ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 175 ไม่รู้จักกาลเทศะสมควรแก่การลงโทษ!
บทที่ 175 ไม่รู้จักกาลเทศะสมควรแก่การลงโทษ!
เหล่าศิษย์วิ่งหนีออกมาจากห้องเรียนพิเศษเพราะกลัวพิษที่แสบจมูก แต่นั่นกลับดึงดูดกลุ่มลูกศิษย์อีกกลุ่มที่หาญกล้าเข้ามาลองสัมผัสประสบการณ์พิษเหล่านั้นแทน
กลิ่นหอมปนกับกลิ่นฉุนจนแสบจมูกทำให้อารมณ์สับสน
“แปลกเหลือเกิน เหตุใดโอสถถอนพิษถึงใช้ไม่ได้!?” ผู้กล้าหาญที่กินโอสถถอนพิษเข้าไป ยังคงไอและน้ำตาไหลออกมาเช่นเดิม เขาสงสัยว่าโอสถถอนพิษของตนนั้นหมดอายุหรือ? แล้วเขาก็กินเข้าไปอีกเม็ด
ไม่มีประโยชน์อะไรเลย…
“พิษอะไร ช่างร้ายกาจนัก โอสถถอนพิษยังเอาไม่อยู่เชียวหรือ!?”
ลูกศิษย์ที่กินโอสถถอนพิษเข้าไปด้วยก็ตกใจ โอสถถอนพิษที่เขาเพิ่งจะกลั่นเมื่อเช้านี้ ยังสดใหม่อยู่เลย เป็นไปได้อย่างไรที่สรรพคุณของโอสถนั้นจะใช้ไม่ได้ผล
“เอ่อ… ลองกินโอสถลดอาการปวดดีหรือไม่ ข้าดันกินโอสถลดอาการปวดแทนโอสถถอนพิษไปเสียแล้ว แต่กลับได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ!”
เมื่อศิษย์คนนั้นพูดจบก็สูดอากาศที่มีกลิ่นเผ็ดร้อนเข้าไปเสียเต็มปอด กลิ่นฉุนเหล่านั้นไม่สามารถทำร้ายนางได้อีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งดมยิ่งรู้สึกอยากกินเสียอย่างนั้น!
ศิษย์ที่รู้ว่าจะใช้โอสถชนิดใดบรรเทาอาการได้ยังไม่ทันได้ดีใจ ก็เห็นว่ามีการเปิดเขตอาคมปิดกั้นของห้องเรียนพิเศษ เหล่าศิษย์ด้านในทยอยออกมาทีละคน พร้อมกับยกเตาแปลก ๆ และถือไม้เสียบเนื้อย่างไว้อีกมือหนึ่ง
เซี่ยซิ่นรุ่ยไม่คิดว่าความเผ็ดร้อนที่แสบจมูกเพียงนี้จะไม่สามารถไล่เพื่อนร่วมชั้นที่ชอบมามุงดูออกไปได้ เขายิ้มและมอบอาหารย่างให้คนกลุ่มแรกที่อยู่ใกล้เขาไปคนละไม้
“อยากรู้ใช่หรือไม่ อาจารย์หลิงเห็นพวกเจ้าเฝ้าอยู่ข้างนอกอย่างลำบาก เลยให้เราย่างให้กินเสียเลย”
ศิษย์ที่อยู่ด้านนอก “…”
พวกเขาไม่ได้เฝ้า แต่ยืนอยู่เฉย ๆ ต่างหาก!
“พวกเจ้าอยากฆ่าเพื่อนร่วมชั้นหรืออย่างไร!” ศิษย์ที่กินเนื้อย่างของเซี่ยซิ่นรุ่ยสำลัก ดวงตาของเขาเบิกโพลง พร้อมกับไอออกมาเป็นกลุ่มควัน เขาอ้าปากของตนเอง หวังคายเนื้อย่างชิ้นนั้นออกมา แต่หัวหน้าห้องเซี่ยยกมือปิดปากของเขาไว้ทัน และบังคับให้ศิษย์ผู้นั้นกลืนลงคอไป
“ให้เกียรติหน่อย” ใบหน้าของเซี่ยซิ่นรุ่ยปรากฏรอยยิ้มอันนุ่มนวล ทว่าแววตานั้นแฝงไปด้วยการข่มขู่ บังคับครอบครัวตนเองไม่ได้ ก็ยังบังคับเพื่อนร่วมชั้นไม่ได้อีกอย่างนั้นหรือ?
ศิษย์ที่ถูกปิดปากกลืนเนื้อย่างเผ็ดขมลงไปอย่างน่าสงสาร เขาคิดไม่ออกว่าของที่ไม่อร่อยเพียงนี้ เหตุใดกลิ่นที่ลอยออกมาถึงได้ยั่วน้ำลายนัก หลอกลวงกันอย่างเห็นได้ชัด!
หลอกลวงอย่างไรกัน?
หลิงเยว่แจกจ่ายไส้ย่างและองคชาตหมูดำดินที่ตนเองย่างให้กับศิษย์ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอย่างมีความสุข “เจ้าหิวหรือไม่ ลองชิมดูเถิด ของที่ข้าทำไม่เหมือนกับพวกศิษย์ฝีมือแย่พวกนั้นหรอก”
ศิษย์ที่โดนเปรียบเทียบอยากจะเตือนเพื่อนร่วมชั้นไม่ให้เอาอะไรเข้าปากมั่ว ๆ แต่ความชั่วร้ายภายในใจกลับต้องการให้พวกเขากินเข้าไปแล้วค่อยบอกความจริงอันน่าสลดใจว่า สิ่งที่เรียกว่าไส้ย่างและองคชาตหมูย่างนั้นคืออะไร?
หากถึงตอนนั้น คงจะสนุกน่าดู
“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป” หลิงเยว่เหลือบไปเห็นศิษย์ที่เคยอยู่ในชั้นพิเศษ นางจึงรีบดึงตัวหัวหน้ากลุ่มอย่างซีชางเอาไว้ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยัดองคชาตหมูย่างสองชิ้นกับไส้ย่างสามชิ้นใส่ในมือของเขา
ลูกศิษย์ที่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนอื่น ๆ ก็มีเหมือนกัน
จื่อเฉาอวี่ หรือที่รู้จักกันในนามสาวน้อยกระโปรงม่วงผู้หลงใหลในความรัก ซึ่งเป็นหนึ่งในสามศิษย์ที่เหลือจากชั้นพิเศษเดิมของหลิงเยว่ นางแอบมองหลิงเยว่ที่กำลังเอื้อมมืออันชั่วร้ายไปหาซีชางและคนอื่น ๆ อยากจะเตือนเหล่าศิษย์ด้วยกัน แต่พอปากเพิ่งจะอ้าออก อาจารย์หลิงก็เหมือนมีตาที่ท้ายทอย หันกลับมามองนางทันที
แค่นั้นยังไม่พอ ทันใดนั้นก็มีตะขาบมรกตตัวหนึ่งมาเกาะอยู่บนบ่าของนางตาสีเขียวกลิ้งกลอกไปมา ถึงตะขาบมรกตตัวนั้นจะไม่ได้พูดอะไรกับนาง แต่ก็สามารถทำให้จื่อเฉาอวี่สงบลงได้
“ให้เกียรติอาจารย์เสียหน่อย กินสักนิดเถิด”
ซีชางไม่คิดว่าจะมีผู้ใดหน้าหนาได้ถึงเพียงนี้ หลังจากที่ว่าพวกเขาไปชุดใหญ่แล้วยังไล่ออกจากชั้นพิเศษมาเช่นนี้ แต่กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
ซีชางโยนเนื้อย่างเสียบไม้ออกไปไกล ก่อนจะยิ้มอย่างเย็นชา “คิดว่าตนเองเป็นใครกัน?”
ทันใดนั้นเสียงดังเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ ร่างคนผู้หนึ่งถูกตีจนเหินฟ้า ลอยคว้างอยู่กลางอากาศพร้อมกับเนื้อย่างเสียบไม้ที่กระจัดกระจาย ก่อนจะตกลงมาบนพื้น เนื้อย่างเสียบไม้ทั้งห้าไม้ถูกคว้าไว้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ร่างของเขาที่ตกลงมานั้นทำให้เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่บนพื้นดิน
ท่านอาจารย์ใหญ่เหลือบมองซีชางที่นอนคว่ำหน้าอยู่ในหลุมด้วยสายตารังเกียจ “ไม่รู้จักกาลเทศะ สมควรแก่การลงโทษ!”
อาจารย์ใหญ่พูดจบก็ฉวยโอกาสหยิบไส้ย่างที่ไหม้เกรียมมากินอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งยังก้าวข้ามร่างของซีชางไปทันที เพียงฉับพลันขาของเขาก็แข็งค้างด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เพียงแค่กินไส้ย่างเท่านั้น แต่เขายังเคี้ยวมันอีกด้วย
ทว่ากลับไม่มีกลิ่นคาวอย่างที่คาดไว้ รสสัมผัสมีทั้งกรอบ มัน และหอม อาจารย์ใหญ่ก้าวขาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เขาก้าวลงไปก่อนจะเผลอเหยียบลงไปที่ร่างใต้ฝ่าเท้าพอดี ซีชางที่เพิ่งฟื้นมาก็หน้าหงายสลบไปอีกครั้ง
หลิงเยว่มองอาจารย์ใหญ่ที่กำลังกินไส้ย่างอย่างมีความสุข สายตาแสดงความเห็นอกเห็นใจหันไปยังซีชางที่มีรอยรองเท้าประทับอยู่บนหลัง ศิษย์ผู้นี้คงเกลียดนางยิ่งกว่าเดิมกระมัง
คนที่น่าสงสารที่สุดยังคงเป็นตัวนางเองอยู่ดี
ศิษย์ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในชั้นเรียนพิเศษและเคยคิดจะโยนเนื้อย่างทิ้ง ต่างก็กลืนน้ำลายด้วยความกลัวหลังจากเห็นสภาพของซีชาง เมื่อครู่พวกเขาเกือบจะเริ่มเยาะเย้ยหลิงเยว่แล้วเช่นกัน หวังให้อาจารย์ที่อยู่ตรงหน้ารับรู้ถึงความพ่ายแพ้เสียที
“ไม่กินหรือ?”
เมื่อกินไส้ย่างไปแล้วสามไม้ อาจารย์ใหญ่ก็เช็ดปาก แล้วเอื้อมมือไปหาศิษย์ที่ถือไส้ย่างเสียบไม้แต่ยังไม่ได้กินเข้าไป ศิษย์ผู้นั้นตกใจถอยหลังกรูดราวกับว่านั่นเป็นการข่มขู่ แล้วรีบพูดว่า “พวกเราจะกินเดี๋ยวนี้ พวกเรากินเอง ไม่ต้องรบกวนท่านอาจารย์ใหญ่ให้ลงมือ… ลงเท้า”
ศิษย์ดื้อรั้นในสำนักมีแต่เดินเฉิดฉาย เขามีศัตรูเพียงคนเดียว นั่นคือชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ยามที่เขาลงมือจริงมีแต่ลงมือหนัก ไม่มีการลดหย่อนผ่อนโทษแต่อย่างใด!
จำได้ว่าตอนที่พวกเขาก่อเรื่องจนเลยเถิด อาจารย์ใหญ่ผู้นี้บุกเดี่ยวฝ่าด่านเข้ามาที่บ้าน จากนั้นก็จัดการทุบตีพ่อแม่ของพวกเขาต่อหน้าต่อตา
เขาอาศัยน้ำมือของพ่อแม่ให้จัดการลงโทษพวกเขาอีกที ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตเสียจริง!
ศิษย์ดื้อรั้นต่างหวาดกลัวสุดขีด พวกเขารีบกลืนเนื้อย่างจนหมดอย่างหิวโหย จนกระทั่งกินเนื้อย่างหมดแล้ว ยังไม่รู้รสชาติแต่อย่างใด รู้เพียงว่ามีกลิ่นหอมกรุ่นติดอยู่บนปากและฟัน นั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าอะไรบางอย่างที่เสียบอยู่ในไมนั้นมีรสชาติมที่อร่อยเลิศ
ศิษย์ที่มีความประพฤติดีไม่ดื้อรั้น พลันนึกถึงวีรกรรมอันเลื่องชื่อของอาจารย์ใหญ่ที่ทุบตีพ่อแม่ของพวกเขา แล้วพ่อแม่ก็กลับมาล้างแค้น แต่กลับโดนซ้อมอีกเช่นเคย พวกเขาจึงรีบกินเนื้อย่างเพื่อกลั้นความตกใจเอาไว้
หลิงเยว่อิจฉาอำนาจข่มขู่ของอาจารย์ใหญ่เหลือเกิน แค่ยื่นเท้า ยื่นมือ ก็ทำให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายยอมจำนนอย่างว่านอนสอนง่าย เมื่อใดกันที่นางจะมีพลังอันน่าเกรงขามเช่นนี้?
“อร่อยหรือไม่?” อาจารย์ใหญ่ถามเหล่าศิษย์ที่กินเนื้อย่างเสร็จสิ้นด้วยความเสียดาย
ศิษย์ที่ถูกถามถึงต่างก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยความกลัว “อะ… อร่อยขอรับ”
“พูดให้ชัดเจนกว่านี้!”
สายตาของอาจารย์ใหญ่ดุดันขึ้น ในมือของเขายังมีเนื้อย่างอีกสองไม้ที่ไม่รู้จะกินอย่างไรดี หากอร่อยจริง ๆ ท่านก็อาจจะลองชิมดู ไส้หมูยังกินลงไปแล้ว หากกินองคชาตหมูดำดินย่างไปอีกสักชิ้นคงไม่เป็นไรกระมัง
“กรอบและหอม… อร่อยมากขอรับ”
ศิษย์ที่โดนขู่ตัวสั่นเทิ้ม น้ำตาคลอเบ้า ตอบอย่างเจาะจงยิ่งขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สามารถเจาะจงได้มากกว่านี้ เพราะเจ้าตัวกลืนองคชาตหมูย่างลงท้องไปทั้งห้าชิ้นโดยไม่ได้เคี้ยว
“เจ้าช่วยพูดเจาะจงกว่านี้หน่อยสิ!”
ศิษย์ที่ถูกสั่งให้พูดเจาะจงยิ่งขึ้นรีบเปิดปากพูด แต่ถูกหลิงเยว่ขัดจังหวะเสียก่อน
“ท่านอาจารย์ใหญ่เจ้าคะ ถึงท่านจะถามไปก็ไม่ได้อะไรหรอก ลองชิมรสชาติด้วยตัวเองจะดีกว่าเจ้าค่ะ” หลิงเยว่บริการอย่างดีเยี่ยม ยื่นองคชาตหมูย่างไปให้ท่านอาจารย์ใหญ่ “กินตอนร้อน ๆ จะกรอบและอร่อยยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่หยิบองคชาตหมูดำดินย่างออกมาจากที่ใดไม่รู้ แล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย ท่านอาจารย์ใหญ่ได้ยินเสียงกรอบแกรบแผ่วเบา ประกอบกับใบหน้าที่แสดงความสุขของหญิงสาว ก็ตัดสินใจกัดกินองคชาตหมูย่างลงไปหนึ่งคำ
ไส้หมูย่างอร่อยกว่าที่คาดไว้ องคชาตหมูก็คงไม่แย่ไปกว่าไส้หมูย่างเท่าใดหรอก!