ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 163 เจ้ากล้าแตะต้องนางดูสิ!
บทที่ 163 เจ้ากล้าแตะต้องนางดูสิ!
หัวหน้าตะขาบมรกตไม่สบตาหลิงเยว่แม้แต่น้อย
พวกเขาต่างมาดินแดนเหอตงเป็นครั้งแรกเช่นกัน แล้วเหตุใดเจ้ามนุษย์เปราะบางถึงมั่นใจว่าเขาจะรู้จักที่นี่เล่า
หลิงเยว่ผู้ไม่ได้คาดหวังคำตอบจากหัวหน้าตะขาบมรกต เดินตามผู้คนเข้าไปในหอเลี่ยนตานทันที เมื่อก้าวเข้าไปในหอแล้ว ภาพบนจอขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้น ทำให้นางรู้สึกราวกับว่าได้กลับไปยังประเทศจีนเหลือเกิน
มันช่างล้ำยุคล้ำสมัยเสียจริง!
หลิงเยว่พินิจดูอย่างละเอียด นางพบว่าหน้าจอขนาดใหญ่ที่เลื่อนไหลไปมานั้นเต็มไปด้วยภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการกลั่นโอสถ ซึ่งสถานที่ทำภารกิจนั้นครอบคลุมไปทั่วโลกผู้บำเพ็ญเซียน นอกจากนี้จำนวนหินวิญญาณที่เป็นรางวัลสำหรับภารกิจระดับสูงนั้นก็ยังมากมายมหาศาลนัก!
นางไม่แปลกใจเลยที่ผู้บำเพ็ญจากทั่วโลกผู้บำเพ็ญเซียนต่างปรารถนาที่จะฝึกฝนวิชาการกลั่นโอสถเป็นงานเสริม มันช่างทำเงินมหาศาลเสียเหลือเกิน!
หลิงเยว่ถอนหายใจแล้วออกมายืนด้านนอก นางมองป้ายที่เขียนว่า ‘หอภารกิจ’ ด้วยความสงสัย แล้วสถานที่ทดสอบอยู่ที่ใดกันเล่า? นางพึมพำกับตัวเอง
เป็นไปได้หรือไม่ที่เหล่าอาจารย์จะโกหกนางโดยมีเจตนาป้องกันไม่ให้นางออกไปทำให้เรื่องขายหน้า
นับว่าเป็นไปได้อย่างมาก!
“น้องชายท่านนี้” หลิงเยว่ซักถามนักกลั่นโอสถที่เดินผ่านมาใกล้ ๆ “ข้าขอถามหน่อยเถิด ว่าสถานที่ทดสอบนักกลั่นโอสถ…”
“เจ้าเรียกข้าว่าน้องชายได้อย่างไร อย่ามาขวางทางข้า!”
นักกลั่นโอสถหนุ่มผู้ถูกถามถึงถอนหายใจอย่างหงุดหงิด พลางยื่นมือออกไปเพื่อผลักหลิงเยว่ที่ขวางทางอยู่
“ซีชาง เจ้ากล้าแตะต้องนางก็ลองดูสิ!” เถาวั่งตะโกนเสียงดังด้วยความโกรธ
ชายผู้ถูกเรียกชื่อชะงักงัน ความดื้อรั้นผุดขึ้นมาทันที ชายคนนั้นใช้ปลายนิ้วจิ้มแขนหลิงเยว่ก่อนหันกลับมาพูดจาถากถาง “หากข้าจะแตะต้องนาง แล้วท่านจะทำอย่างไร!”
หลิงเยว่ผู้ถูกจิ้มแขน “…”
ทันใดนั้นเอง
เถาวั่งมองชายที่เขาเรียกว่าซีชาง ก่อนจะหันกลับมาหาหลิงเยว่ด้วยท่าทีอ่อนโยนและพูดว่า “ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
“พวกท่านไปที่ใด ข้าก็จะไปด้วย” ซีชางตามมาอย่างไม่แยแส พลางมองหลิงเยว่ด้วยสายตาใคร่รู้
“ท่านอาจารย์เถา คนผู้นี้คงไม่ใช่ลูกนอกสมรสของท่านกระมัง…”
คำสุดท้ายยังไม่ทันจะออกจากปาก ชายคนนั้นก็ถูกอาจารย์อีกคนวิ่งมาปิดปากไว้เสียก่อน
“วันข้างหน้านางจะเป็นอาจารย์ของเจ้า จำไว้ว่าเจ้าต้องเคารพนาง!”
คำพูดนั้นราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจซีชาง เขาชี้ไปยังหลิงเยว่ที่เดินนำหน้า “นางน่ะหรือ?”
“ถูกแล้ว นางนั่นแหละ”
อาจารย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ พวกเขาเอาแต่ศิษย์เกเรของสำนักมาไว้ห้องเดียวกันแล้วให้หลิงเยว่คุม นี่ถือเป็นการแก้แค้นอะไรหรือไม่?
ในเวลาอันใกล้นี้คงมีเรื่องสนุกให้ดูแล้วเป็นแน่!
แม้จะรู้สึกสงสารหลิงเยว่ แต่เลือดในกายของเขากลับพลุ่งพล่านขึ้นมาเสียอย่างนั้น!
หลิงเยว่ที่ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าตนต้องเจอกับเหล่าศิษย์เกเรทั้งหลาย ก็ถูกพาไปที่ส่วนคัดเลือกสำหรับการทดสอบผู้กลั่นโอสถระดับหนึ่ง เมื่อทุกคนปรากฏตัวขึ้นต่างก็เป็นที่จับตามอง
“ผู้อาวุโสเถา ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?” ผู้ดูแลถามเถาวั่ง แต่สายตาของเขากลับสลับไปมาระหว่างหลิงเยว่กับหัวหน้าตะขาบมรกต
มนุษย์กับสัตว์คู่นี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ถึงได้มาที่นี่พร้อมกับอาจารย์กลั่นโอสถระดับสูงคนหนึ่ง และอาจารย์กลั่นโอสถระดับกลางอีกสามคนเช่นนี้
“จะมองอะไรนักหนา ถ้ามองอีกครั้งข้าจะควักดวงตาเจ้าออกเสีย!”
หัวหน้าตะขาบมรกตจ้องเขม็งด้วยความโกรธ หากไม่ใช่เพราะเจ้ามนุษย์เปราะบางเอาโอสถแปลงร่างระดับเทพมาเป็นรางวัล เขาคงไม่มีวันมาเหยียบดินแดนตะวันออกแห่งนี้เพื่อเผชิญหน้ากับมนุษย์พวกนี้ที่คิดปองร้ายลูกหลานของเขาหรอก!
หัวหน้าตะขาบมรกตเป็นศัตรูกับนักกลั่นโอสถทุกคนในโลกผู้บำเพ็ญเซียน รวมถึงหลิงเยว่ด้วย
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ เขามีอารมณ์ฉุนเฉียวไปบ้าง แต่ไม่ได้มีเจตนาชั่วร้าย” หลิงเยว่กล่าวขอโทษโดยไม่ตั้งใจ เพราะนางเพิ่งมาถึง จึงต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวไว้ก่อน “หากเจ้าไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็น ก็จงคืนสู่ร่างเดิมเถิด”
หัวหน้าตะขาบมรกตหัวเราะในลำคอ ขณะนี้เขาอยู่ในร่างมนุษย์ นักกลั่นโอสถพวกนี้จึงมองไม่ทะลุถึงต้นกำเนิดเดิมของหัวหน้าตะขาบมรกต ถือว่าช่วยประหยัดเวลาจากเรื่องยุ่งยากไปได้เยอะทีเดียว
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เห็นแก่หน้าเถาวั่ง ผู้ดูแลจึงไม่ได้ถือสาหาความกับหัวหน้าตะขาบมรกต “ท่านต้องการทดสอบหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ”
หลิงเยว่พยักหน้า นางจะได้ลองเสียทีว่าการทดสอบนี้ยากเย็นเพียงใด!
จากนั้นนางก็ถูกพาไปยังห้องกลั่นโอสถขนาดใหญ่เพียงผู้เดียว ภายในนั้นเต็มไปด้วยเตากลั่นโอสถแบบเดียวกันเรียงรายเป็นแถว ดูอลังการยิ่งนัก เตากลั่นโอสถหมายเลขหนึ่ง สอง และสาม มีทั้งผู้หญิงสองคนและผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าเตา แต่ละคนก็มาเพื่อเข้ารับการทดสอบเช่นกัน
“ทุกคนมาถึงแล้ว เริ่มได้เลย”
นักกลั่นโอสถอาวุโสผู้ดูแลห้องทดสอบนี้หยิบแผ่นหยกสีขาวนวลออกมาสี่แผ่นด้วยมือสั่นเทา “โอสถระดับต่ำที่ต้องกลั่นล้วนอยู่ในนั้น”
เมื่อหลิงเยว่ได้รับแผ่นหยก นางก็ดูรายชื่อยาที่ปรากฏบนนั้น พบว่าเป็นโอสถระดับต่ำห้าชนิด ประกอบด้วย โอสถสลายกระดูก โอสถบำรุงเนตร โอสถถอนพิษ โอสถทลายปราการ และโอสถคลายมายา ยกเว้นโอสถถอนพิษซึ่งเป็นโอสถที่พบได้ทั่วไปแล้ว แต่โอสถอีกสี่ชนิดที่เหลือล้วนหายากยิ่ง
ทันใดนั้นหลิงเยว่ก็รู้สึกไม่อยากจะทดสอบอีกต่อไป นี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้งนางหรอกหรือ!
หลิงเยว่ทุ่มเทเวลาหลายปีมานี้ ศึกษาเฉพาะโอสถฟื้นฟูระดับต่ำที่ใช้สำหรับฟื้นฟูปราณ ห้ามเลือด รวบรวมพลังและรักษาบาดแผล ถึงแม้ว่านางจะรู้ตำรับโอสถในแผ่นหยก แต่… ไม่เคยลองทำเลย
นางไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายถึงได้มองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่วางใจ ตอนนี้แม้แต่นางเองก็ไร้ซึ่งความมั่นใจเสียแล้ว
ถึงอย่างไรลูกธนูอยู่บนสายแล้วย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องฝืนใจทำมันต่อไป
ผู้เข้าร่วมการทดสอบอีกสามคนข้าง ๆ เริ่มต้นด้วยการสร้างเขตอาคมป้องกัน เมื่อเขตอาคมเริ่มทำงานแล้ว การเคลื่อนไหวของนักกลั่นโอสถที่อยู่ภายในจะมองเห็นได้เฉพาะผู้คุมสอบเท่านั้น ผู้เข้าร่วมการทดสอบคนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้
สิ่งนี้ได้ช่วยยกระดับความเป็นส่วนตัวของเหล่านักกลั่นโอสถให้สูงขึ้นอย่างมาก หลิงเยว่เองก็สามารถเริ่มปลูกเมล็ดพันธุ์ได้แล้ว
ระยะเวลาสอบมีเพียงแค่สองวัน ถือว่าโหดร้ายมาก หากจะกลั่นโอสถเบญจธาตุนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลย นางจึงกลั่นได้เพียงโอสถธรรมดาเท่านั้น
โชคดีที่การทดสอบกำหนดไว้เพียงเวลา ไม่ได้จำกัดว่าต้องใช้สมุนไพรวิญญาณและเตากลั่นโอสถที่ทางผู้จัดเตรียมไว้ให้เท่านั้น แต่สามารถใช้ของที่ตนเองนำมาได้ มิฉะนั้น… หลิงเยว่คงล้มเหลวก่อนที่การทดสอบจะเริ่มต้นเสียอีก
“ผู้อาวุโสเถา ท่านว่าท่านรองเจ้าเมืองหลิงจะสามารถผ่านการทดสอบนี้ไปได้หรือไม่?” อาจารย์แห่งสำนักกลั่นโอสถผู้หนึ่งถามขึ้น แม้จะถามเช่นนี้ ทว่าเขาก็รู้ดีถึงฝีมือการกลั่นโอสถของหลิงเยว่ ได้แต่หวังว่าในตอนท้ายจะไม่อับอายจนเกินไปนัก อย่างน้อยก็ขอให้กลั่นโอสถออกมาได้สักหนึ่งหรือสองชนิดเถิด
เถาวั่งได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไร
เถาวั่งรู้สึกว่าอาจจะไม่ราบรื่นนัก เพราะผู้คุมสอบในครั้งนี้มีความบาดหมางกับเขาเป็นครั้งคราว บางทีอาจแก้ไขการทดสอบโอสถชั่วคราวก็เป็นได้ เพราะหลิงเยว่เป็นคนที่เขาพามา
เหล่าอาจารย์ต่างนึกคิดหาวิธีปลอบประโลมหลิงเยว่ที่ทดสอบไม่ผ่านไว้แล้ว ขณะที่หัวหน้าตะขาบมรกตนั่งอยู่บนเก้าอี้หยิบอาหารวิญญาณพิเศษที่รวบรวมจากเมืองฮั่วหยางขึ้นมารับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
กลิ่นหอมจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งไปเตะจมูกของผู้อาวุโสกลั่นโอสถที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เดิมทีเขากำลังหลับตาอยู่ แต่เมื่อได้กลิ่นนี้เขาก็ลืมตาขึ้นมา
สิ่งแรกที่ทำคือหันไปมองหัวหน้าตะขาบมรกตด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็เพ่งพินิจไปยังอาหารหลากหลายประเภทที่วางอยู่บนโต๊ะ ค่อย ๆ แยกแยะกลิ่นหอมของสมุนไพรวิญญาณต่าง ๆ ที่ลอยออกมา
“อยากกินหรือ?”
หัวหน้าตะขาบมรกตแบ่งไก่ย่างเสียบไม้ให้กับผู้อาวุโสหนึ่งไม้ ไก่ย่างเสียบไม้โรยด้วยพริกป่นสีแดงฉาน ส่งกลิ่นฉุนของความเผ็ดออกมาเล็กน้อย
เถาวั่ง “…”
เจ้าตะขาบมรกตนี่จงใจใช่หรือไม่?
ไม่เห็นหรือว่าผู้อาวุโสแทบจะไม่มีฟันเหลือแล้ว?
ให้กินไก่ย่างที่มีรสเผ็ดจัดเช่นนั้น เจ้าคิดได้อย่างไร?
นักกลั่นโอสถอาวุโสผู้นั้นรับมาอย่างใจเย็น เขาไม่ได้ต้องการจะกินมัน เพียงแต่เขาแยกแยะไม่ออกว่าผงสีแดงที่โรยอยู่บนเนื้อไก่คือสิ่งใดกันแน่ เห็นชัดเจนว่าไม่ใช่สมุนไพรสำหรับใช้ทำโอสถฟื้นปราณ แต่กลับมีกลิ่นหอมของสมุนไพรวิญญาณ แม้กลิ่นจะค่อนข้างฉุนแสบจมูกไปสักหน่อย
“นี่คือสิ่งใดกัน?”
“ผงพริก…” เถาวั่งผู้ถูกถามตอบกลับทันที แล้วรีบเอ่ยเตือน “ท่านอย่าเพิ่งรีบกิน…”
คำว่ากินยังไม่ทันจะพ้นปาก ผู้อาวุโสท่านนั้นก็กัดไก่ย่างลงไปหนึ่งคำแล้ว
ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความทุกข์ทรมาน น้ำตาเอ่อคลอ
หัวหน้าตะขาบมรกตกลั่นแกล้งได้สำเร็จก็หัวเราะออกมาเสียงดัง