ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 166 ตราบใดที่ไม่ได้ฆ่าผู้ใดตาย จะสอนเช่นไรก็ได้
บทที่ 166 ตราบใดที่ไม่ได้ฆ่าผู้ใดตาย จะสอนเช่นไรก็ได้
หลิงเยว่ก้าวเท้าเข้ามายังห้องเรียนด้วยความตื่นเต้นและกังวลใจ แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้านางกลับเป็นห้องเรียนที่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งเงาของเหล่าศิษย์ทั้งหลาย ปากของนางก็พลันกระตุก
หลังจากที่หลิงเยว่ได้รู้จักนิสัยใจคอและวีรกรรมอันโดดเด่นของเหล่าศิษย์ทั้งห้าสิบคนแล้ว นางคาดการณ์ไว้ว่าจะต้องมีการกลั่นแกล้งสารพัด แต่นางก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะไม่มาเข้าห้องเรียนเลย
หลิงเยว่ยังให้หัวหน้าตะขาบมรกตเฝ้าติดตามนางอย่างใกล้ชิด เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุร้าย
หัวหน้าตะขาบมรกตยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มนั้นในสายตาของหลิงเยว่เต็มไปด้วยการเย้ยหยันและหัวเราะเยาะที่นางพยายามเตรียมการสอนอยู่หลายวันแต่ทุกอย่างกลับเปล่าประโยชน์
หลิงเยว่ลากเก้าอี้มายังแท่นที่นั่งประจำตำแหน่งผู้สอน จากนั้นนางก็นั่งลง พลางครุ่นคิดว่าจะปล่อยไปเช่นนี้ดี หรือจะทำตัวเป็นอาจารย์ที่เคร่งครัด
การปล่อยเลยตามเลยนั้น… ไม่ค่อยเข้ากับตัวตนของนางสักเท่าไหร่ แต่หากจะทำตัวเป็นอาจารย์ที่เคร่งครัด… พวกเด็กเกเรเหล่านั้นจะรับมือไหวหรือ
“ตราบที่ไม่ได้ฆ่าผู้ใดตาย นางจะสอนเช่นไรก็ได้”
เถาวั่งเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมรอยยิ้ม เขารู้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะไม่มีศิษย์คนใดเข้าเรียน วันนี้เขาจึงมาเพื่อดูว่าหลิงเยว่จะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร
“ทำอย่างไรดี?”
จากที่หลิงเยว่รู้มา พวกเด็กเกเรเหล่านี้มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา หากพวกเขาร้องไห้ฟูมฟายไปฟ้องที่บ้าน… นางคงไม่พ้นเงื้อมมือของพวกเขาอย่างแน่นอน
“ทางสำนักจะคอยหนุนหลังเจ้าเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเถาวั่ง หลิงเยว่ก็อุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
หัวหน้าตะขาบมรกตได้ปล่อยลูกหลานในเผ่าพันธุ์ของตัวเองออกมาอีกห้าสิบตัว พวกมันมุ่งหน้าไปตามหาตัวของพวกเด็กเกเรตามเส้นทางที่เถาวั่งบอกไว้
ส่วนหลิงเยว่ก็ปล่อยแก่นปราณอัคคีเพื่อทำลูกชิ้นหลากรสขึ้นมา ถือเป็นรางวัลให้เหล่าตะขาบมรกตสี่ปีกที่ออกไปตามหาลูกศิษย์เกเรพวกนั้นให้นาง แต่ก็ไม่ลืมเก็บไว้ส่วนหนึ่งเพื่อนำมาใช้ในการสอนด้วย
ตะขาบมรกตสี่ปีกจำนวนห้าสิบตัวปรากฏขึ้นในสำนักกลั่นโอสถเหอตง ทำให้เหล่านักกลั่นโอสถจำนวนมากมามุงดู พวกเขาต่างสนใจในตัวพวกมันเป็นอย่างยิ่ง
“โอ้โห! นึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเถาจะพาตะขาบมรกตสี่ปีกมาได้มากมายเช่นนี้!”
“พวกเจ้าได้นับจำนวนมันหรือไม่? ห้าสิบตัวพอดี ห้าสิบตัวไม่ได้ตรงกับเหล่าศิษย์เกเรห้าสิบคนหรอกหรือ?”
“เช่นนั้นแล้ว เหล่าศิษย์ที่จะได้เข้าเรียนในชั้นเรียนพิเศษจะสามารถได้รับมันไปคนละตัวหรือไม่?”
บางคนถึงกับหายใจติดขัดเมื่อคิดเช่นนั้น หากนำเอาตะขาบมรกตสี่ปีกออกมาตั้งแต่แรก พวกเขาคงจะทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงโอกาสนั้นมาให้ได้ แม้ว่าอาจารย์จะเป็นเพียงเด็กสาวเท่านั้น แต่พวกเขาก็ยินดีที่จะอดทน!
นับเป็นความคิดของเหล่านักกลั่นโอสถแทบทุกคนที่ได้พบเห็นตะขาบมรกตสี่ปีก แม้แต่เหล่าอาจารย์อาวุโสหลายท่านก็ยังปรารถนาที่จะได้เป็นศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษเช่นกัน แต่เหตุใดพวกเขาจึงไม่มาหาพวกเราเล่า?
หากต้องการเหล่าศิษย์เกเร พวกเขาก็สามารถเป็นให้ได้ในทันที เอาให้เลวร้ายยิ่งกว่าเจ้าพวกนั้นเลย หรือแม้แต่…
เหล่านักกลั่นโอสถที่ไม่ได้รับเลือกให้เข้าเรียนในชั้นเรียนพิเศษต่างปรารถนาที่จะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง
“ซีชาง เจ้าเห็นหรือไม่ว่านั่นคือตะขาบมรกตสี่ปีก? มันแลดูอัปลักษณ์เสียจริง…”
คำว่า ‘อา’ ยังไม่ทันได้ออกจากปาก ศิษย์ผู้นั้นก็ถูกปีกของตะขาบมรกตปัดให้ปลิวหายไปในท้องฟ้าในทันใด แล้วเหล่าตะขาบมรกตที่ตามมาด้านหลังก็ได้คว้าตัวเขาเอาไว้
ก่อนจะคว่ำศีรษะของศิษย์คนนั้นดิ่งลงมาจากท้องฟ้า
“อ๊าก! ปล่อยข้า!”
เหล่าตะขาบมรกตไม่ได้ปล่อยมนุษย์ที่กำลังตะโกน แต่กลับใช้ปีกตบเข้าที่ใบหน้าจนเขาสลบ แสดงให้เห็นถึงความโกรธเกรี้ยวของมัน
เหล่าตะขาบมรกตสี่ปีกกว่าสิบตัวบินเข้ามาหาพวกซีชาง ดวงตาสีเขียวมรกตเล็ก ๆ นั่นกำลังมองไปโดยรอบ ก่อนจะหันไปพูดคุยกับพวกพ้องของตนเอง
ราวกับกำลังพูดว่า พวกนั้นใช่หรือไม่?
น่าจะใช่?
เช่นนั้นก็จับตัวพวกเขาไว้!
ตะขาบมรกตหนึ่งตัวต่อศิษย์หนึ่งคนจากชั้นพิเศษ หลังจากนั้นพวกมันก็ไม่พูดพร่ำให้เสียเวลา ใช้ปีกฟาดใส่ศิษย์เหล่านั้นจนสลบ แล้วก็พาตัวพวกเขาไป
ยังมีศิษย์บางคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงที่ถูกยกพาตัวไปเช่นกัน ศิษย์บางคนที่กำลังกลั่นโอสถพิษก็ถูกตะขาบมรกตสี่ปีกบุกรุกเข้าไปและพาตัวออกไปอย่างหยาบคาย และหากศิษย์คนใดโจมตีตะขาบมรกตสี่ปีกเหล่านี้ก็ล้วนมีจุดจบที่น่าอนาถเป็นพิเศษ จึงไม่มีผู้ใดหนีรอดจากเงื้อมมือของเหล่าตะขาบมรกตสี่ปีกได้!
ครึ่งชั่วยามต่อมา เหล่าศิษย์เกเรทั้งห้าสิบคนก็มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า
เพียงแต่ว่าไม่มีผู้ใดรู้สึกตัวเลย
หลิงเยว่เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ทำให้มือที่ถือตะแกรงสั่นระริกไปหมด
ตะขาบมรกตสี่ปีกจำนวนห้าสิบตัวเกาะอยู่ที่หัวไหล่ของหลิงเยว่ และบริเวณที่รัดเอวด้วย เห็นแบบนี้แล้วเถาวั่งก็อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ มีตะขาบมรกตจำนวนตั้งห้าสิบตัว หากแบ่งให้เขาสักตัวก็เพียงพอแล้ว!
“เจ้ามนุษย์เปราะบาง เจ้าต้องตอบแทนข้าเสียหน่อย!”
หลิงเยว่หยิบลูกชิ้นทอดมาหลายจานจากแหวนเก็บของด้วยใบหน้าเรียบเฉย และกล่าวกับเจ้าตะขาบมรกตว่า “ข้าไม่ได้บอกไปแล้วหรือว่าข้าชื่อหลิงเยว่!”
เหล่าตะขาบมรกตไม่ทันได้ฟังอะไรทั้งนั้น พวกมันพากันเกาะที่ขอบจาน จากนั้นก็เริ่มกินลูกชิ้นทอดกัน
ทุกครั้งที่หัวหน้าตะขาบมรกตกิน พวกมันก็อยากจะออกมากินบ้าง แต่หัวหน้าตะขาบมรกตไม่ยอมให้พวกมันออกมา ครั้งนี้ในที่สุดพวกมันก็ได้ออกมาเสียที ต่อให้พูดเช่นไรพวกมันก็จะไม่กลับไปแน่นอน!
หลิงเยว่ต้องการพวกมันช่วยเฝ้าห้องเรียน ป้องกันไม่ให้เหล่าศิษย์หลบหนี และไม่ให้พวกนั้นกลั่นแกล้งนางด้วย!
“โอสถเม็ดเดียวข้าว่าไม่พอแน่ พวกข้าทั้งหลายออกมาช่วยเจ้า ราคาย่อมสูงสักหน่อย!” หัวหน้าตะขาบมรกตได้ทีก็ฉวยโอกาส
บัดนี้หัวหน้าตะขาบมรกตพอใจแล้ว เขาไม่กลัวว่าเจ้ามนุษย์เปราะบางจอมงกผู้นี้จะหนีหนี้ เพราะหากนางกล้าหนีเขาก็จะฆ่าให้ตายเสียเลย!
เหล่าตะขาบมรกตสี่ปีกที่รู้ว่าตนเองจะไม่ถูกเรียกเก็บคืนไปในท้องของหัวหน้าตะขาบมรกตต่างก็มีความสุขเหลือเกิน
มีเพียงหลิงเยว่เท่านั้นที่รู้สึกเจ็บปวด เพราะการจ้างหัวหน้าและเหล่าตะขาบมรกตอีกห้าสิบตัวนั้นต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลถึงสองหมื่นล้าน นางเพิ่งจะได้เงินมาจากอาจารย์ประมาณหมื่นล้าน แต่ยังไม่เพียงพอที่จะซื้อโอสถแปลงร่างระดับเทพสองเม็ดด้วยซ้ำ คิดดูแล้ว ตอนนี้นางกำลังเป็นหนี้โอสถถึงสามเม็ด!
สามหมื่นล้าน!
ค่าตอบแทนภารกิจของนางกลับมีเพียงห้าพันล้านเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพื่อค่าความสามารถในการมีชีวิตอยู่ต่อ นางจะไม่ยอมทำกิจการที่ขาดทุนเช่นนี้แน่
ลูกศิษย์ที่นอนอยู่บนพื้นมีบางคนค่อย ๆ ขยับเปลือกตา แล้วลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อสบตากับใบหน้าหนึ่งก็ตกใจกลัวจนถอยกรูด
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลิงเยว่เผยรอยยิ้มที่นางคิดว่าอ่อนโยน แต่สายตาของศิษย์กลับจ้องไปที่ด้านหลังของนางแล้วถอยหนีด้วยความหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
“อย่ากลัวไปเลย พวกมันจะไม่ทำร้ายใครโดยไม่มีเหตุผล” หลิงเยว่ยิ้มเล็กน้อย พูดประโยคข่มขู่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด “แต่ว่าสำหรับเหล่าศิษย์ที่ไม่มาเรียน ไม่ตั้งใจเรียน ข่มเหงอาจารย์ และหนีเรียน พวกมันจะไม่ใจดีด้วย”
“หึ หากเจ้ากล้าก็สั่งให้พวกมันฆ่าข้าให้ตายไปเลยสิ!”
เด็กหนุ่มหัวแข็งคนหนึ่งชื่อว่าซีชางพูดอย่างโหดเหี้ยม แต่แล้วเจ้าตะขาบมรกตมากกว่าครึ่งก็กรูกันเข้ามา
“หากพวกเจ้าอยากจะตีก็ตีเถิด แต่อย่าเพิ่งพ่นน้ำลายพร่ำเพรื่อ!”
หลิงเยว่กลัวว่าเหล่าตะขาบมรกตที่กำลังจะพ่นน้ำลายตามใจชอบ อาจทำให้เหล่าศิษย์ของนางต้องละลายหายไปกับฤทธิ์ของน้ำลายอันทรงพลังนั้นเสียก่อน
น้ำลายของตะขาบมรกตสี่ปีกมีอยู่สองชนิด หนึ่งคือปี้สุ่ยเย่ซึ่งเป็นของเหลวที่มีสีเขียวใส อีกชนิดหนึ่งคือของเหลวที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ซึ่งสามารถทำให้คนละลายกลายเป็นเลือดก้อนหนึ่งได้ทันที ฤทธิ์ของมันรุนแรงกว่าโอสถสลายกระดูกมากนัก
ซีชางผู้โชคร้ายจึงถูกเหล่าตะขาบมรกตเล่นงานราวกับลูกขนไก่
เหล่าศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษที่เริ่มฟื้นขึ้นมาทีละคนสองคน ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้ามองสภาพอันน่าเวทนาของซีชางเลย เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกใช้เป็นลูกขนไก่ตบตีไปมาเช่นกัน
แต่เพียงสงบอยู่เพียงชั่วคราว รอให้ถึงเวลาเลิกเรียนก่อนเถิด พวกเขาจะหาทางแก้แค้นให้ได้ หากแก้แค้นในตอนนี้ไม่ได้ พวกเขาก็จะหนีออกจากสำนักไปเสีย!
จะให้พวกเขาลดระดับจากตำแหน่งนักกลั่นโอสถที่ผู้คนต่างพาอิจฉา มาเป็นเพียงแค่พ่อครัวทำอาหารอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเสียหรอก!
นี่ถือเป็นความอัปยศอดสู!
แน่นอนว่าซีชางไม่ได้ถูกตีจนตาย วันแรกของการเรียนหลิงเยว่ไม่กล้าลงมือหนักเกินไป แค่สั่งสอนเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว
เหล่าศิษย์ที่แทบจะสิ้นลมหันขวับไปมองอาจารย์ผู้ยิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งกำลังหยิบเอาเม็ดโอสถแปลกประหลาดเม็ดหนึ่งยัดเข้าปากของเขา ก่อนจะปิดปากเขาลง
“เคี้ยวซะ”
แววตาของศิษย์คนนั้นเต็มไปด้วยความดื้อรั้น
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ตะขาบมรกตหดร่างให้เล็กลง แล้วมุดเข้าไปในปากเจ้าเพื่อช่วยเจ้าเคี้ยวก็แล้วกัน”
เมื่อซีชางจินตนาการภาพของตะขาบมรกตอัดแน่นอยู่ในปาก เขาก็เริ่มเคี้ยวโอสถที่อยู่ในปากอย่างไม่รู้ตัว