทั้งเมืองปรากฏอยู่ในสายตาของหลิงเยว่ เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยรกร้างและแสนทรุดโทรม บัดนี้กลายเป็นเมืองที่รุ่งเรือง ผู้คนพลุกพล่าน มองดูแล้วรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง
จากระยะไกล หลิงเยว่ยังได้ยินเสียงโห่ร้องของชาวเมือง
“ท่านรองเจ้าเมืองน้อย หากท่านถูกรังแกข่มเหงที่เหอตง ท่านจงส่งจดหมายมาเถิด ทั้งเมืองนี้จะร่วมมือกันต่อสู้เพื่อท่าน!”
“ถูกต้อง คนทั้งเมืองจะต่อสู้เพื่อท่าน พวกข้าไม่ขี้ขลาดแน่นอน!”
ท่ามกลางรอยยิ้มที่แข็งค้างของเถาจวง เขตเหอตงของพวกเขาเป็นดินแดนสงบสุขที่สุด พวกเขามีเหตุผลอันใดที่จะกล้ารังแกหลิงเยว่ได้ เพียงแค่ขอร้องให้นางอย่าได้โกรธเกรี้ยวแล้วทำลายสำนักในสักวันก็เพียงพอแล้ว
น้ำตาคลอในดวงตาของหลิงเยว่ แต่ในไม่ช้าก็ถูกกลั้นไว้ด้วยจิตอันแน่วแน่ พลางโบกมือให้ฝูงชนที่อยู่ด้านล่าง
โม่จวินเจ๋อยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นาง
“ข้าไม่ได้ร้องไห้” หลิงเยว่กล่าวเช่นนั้น แต่ก็ยังใช้ผ้าเช็ดใบหน้าของตนเองอย่างเลื่อนลอย แล้วก็เชื้อเชิญเขาด้วยความกระตือรือร้นว่า “ท่านจะไปเหอตงกับข้าหรือไม่เล่า?”
โม่จวินเจ๋อส่ายหน้า “ข้าเพียงแค่จะไปส่งเจ้า จากนั้นจะมุ่งหน้าสู่ดินแดนทางใต้”
“ได้”
หลิงเยว่แสดงความผิดหวัง ทำให้โม่จวินเจ๋อเกือบใจอ่อนตามนางไปแล้ว แต่เขายังคงฝืนใจอดทนเอาไว้
ขณะนี้มีเพียงสำนักกระบี่ในดินแดนทางใต้ที่จะสามารถทำให้เขาเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อโม่จวินเจ๋อออกจากสำนักแล้ว… เขาจะต้องไปหาหลิงเยว่อีกครั้งอย่างแน่นอน
ชิงยวนและซูซวงทั้งสองยืนอยู่บนกำแพงเมืองส่งสายตามองยานบินที่บินจนลับสายตาไป ซูซวงถอนหายใจ กระเป๋าเงินของนางจะจากไปแล้ว นางก็อดคิดถึงไม่ได้
ส่วนชิงยวนคาดหวังให้ศิษย์น้อยของตนสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงในสำนักเหอตงได้ หากโชคดี… ในภายหน้า ไม่เพียงแค่สำนักหลานเทียนและทะเลทรายทางตอนเหนือเท่านั้นที่คอยสนับสนุน แต่ย่อมมีเหล่านักกลั่นโอสถที่ยิ่งใหญ่ของสำนักเหอตงอีกด้วย!
ชิงยวนส่ายศีรษะไปมา เรื่องราวคงไม่เลวร้ายเช่นนั้น
โม่จวินเจ๋อแยกทางกับหลิงเยว่ครึ่งทาง กลายเป็นร่างหนึ่งพร้อมกับกระบี่ที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วหายลับไปในพริบตา
ในมือของเขานั้นถือกล่องดำใบเล็กอย่างแน่นหนา พร้อมจดหมายฉบับหนึ่งที่หลิงเยว่มอบให้แก่เขาก่อนจากลา
“เปิดมันออกเถิด!” วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยจ้องมองกล่องใบเล็กในมือของโม่จวินเจ๋อ นางอยากรู้อยากเห็นมานานแล้ว ทว่ามนุษย์ผู้นี้หวงแหนยิ่งนัก ไม่ให้นางได้แตะเสียด้วยซ้ำ!
กระบี่เหมันต์เร้นลับก็อยากรู้อยากเห็นเช่นกัน มันเร่งเร้าให้โม่จวินเจ๋อเปิดกล่องดู มันรู้สึกได้ว่าสิ่งของภายในกล่องอาจมีประโยชน์ต่อมันก็เป็นได้
เพราะก่อนจากไป หลิงเยว่ได้ลูบหัวมันพร้อมเอ่ยว่า นางเฝ้ารอที่จะเห็นวิวัฒนาการของมัน และขอบใจที่มันขัดขวางโม่จวินเจ๋อตอนที่ถูกเถาวัลย์ปีศาจควบคุม
ดังนั้นสิ่งของภายในกล่องจึงต้องเกี่ยวข้องกับมันเป็นแน่!
ภายใต้เสียงเร่งเร้าของทั้งสอง โม่จวินเจ๋อจึงเปิดกล่องใบเล็กนั้นออกดู