ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 168 พ่อครัวก็ไม่ต่างกับนักกลั่นโอสถ!
บทที่ 168 พ่อครัวก็ไม่ต่างกับนักกลั่นโอสถ!
ทันใดนั้น ประตูห้องเรียนที่เงียบสงัดก็ถูกเปิดออก ปรากฏเป็นร่างเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่วิ่งเข้ามาภายในห้อง จากนั้นเขาก็ทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าหลิงเยว่ จนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วห้อง
“อาจารย์หลิง หากพวกเขาไม่อยากเรียน ข้าเรียนเอง!”
เถาวั่งจ้องมองไปที่เซี่ยซิ่นรุ่ย*[1] หัวหน้าชั้นเรียนปีสาม ศิษย์ที่เก่งเรื่องการกลั่นโอสถจนติดอันดับหนึ่งในสิบของสำนัก ทันใดนั้น มุมปากของเขาพลันกระตุกโดยไม่รู้ตัว
เซี่ยซิ่นรุ่ยจะเข้ามายุ่งอะไรด้วย!
หลิงเยว่จำได้ศิษย์ผู้นี้ได้ เขาคือศิษย์ที่พูดจาไม่ดีกับหัวหน้าตะขาบมรกตตรงหน้าประตูทางเข้าของสำนัก จนถูกว่ากล่าวตักเตือนไปแล้ว
เมื่อหนุ่มน้อยผู้โดดเด่นคนหนึ่งปรากฏตัว ศิษย์อีกคนก็ตามมาทันที
“อาจารย์หลิง ข้ากินอมยิ้มที่ท่านให้แล้ว รสชาตินั้นหวานยิ่งนัก ดีกว่าโอสถฟื้นปราณระดับกลางด้วยซ้ำ ท่านโปรดรับข้าเป็นลูกศิษย์ด้วยเถิด!”
“อาจารย์หลิง แทนที่จะเสียเวลาสอนกับศิษย์ที่ไม่รู้จักพัฒนาตนเองเช่นนั้น การให้โอกาสแก่พวกเราที่ขยันและฉลาดไม่ถือว่าดีกว่าหรือ?”
…
ไม่นานนัก ภายในห้องเรียนก็เต็มไปด้วยเหล่าลูกศิษย์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น แล้วมองหลิงเยว่ด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความหวังและตั้งใจ อีกทั้งพวกเขายังจ้องมองไปที่ตะขาบมรกตด้วยแววตาอยากครอบครองมันเสียเต็มประดา
หลิงเยว่พลันตระหนักได้ในทันที “พวกเจ้าคิดว่าถ้าเป็นลูกศิษย์ข้าแล้วจะได้ครอบครองตะขาบมรกตสี่ปีกกันทุกคนหรือ ฝันไปเถิด!”
หัวหน้าตะขาบมรกตหัวเราะเยาะทันที
บรรยากาศในห้องเรียนเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย มีทั้งคนที่รู้สึกผิดหวัง คนที่ต้องการพึ่งพาอาศัย และคนที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับอาหารวิญญาณพิเศษอย่างจริงจัง แต่คนที่ตั้งใจเรียนรู้นั้นมีจำนวนน้อยยิ่งนัก
“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น!” เซี่ยซินรุ่ยจ้องไปที่หลิงเยว่ “ศิษย์เคารพอาจารย์หลิง และอยากเรียนรู้วิธีทำอมยิ้มฟื้นปราณอย่างแท้จริง”
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” หลิงเยว่หันไปทางเถาวั่ง “ท่านผู้อาวุโสเถา ข้าสามารถเปลี่ยนศิษย์ได้หรือไม่ แทนที่จะบังคับคนที่ไม่เต็มใจเรียน ไม่สู้ไปสอนคนที่อยากเรียนเสียดีกว่า”
เถาวั่งรู้สึกชาไปทั้งตัว เขาชำเลืองไปมองที่อาจารย์ใหญ่ของสำนักที่ตอนนี้ปลอมตัวเป็นชายชราอยู่ในกลุ่มคนด้านนอก
จากนั้นอาจารย์ใหญ่ของสำนักก็พยักหน้าให้เขา
“ได้”
เมื่อหลิงเยว่ตัดสินใจสละเหล่าศิษย์ที่มีทั้งฐานะและภูมิหลัง ผู้อาวุโสเถาคงต้องยอมรับว่า นางอาจสามารถรับมือกับบรรดาคนที่คิดร้ายต่อนางและเหล่าตะขาบมรกตได้ในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นางเปิดเผยภูมิหลังของตัวเองอย่างโอ่อ่าพร้อมกับคำขู่เหล่านั้น คนที่คิดจะทำร้ายนางคงต้องคิดทบทวนเสียใหม่แล้วเป็นแน่
ผู้อาวุโสเถาพยักหน้า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็เลือกลูกศิษย์ตามที่ท่านพึงใจเถิด”
“ยอดเยี่ยม!” หลิงเยว่ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้นอยู่แล้ว
“เป็นเช่นนี้ย่อมดียิ่งนัก!”
ซีชางลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินออกจากห้องเรียน ทันทีที่เขาเดินออกไป เหล่าศิษย์คนอื่นก็เดินตามออกไปเป็นจำนวนมาก จากจำนวนห้าสิบคน จึงเหลือศิษย์เพียงสามคนเท่านั้น
ส่วนศิษย์ที่คุกเข่าอยู่ต่างพากันลุกขึ้น เมื่อได้รู้ว่าถึงเป็นลูกศิษย์ของหลิงเยว่แล้วก็ยังไม่มีทางได้ตะขาบมรกตสี่ปีกไปครอบครอง พวกเขาจึงแอบหนีออกไปอย่างเงียบ ๆ การละทิ้งฐานะนักกลั่นโอสถแล้วหันไปเป็นพ่อครัว คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะทำ
อีกทั้งอาจารย์ผู้นี้ยังใจแคบยิ่งนัก ทั้งที่นางมีตะขาบมรกตเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่ยอมแบ่งออกมาสักตัว การทำพันธสัญญากับตะขาบมรกตหลายตัวนั้น ย่อมเพิ่มอัตราการกลั่นโอสถและอัตราความสำเร็จในการกลั่นโอสถได้หลายเท่าเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว จึงเหลือศิษย์เพียงสิบแปดคนในห้องเรียน
ซึ่งเกินความคาดหมายของหลิงเยว่อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดสีม่วงที่เคยกล่าวถ้อยคำรุนแรงกับนาง ทำให้นางประหลาดใจยิ่งนัก จนอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปถาม
“เจ้าต้องการเป็นศิษย์ของข้า เพื่อลวงให้ไว้ใจเจ้า ต่อจากนั้นก็ฉวยโอกาสฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ?”
หลิงเยว่ถามอย่างตรงไปตรงมา
จื่อเฉาอวี่ได้ยินดังนั้นก็ “…”
นางหัวเราะออกมาเบา ๆ “อะไรกัน ท่านกลัวจนไม่กล้ารับข้าเป็นศิษย์อีกเช่นนั้นหรือ?”
“ถ้าเจ้ายังคงใช้เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ คิดหรือว่าเจ้าจะแย่งชิงชายหนุ่มกับหญิงอื่นได้สำเร็จ?” หลิงเยว่เอ่ยประโยคที่เฉียบคมยิ่งนัก
ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดนั้นก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว
“เจ้า!” จื่อเฉาอวี่โกรธจนใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของนางนั้นสั่นเทาไปหมด
“เจ้าหรือ? เจ้าเรียกข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าคืออาจารย์ของเจ้า เจ้าควรให้ความเคารพ”
หลิงเยว่เดินกลับไปยังแท่นประจำตำแหน่งผู้สอน มองไปที่ศิษย์สิบแปดคนที่เหลืออยู่อย่างอารมณ์ดี
“อาจารย์หลิง ท่านไม่คิดว่าจำนวนลูกศิษย์น้อยเกินไปหรือ?” เถาวั่งราวกับมองออกว่าหลิงเยว่ไม่คิดจะรับศิษย์เพิ่มแล้ว จึงเอ่ยปากถามอย่างลังเล
“ทางสำนักจำกัดจำนวนศิษย์ด้วยหรือ?” หลิงเยว่ได้ยินดังนั้น พลางเหลือบมองเขา
“ไม่ใช่เช่นนั้น… เพียงแต่พวกเราได้จัดหาเครื่องครัวไว้จำนวนมากแล้ว”เถาวั่งพูดอย่างอ้อมค้อม ทว่าหลิงเยว่เข้าใจความหมายของเขาได้ทันที
“ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะกล่าวถึงเงื่อนไขของข้า” เงื่อนไขมีเพียงอย่างเดียวคือ ผู้ที่มีพรสวรรค์ในการกลั่นโอสถไม่มากพอ และต้องการเปลี่ยนมาฝึกฝนวิธีอื่น
เมื่อได้ยินเงื่อนไขของหลิงเยว่แล้ว เถาวั่งรู้สึกทึ่งกับความคิดอันยิ่งใหญ่ของนาง แม้นางจะอายุน้อยกว่า ทว่ากลับมีความคิดที่เฉียบคมและเปี่ยมไปด้วยความเมตตา เด็กสาวผู้นี้ไม่ได้มองข้ามเหล่าศิษย์ที่ถูกมองว่าไร้ค่า แต่นางกลับมองเห็นความเป็นไปได้ และต้องการดึงพวกเขาออกมาจากเงามืด นางจึงมอบโอกาสให้พวกเขาได้แสดงฝีมือและค้นพบเส้นทางของตนเอง
ชายชราในฝูงชนเงยหน้ามองไปทางหลิงเยว่บนแท่นประจำตำแหน่งผู้สอนอย่างปลื้มปิติ
บางทีคนผู้นี้อาจจะเปลี่ยนแปลงสำนักกลั่นโอสถทั้งสักนักได้จริง ๆ ท่านอาจารย์ใหญ่เริ่มคาดหวังให้พวกเขาไปเข้าร่วมการแข่งขันนักกลั่นโอสถเสียแล้ว
วันแรกในการเข้ารับตำแหน่งอาจารย์ของหลิงเยว่ ได้ปลดเหล่าศิษย์เกเรออกสี่สิบเจ็ดคน และเปลี่ยนเป็นรับศิษย์ที่ด้อยที่สุดในสำนักเข้ามาแทน ข่าวนี้กระจายไปทั่วสำนักราวกับพายุหมุน
เหล่าศิษย์ที่สนใจตะขาบมรกตสี่ปีกกำลังจะไปลงชื่อ แต่กลับได้ยินข่าวว่าศิษย์คนที่สองของหลิงเยว่นั้นไม่ได้รับตะขาบมรกตสี่ปีก ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงัก แล้วหลิงเยว่ก็ได้คำวิจารณ์ว่าเป็นคนขี้เหนียว เห็นแก่ตัว และใจแคบอีกครั้ง
มีศิษย์จำนวนมากยืนจับกลุ่มอยู่ที่จุดลงชื่อ ใบหน้าของพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนลังเลใจ
หากพวกเขาไปลงชื่อเรียนในชั้นเรียนพิเศษ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องสูญเสียชื่อเสียงในการเป็นนักกลั่นโอสถ แล้วไปเป็น… พ่อครัว
ในโลกผู้บำเพ็ญเซียน ทุกคนแทบไม่ต้องกินอาหารแล้ว การเป็นพ่อครัวนั้นจึงกลายเป็นเรื่องตลก แม้ว่าหลิงเยว่จะไม่ได้สอนเพียงอาหารทั่วไปของมนุษย์ และว่ากันว่าเป็นโอสถที่มีสรรพคุณในการรักษา แต่พวกเขาเองก็ไม่เคยกินมาก่อน มันจะไม่ถือเป็นการเสี่ยงเกินไปหรือ
หลิงเยว่นั่งอยู่ที่จุดลงชื่อเพื่อรอซักถามศิษย์เหล่านั้นด้วยตนเอง นางก้มมองกระดาษเปล่า แล้วมองไปทางศิษย์ที่มานั่งทำสงครามความคิดของตัวเองตั้งแต่เช้า
ดูเหมือนจะต้องงัดไม้ตายออกมาเสียหน่อยแล้ว
“นี่คืออมยิ้มฟื้นปราณที่เหล่าศิษย์ของข้าในเมืองฮั่วหยางทำ พวกเจ้าลองชิมดู” หลิงเยว่มอบแท่งอมยิ้มให้ทีละคน ในพริบตาหลิงเยว่ก็แจกอมยิ้มหมดทั้งถุงใหญ่
นางเหลือเพียงแท่งสุดท้ายที่กำลังจะยื่นออกไป แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใคร มือของนางก็เปลี่ยนทิศทางแล้วเอาเข้าไปในปากของตนเองแทน
“อะไรกัน เจ้ามารอดูเรื่องตลกของข้าหรือ?” หลิงเยว่คาบแท่งอมยิ้มไว้ ส่งเสียงฮึดฮัดใส่ซีชาง แล้วหันหลังเดินจากไป
“นี่รู้ด้วยหรือว่าเจ้าเป็นตัวตลก?”
“ข้าเป็นได้อีกไม่นานหรอก!” หลิงเยว่หันกลับมาเลิกคิ้วขึ้น ศิษย์เหล่านั้นที่ลังเลไม่กล้าตัดสินใจก็กลัวว่าตนเองจะกลายเป็นเพียงแค่พ่อครัวธรรมดาใช่หรือไม่?
แต่นางเชื่อว่า เหล่าศิษย์ที่กำลังกินอมยิ้มอยู่จะต้องเปลี่ยนความคิดในเร็ววันนี้แน่
พ่อครัวก็ไม่ต่างกับนักกลั่นโอสถ!
หึ! พวกเจ้าดูถูกอาชีพพ่อครัวกันทุกคน แต่ต่อไปพวกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสได้เป็นพ่อครัวแล้ว!
“พี่สาว ฮวนฮวนอยากกินอมยิ้ม”
ทันใดนั้น ก็มีเด็กหญิงตัวน้อยโผล่ออกมาจากที่ใดไม่รู้ คว้าชายกระโปรงของหลิงเยว่ พลางมองดูอมยิ้มที่อยู่ในปากของนางด้วยสายตาละห้อย
“เจ้า…”
“ฮวนฮวน เหตุใดเจ้าถึงมาวิ่งเล่นที่นี่!”
เมื่อเห็นน้องสาวตัวน้อยของตนเองที่เดินปรี่เข้ามาใกล้หลิงเยว่ พี่ชายของฮวนฮวนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“อาจารย์หลิงขอรับ ข้าต้องขออภัยจริง ๆ ฮวนฮวนเคยกินอมยิ้มที่อาจารย์เคยให้มาเมื่อตอนนั้น แล้วนางก็ชื่นชอบมาก พูดถึงแต่ว่าอยากกินอีก… ”
“อ๋อ! นี่คือเหตุผลที่เจ้ามาหาข้าเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับอาหารวิญญาณพิเศษอย่างนั้นหรือ?”
หลิงเยว่หยิบขนมถังหูหลูออกมาให้เด็กหญิงตัวน้อย ด้วยอมยิ้มนั้นถูกกินไปจนหมดแล้ว
“ก็… ไม่เชิงขอรับ”
เซี่ยซินรุ่ยรู้สึกละอายใจจนไม่กล้าสบตาหลิงเยว่
*[1] เซี่ยซิ่นรุ่ย : ต้นฉบับมีการเปลี่ยนแปลงชื่อ ‘เซี่ยเหยียนรุ่ย’ เป็น ‘เซี่ยซิ่นรุ่ย’