ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 162 นางจะมาเป็นอาจารย์หรือ? ไม่เหมาะสมเลย!
บทที่ 162 นางจะมาเป็นอาจารย์หรือ? ไม่เหมาะสมเลย!
หลังจากที่โม่จวินเจ๋อเปิดกล่องใบเล็กออกดู กลับพบว่าสิ่งของด้านในคือก้อนหินธรรมดา
วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยถอนหายใจเสียงดัง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “มนุษย์ผู้นั้นไม่เพียงแต่นิสัยไม่ดี ซ้ำยังตระหนี่อีกต่างหาก ของขวัญที่ให้ก็แค่หินก้อนเดียว!”
แต่เมื่อกระบี่เหมันต์เร้นลับเห็นหินก้อนนั้นก็ตื่นเต้นจนลอยตัวไม่นิ่ง โยกไปโยกมาในอากาศอยู่นานกว่าจะตั้งหลักได้
“หิน… หินขัดเกลาจิตวิญญาณโบราณ!”
วัสดุสำคัญที่สามารถยกระดับกระบี่เหมันต์เร้นลับให้กลายเป็นกระบี่เทวะก็คือหินขัดเกลาจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาขาดหายไป แม้จะพยายามตามหากันจนแทบพลิกแผ่นดินก็ไม่พบ!
แล้วหลิงเยว่ได้มันมาจากที่ใด?
โม่จวินเจ๋อเองก็ตกตะลึงอยู่นาน ทันใดนั้นรอยยิ้มของเขาก็ปรากฏบนใบหน้า รอยยิ้มนั้นเจิดจ้าจนเกือบทำให้วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยตาพร่าเข้าแล้ว
“ดูเหมือนว่าการเดินทางไปยังสำนักกระบี่จะต้องเลื่อนออกไป ก่อนอื่นต้องกลับสำนักเสียก่อน”
กระบี่เหมันต์เร้นลับเปลี่ยนทิศทางทันที มุ่งตรงไปยังสำนักหลานเทียน เหล่าผู้แข็งแกร่งระดับฝ่าทัณฑ์สวรรค์ของสำนักหลานเทียน นอกจากบรรพจารย์เล่อเหอแล้ว ยังมีบรรพชนแห่งยอดเขาหลอมศาสตราของสำนัก ด้วยวิชาการหลอมศาสตราวุธของเขา เพียงพอที่จะหลอมศาสตราวุธครึ่งเทวะให้กลายเป็นศาสตราวุธเทวะได้!
ในวันสุดท้ายก่อนการเปิดเรียนของสำนักกลั่นโอสถเหอตง หลิงเยว่และหัวหน้าตะขาบมรกตก็เดินทางมาถึงแล้ว
“โชคดีที่มาทันเวลา ไม่รู้ว่าปีนี้รับศิษย์ไปแล้วเท่าใด”
เถาวั่งเก็บยานบิน ยืนอยู่หน้าประตูสำนักศึกษาอันโอ่อ่าและสง่างาม รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายิ่งกว้างขึ้น
“ผู้อาวุโสเถา พวกท่านกลับมาแล้วหรือ!”
“ผู้อาวุโสเถา พบกับตะขาบมรกตสี่ปีกหรือไม่ เหมือนกับในตำราโบราณจริงหรือ?”
“มันอัปลักษณ์มากจริงหรือ?”
เหล่าศิษย์กลุ่มหนึ่งล้อมรอบผู้อาวุโสเถาไว้ แต่หลิงเยว่และตัวละครหลักที่ถูกพูดถึงอย่างหัวหน้าตะขาบมรกตถูกเบียดออกจากวงล้อม
“เจ้าต่างหากที่อัปลักษณ์ พวกเจ้าทั้งตระกูลล้วนอัปลักษณ์!”
หัวหน้าตะขาบมรกตตะโกนด่าลั่น เมื่อศิษย์คนหนึ่งกล่าวหาว่าเขาอัปลักษณ์ บรรยากาศที่คึกคักก็สงบลงทันที ในขณะที่ตัวเขาและหลิงเยว่ที่ไม่โดดเด่นก็ได้รับความสนใจแทน
“เจ้า…” ศิษย์ผู้นั้นกลืนน้ำลายลงคอ แล้วพิจารณาเส้นผมสีเขียวมรกตของหัวหน้าตะขาบมรกตและหนวดของมันที่ซ่อนอยู่ในเส้นผม ซึ่งปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราว รวมไปถึงดวงตาสีทับทิมด้วย
ตรงกับที่บันทึกไว้ในตำราโบราณทุกประการ แต่… เนื่องจากพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเผ่าพันธุ์ตะขาบมรกตสี่ปีก พวกมันจึงสามารถรักษาไว้ได้เพียงรูปร่างของแมลง แม้ว่าจะผ่านการแปลงร่างแล้วก็ตาม
“เจ้าว่าอย่างไรนะ เจ้าพูดติดขัดแล้วหรือ?!” หัวหน้าตะขาบมรกตส่งเสียงฮึดฮัด มองดูมนุษย์ที่ไม่ค่อยได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่อย่างเหยียดหยาม
แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย เหล่าศิษย์หนุ่มสาวล้วนอารมณ์ร้อน ย่อมอดทนไม่ได้
เถาวั่งรีบเอ่ยอย่างกังวลใจ เขาไม่ต้องการเห็นลูกศิษย์บางคนถูกลงโทษ “เขาคือหัวหน้าตะขาบมรกตแห่งเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีก ผู้ที่อยู่ถัดไปคือสหายของเขา นามหลิงเยว่ นางจะมาเป็นอาจารย์สอนวิชาพิเศษของพวกเจ้า”
เหล่าศิษย์ที่ยังไม่ทันได้ตะลึงกับสถานะของหัวหน้าตะขาบมรกตต่างก็งุนงง เมื่อได้ยินคำแนะนำของแม่นางผู้นั้น
พวกเขามองเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าพวกเขา แต่นางกลับเป็นอาจารย์ของพวกเขาอย่างนั้นหรือ?
ผู้อาวุโสเถาเสียสติไปแล้ว หรือพวกเขาหูฝาดไปกันแน่?
หลิงเยว่ยิ้มน้อย ๆ จากนั้นก็หยิบอมยิ้มฟื้นปราณที่มีขนาดใหญ่กว่าศีรษะของนางออกมา แล้วมอบให้เหล่าศิษย์ที่ยังคงตกใจอยู่ทีละคน
หัวหน้าตะขาบมรกตเห็นดังนั้นจึงแย่งอมยิ้มจากมือศิษย์ที่กล่าวหาว่าเขาอัปลักษณ์มาอมไว้ในปาก แก้มทั้งสองข้างถึงกับบูดเบี้ยวไปหมด ความจริงแล้ว… ช่างน่าเกลียดเสียจริง
“ขอบ… ขอบคุณอาจารย์หลิง”
ต่อหน้าผู้ที่อายุน้อยกว่าตนเอง เรียกขานว่าอาจารย์มันก็ยากที่จะเปล่งวาจาออกไป
พวกเขานั้นเปล่งวาจาเรียกหลิงเยว่ว่าอาจารย์ช่างยากเย็นนัก แต่หลิงเยว่กลับรู้สึกสะใจเสียอย่างนั้น!
“พอแล้ว อย่ามัวมุงกันอยู่ตรงนี้ ต่อไปพวกเจ้าจะได้พบเจอพวกเขาบ่อยขึ้น” เถาวั่งและเหล่าอาจารย์อื่น ๆ พาหลิงเยว่กับหัวหน้าตะขาบมรกตเข้าสู่สำนัก ทิ้งให้เหล่าศิษย์กลุ่มนั้นยังคงรู้สึกมึนงงในชีวิตต่อไป
พวกเขารู้เพียงว่าผู้อาวุโสเถาพร้อมเหล่าอาจารย์เดินทางไปยังเมืองฮั่วหยางเพื่อไปดูเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีก แต่ไม่นึกว่าจะพาอาจารย์กลับมาด้วย
“นี่นางทำเหมือนกับพวกเราเป็นเด็กหรือ?”
มีศิษย์คนหนึ่งโยนอมยิ้มในมือนั้นทิ้งด้วยความดูถูก ในขณะที่อมยิ้มนั้นกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ศิษย์ที่โดนหัวหน้าตะขาบมรกตแย่งอมยิ้มไปก็คว้ามันไว้ได้ทัน
“หากเจ้าไม่ต้องการ ข้าจะรับเอาไว้เอง”
น้องสาวของเขานั้นชอบกินอมยิ้มเป็นชีวิตจิตใจ ยิ่งอมยิ้มที่สวยงามเช่นนี้แล้ว ทิ้งไปก็น่าเสียดาย
เหล่าศิษย์ส่วนใหญ่นั้นโยนอมยิ้มส่งให้กับหัวหน้าชั้นอย่างเซี่ยเหยียนรุ่ยด้วยความรังเกียจ ส่วนที่เหลือก็พากันเดินจากไปพร้อมกับอมยิ้มในมือ
สำนักกลั่นโอสถเหอตงเกิดการสั่นสะเทือนไปทั่ว เมื่ออาจารย์น้อยผู้มีอายุเพียงสิบแปดปีมาเยือน สร้างความฮือฮาไปทั่วสำนัก เหล่าศิษย์ในสำนักต่างตื่นตระหนกกันยกใหญ่
“ทางสำนักหาอาจารย์ไม่ได้แล้วหรือ?”
“โอ้! ไม่นะ บอกข้าทีว่าข่าวนี้ไม่ใช่เรื่องจริง”
“เหตุใดเจ้าทั้งหลายถึงตื่นเต้นเพียงนี้ บางทีอาจารย์น้อยอาจจะมีความสามารถที่โดดเด่นก็ได้”
“มีความสามารถใดกันเล่า หากอายุสิบแปด อยู่ขอบเขตสร้างรากฐานขั้นต้น มีพรสวรรค์เช่นนี้ถือว่าดีเยี่ยมแล้ว แต่สถานที่นี่คือที่ใด ที่นี่คือสำนักกลั่นโอสถ! จะมาเป็นอาจารย์สักคน อย่างน้อยควรมีชุดคลุมกลั่นโอสถขั้นต้น แต่นางเป็นเช่นนี้ถือว่าเหมาะสมแล้วหรือ!”
ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
นี่คือเสียงส่วนใหญ่ของเหล่าศิษย์
“ดูเถิด ข้าบอกแล้วว่าให้นางมาเป็นอาจารย์คงยากที่จะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับ”
อาจารย์ผู้หนึ่งที่ยืนข้างเถาวั่งถอนหายใจ ทว่าตอนนี้เขาไม่มีท่าทีต่อต้านหลิงเยว่อีกแล้ว เมื่อได้ศึกษาเรื่องเต้าฮวยฟื้นปราณมาได้สักพัก เขาก็รู้สึกยอมรับนางขึ้นมา
“ไม่ต้องรีบร้อน” เถาวั่งกล่าวอย่างใจเย็น
หลิงเยว่ที่สามารถพิชิตเมืองฮั่วหยางได้ เหตุใดจึงจะสั่งสอนเหล่าศิษย์ในห้องเรียนไม่ได้เล่า
พวกเขาเหล่านี้ประเมินท่านรองเจ้าเมืองหลิงผู้นี้ต่ำเกินไปแล้ว…
หลิงเยว่ก็คิดเช่นกัน ทว่านางตั้งใจจะไปสอบเอาชุดคลุมนักกลั่นโอสถเพื่อสวมใส่สักชุดก่อน คงไม่ยากเกินไปใช่หรือไม่
เมื่อได้ยินความต้องการของนาง เถาวั่งก็แปลกใจและเงยหน้ามองนาง ชุดคลุมนักกลั่นโอสถขั้นหนึ่งนั้นต้องใช้โอสถขั้นต่ำหกชนิดในการกลั่น จากที่เขาได้ยินมา…
“เจ้าไม่ได้กลั่นโอสถฟื้นปราณเท่านั้นหรอกหรือ?”
“ใช่เจ้าค่ะ” หลิงเยว่ชี้แจงอย่างองอาจ “แม้โอสถขั้นต่ำอื่น ๆ ข้ายังไม่เคยลองกลั่น แต่ข้าทราบถึงกระบวนการกลั่นเป็นอย่างดี แม้แต่สมุนไพรในตำรับข้าก็สามารถจำได้ครบถ้วน คงจะไม่ยากเกินไปไม่ใช่หรือ?”
หลิงเยว่เริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาเมื่อพูดไป รู้สึกถึงสายตาที่มีความหมายแฝงจากเหล่าอาจารย์ ทำให้ความมั่นใจของนางเริ่มสั่นคลอน
“เอ่อ… ข้าคงไม่ทำให้สำนักเสื่อมเสียเกียรติเป็นแน่ อุบัติเหตุระเบิดคงจะไม่มีทางเกิดขึ้น”
ไม่ว่าหลิงเยว่จะสาบานหรือรับรองอย่างไร อาจารย์เถาหว่างและคนอื่น ๆ ก็ยังไม่อาจเชื่อใจนัก เมื่อไม่นานมานี้วีรกรรมอันรุ่งโรจน์ของนางที่เมืองฮั่วหยางยังคงเล่าขานกันไม่จบสิ้น แล้วพวกเขาจะเชื่อได้อย่างไรว่านางจะผ่านการทดสอบนักกลั่นโอสถขั้นหนึ่งอันแสนเข้มงวดได้
“ท่านอาจารย์ทั้งหลาย บอกมาเถิดว่าจะให้ไปสอบที่ใด ข้าจะปลอมตัวและเปลี่ยนชื่อไปเจ้าค่ะ!”
กล่าวไปกล่าวมาก็กลัวแต่เพียงว่านางจะทำให้สำนักอับอายขายหน้าเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ
“ที่หอเลี่ยนตานใจกลางเมือง”
ได้คำตอบแล้ว หลิงเยว่ก็ลากหัวหน้าตะขาบมรกตตรงไปยังใจกลางเมือง ไม่รอให้เถาวั่งมีโอกาสหว่านล้อมอีก
“ถ้าเช่นนั้น ให้ข้าลองไปดูดีหรือไม่?”
สถานะของหลิงเยว่ในตอนนี้ หากเกิดเรื่องใดขึ้นกับนาง ชิงยวนย่อมกระทำการเหยียบย่ำสำนักอย่างแน่นอน ก่อนที่หลิงเยว่จะมาถึงที่นี่นางได้ตักเตือนพวกเขาทีละคนแล้ว
“ไปด้วยกันเถิด”
เถาวั่งก็ไม่ค่อยวางใจนัก ดังนั้นแม้จะเพิ่งกลับมาถึงสำนัก คนทั้งหมดจึงไม่ได้พักผ่อนแม้แต่น้อย ต่างก็แอบตามหลิงเยว่กับหัวหน้าตะขาบมรกตไปราวกับโจร
หลิงเยว่กับตะขาบมรกตยืนอยู่ใจกลางเมืองซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน
“ที่นี่ใช่หรือไม่?”
หลิงเยว่แสดงสีหน้าตกใจยิ่งนัก นี่คือหอเลี่ยนตานอย่างนั้นหรือ?
นี่ถือเป็นเมืองที่อยู่ในเมืองแล้ว!
ผู้บำเพ็ญที่เดินผ่านไปมานั้นล้วนสวมชุดคลุมของนักกลั่นโอสถ สมแล้วที่เป็นดินแดนของนักกลั่นโอสถ!
หลิงเยว่มองจนตาค้าง