ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 180 บางครั้งก็รู้สึกไร้หนทางเสียจริง
บทที่ 180 บางครั้งก็รู้สึกไร้หนทางเสียจริง
หลิงเยว่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะแทบไม่ไหว เมื่อเห็นสีหน้าไร้คำพูดของฮวนฮวน
นางคงจะนึกถึงตนเองขณะที่ขุดพื้นไม้ไปครึ่งวัน ขุดทีก็สงสัยทีว่าเหตุใดตนถึงทำเช่นนี้
“หากฮูหยินเซี่ยชอบสุราหมักผลไม้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะเลี้ยงท่านให้เต็มที่”
“ยอดเยี่ยม!” ท่านผู้หญิงเซี่ยกำลังคิดหาข้ออ้างเพื่อขอสุราผลไม้จากลูกทั้งสอง แต่ไม่คาดคิดว่าโชคจะมาแบบไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้
หญิงสาวสามคนนั่งดื่มด้วยกันที่ศาลาในสวน
แน่นอนว่าฮวนฮวนดื่มได้เพียงน้ำผลไม้
“ศิษย์ร่วมชั้นเซี่ย ย่างของร้อน ๆ มาให้หน่อย” หลิงเยว่ที่เริ่มสนิทสนมกับท่านแม่ของเซี่ยซิ่นรุ่ย จนเรียกกันว่าพี่น้องได้อย่างคล่องปากก็เริ่มใช้งานเขาโดยไม่เกรงใจ
“เจ้ามัวยืนทำสิ่งใดอยู่ รีบทำให้เสียสิ” ท่านผู้หญิงเซี่ยเร่งเร้าลูกชาย
“พี่ชาย ข้าอยากกินไส้ย่าง กระดูกอ่อนไก่แล้วก็ปีกไก่ด้วย” ฮวนฮวนก็เริ่มสั่งอาหารเช่นกัน
เซี่ยซิ่นรุ่ย “…”
บางครั้งก็รู้สึกไร้หนทางเสียจริง
แต่ด้วยเพราะเป็นหญิงทั้งสามนางนี้ เขาไม่กล้าขัดใจสักคน จึงต้องจำใจตั้งเตาย่าง…
ที่ใดมีหลิงเยว่ อาหารการกินทั้งหลายล้วนเลิศหรู มีทั้งขนมที่ประณีตงดงาม ผักดองรสเปรี้ยวเผ็ดเหมาะเป็นเครื่องเคียงแกล้มสุรา น่องไก่ฉีก เนื้อวัวหั่นเป็นแผ่นบาง ถั่วลิสงคั่วเกลือ และยังมีผัดเผ็ดหอยทะเลรสจัดวางอยู่ด้วย
ของเหล่านี้ล้วนเป็นเสบียงของหลิงเยว่ทั้งสิ้น เมื่อนำมาจับคู่กับสุราสมุนไพรและผลไม้หมักแล้ว ยิ่งกลายเป็นของเลิศรสหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้!
“เผ็ดเหลือเกิน!” ฮวนฮวนเลียนแบบหลิงเยว่ พลางดูดกินหอยทะเลแล้วร้องว่าเผ็ด ทว่านางเสียดายจนไม่อาจคายทิ้ง รสชาติกรอบหอมและเผ็ดร้อน แม้แต่น้ำซุปก็ยังอร่อยยิ่งนัก นางไม่เคยได้ลิ้มรสอาหารใดที่มีรสชาติเช่นนี้มาก่อน
“สิ่งนี้อร่อยยิ่งนัก!” แม้ว่าท่านผู้หญิงเซี่ยจะแสบตาเพราะความเผ็ด แต่ยังคงดื่มสุราสลับกับหอยทะเลต่อ ปิดท้ายด้วยเนื้อวัวสองสามแผ่น ตามด้วยถั่วลิสงคั่วเกลืออีกสองสามเม็ด นางรู้สึกราวกับว่าชีวิตนี้ช่างสมบูรณ์แบบเสียจริง!
หลิงเยว่พบว่าแม่ลูกคู่นี้ชื่นชอบอาหารวิญญาณพิเศษเป็นอย่างมาก จึงนำเอาสุดยอดกุ้งมังกรทอดกระเทียมขนาดมหึมาออกมา แล้วใช้แก่นปราณอัคคีดึงเอากลิ่นอันหอมกรุ่นของอาหารให้ออกมามากขึ้น แล้วให้ทั้งสองคนชิม
“อสูรทะเลหรือ?”
ท่านผู้หญิงเซี่ยไม่คาดคิดว่าสิ่งนี้เมื่อปรุงแต่งแล้วจะหอมกรุ่นถึงเพียงนี้!
“อาจารย์หลิง ข้าก็อยากกิน” เซี่ยซิ่นรุ่ยไม่ได้อยากกินเนื้อสัตว์ที่ตนกำลังย่างอยู่ ทว่ากลับโหยหาอาหารทุกจานบนโต๊ะแทน
อาจารย์หลิงไม่เคยสอนพวกเขาให้ทำสิ่งเหล่านี้มาก่อน นางสอนเพียงวิธีทำลูกชิ้นแปลก ๆ นานาชนิด วิธีปิ้งย่าง วิธีทำขนมบางส่วน และวิธีหมักสุราเท่านั้น
“รับไปเถิด” หลิงเยว่ให้โดยไม่ได้รู้สึกเสียดาย
อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะล้วนเป็นเสบียงที่หลิงเยว่นำมา ซึ่งนับเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ยังมีสิ่งที่ที่นางไม่ได้นำออกมาอีกเป็นจำนวนมาก เพียงเพราะโต๊ะมันไม่ใหญ่พอที่จะวางเท่านั้น
“ไม่คิดเลยว่าอาหารหน้าตาแปลกประหลาด จะอร่อยได้ถึงเพียงนี้!” ท่านผู้หญิงเซี่ยกินหอยนางรมทอดกระเทียมร้อน ๆ ไปพลางเอ่ยชื่นชมไปพลาง
ฮวนฮวนกัดกุ้งมังกรตัวใหญ่กินอย่างเอร็ดอร่อยจนน้ำมันเยิ้มเปรอะเปื้อนใบหน้า แล้วพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น เนื้อกุ้งสดหวานและอวบมาก อร่อยกว่าลูกชิ้นยิ่งนัก!
“อาจารย์หลิง ตระกูลเซี่ยมีพื้นที่ทางทะเลอยู่แห่งหนึ่ง…”
“ใช่! แถบนั้นมีแต่ตัวประหลาดพวกนี้เต็มไปหมด ถ้าอาจารย์หลิงสนใจก็พาเหล่าศิษย์ไปเรียนได้เลย!”
มีสิ่งดี ๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?
หลิงเยว่อยากจะรีบพยักหน้าด้วยความรีบร้อน แต่นางก็หวนนึกถึงจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ นอกเหนือจากการมาหาฮวนฮวนแล้ว นางยังต้องการนำสุราสมุนไพรวิญญาณพิเศษมาฝากขายที่ร้านค้าสักหนึ่งหรือสองร้านของตระกูลเซี่ย
“ไม่มีสิ่งใดเป็นปัญหา บอกมาเลยว่าเจ้าชอบร้านแบบใด เดี๋ยวข้าจะจัดให้เจ้าตามต้องการ!” ท่านผู้หญิงเซี่ยใจกว้าง พลางตอบรับอย่างมั่นใจ
หลิงเยว่ไม่กล้ารับไว้ เนื่องจากร้านค้าทุกแห่งในเมืองฝู่ซางล้วนมีค่ามาก แม้แต่ร้านค้าที่ดูโทรมที่สุดยังมีราคาสูงลิ่ว
ตอนนี้ท่านผู้หญิงเซี่ยเมามากแล้ว รอให้นางสร่างเมาแล้วค่อยพูดเรื่องนี้ดีกว่า
“ท่านแม่ เอาเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในตระกูลเราให้อาจารย์หลิงเลย”
“ใช่แล้ว! เอาที่นั่นเลย!”
คนหนึ่งช่างเป็นคนที่กล้าพูด ส่วนอีกคนก็กล้าตอบรับอย่างแท้จริง
เซี่ยซิ่นรุ่ยฟังแล้วถึงกับขมวดคิ้วตาม หากท่านพ่อรู้ว่าท่านแม่และน้องสาวกำลังจะยกหอประมูลที่ทำเงินได้มากที่สุด ทั้งยังเป็นกิจการใหญ่ที่สุดในตระกูลเซี่ยให้คนอื่น ไม่รู้จะโกรธจนแทบคลั่งไปเลยหรือไม่?
“อาจารย์หลิง…”
“ข้าไม่รับหรอก” หลิงเยว่รีบขัดเซี่ยซิ่นรุ่ยก่อนที่เขาจะได้พูดสิ่งค้างคาในใจ แล้วนางก็พูดต่อไป “ว่าแต่หอประมูลของตระกูลเซี่ยรับของทุกอย่างเลยหรือไม่?”
“ท่านอาจารย์ต้องการนำสิ่งใดมาประมูลเล่า?”
แท้จริงแล้วเซี่ยซิ่นรุ่ยปรารถนาจะซักถามเรื่องหินวิญญาณเสียมากกว่า เขาสงสัยว่าหลิงเยว่นั้นขาดแคลนหินวิญญาณหรือ? แต่ด้วยรู้สึกว่าฐานะที่เป็นถึงอาจารย์เช่นนี้ จึงเป็นไปได้ที่จะขาดแคลนหินวิญญาณ
อาจารย์ของนางคือหนึ่งในปรมาจารย์ที่มีความมั่งคั่งมากที่สุดแห่งโลกผู้บำเพ็ญเซียน
หากตระกูลเซี่ยนำทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกมากองรวมกัน ยังไม่อาจเทียบเคียงชิงยวนได้
หลิงเยว่ไม่ได้ตอบคำถามของเซี่ยซิ่นรุ่ย ความจริงแล้วนางเพียงต้องการทดลองว่า ชาหายากนั้นจะสามารถขายได้หินวิญญาณเท่าใด เนื่องจากว่าเป็นชาหายากขั้นสูงที่สุดที่นางสามารถกลั่นได้ และยังเป็นของวิเศษสำหรับผู้บำเพ็ญที่ใช้หลบหนีเอาตัวรอดอีกด้วย
คงจะมีค่าไม่น้อยกระมัง?
กล่าวจบ นางก็ลงมือทันที
เช้าวันรุ่งขึ้น หลิงเยว่จึงควงแขนหัวหน้าตะขาบมรกตผู้สวมใส่เกราะครบครัน เข้าสู่หอประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเมือง หอประมูลแห่งนี้มีผู้คนเนืองแน่น ทั้งหรูหราและลึกลับ นี่คือร้านค้าที่ท่านผู้หญิงเซี่ยกล่าวถึง
“ขายของสำคัญจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ?” หัวหน้าตะขาบมรกตบ่นพึมพำ เขาสวมชุดคลุมศีรษะสีดำมิดชิด สวมหน้ากากผ้าดำปิดบังใบหน้าเผยให้เห็นเพียงดวงตา
“จำเป็น!”
ไม่สังเกตหรือว่าผู้คนส่วนใหญ่ในร้านแต่งตัวกันเช่นนี้
“ท่านแขกผู้มีเกียรติ ท่านประสงค์จะขายหรือซื้อขอรับ”
“ขาย”
หลิงเยว่และหัวหน้าตะขาบมรกตจึงถูกนำไปยังห้องส่วนตัว ภายในห้องนั้นมีผู้ประเมินสมบัติสามท่านนั่งอยู่
หลิงเยว่นึกขึ้นได้ว่า ชาหายากของนางนั้นมีเพียงห้าขวดเท่านั้น หากให้คนทั้งสามนี้ทดสอบลองดื่มจนเกลี้ยง แล้วตนจะขายได้อย่างไรเล่า?
สายตาทั้งห้าคู่เผชิญหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ผู้ประเมินสมบัติซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้นมา
“ท่านแขกผู้มีเกียรติ สมบัติเล่า?”
หลิงเยว่ค่อย ๆ หยิบขวดชาล้ำค่าสองขวดออกมาวางไว้บนโต๊ะ “สิ่งนี้คือชาแปลงกาย เพียงจิบเล็กน้อยจะสามารถแปลงกายเป็นต้นหญ้าต้นเล็ก ๆ และสามารถใช้เพื่อหลบหนีได้ ซึ่งจะออกฤทธิ์เพียงสองถึงสามลมหายใจเท่านั้น”
ผู้ประเมินสมบัติทั้งสาม “???”
พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน!
เด็กคนนี้คงไม่มาเยาะเย้ยพวกเขาเล่นใช่หรือไม่
ผู้ประเมินสมบัติหมายเลขหนึ่งหยิบ ‘ชาแปลงกาย’ ขึ้นมาดมและพิจารณาโดยไม่แสดงสีหน้าใด พลังปราณนั้นแน่นหนายิ่งนัก ภายในของเหลวสีเขียวมรกตมีกลิ่นของสมุนไพรวิญญาณพิเศษมากมาย แต่หากให้แยกแยะว่าเป็นสมุนไพรใดกลับแยกไม่ออก
น่าแปลกเสียจริง ในฐานะนักกลั่นโอสถขั้นสูงเช่นเขากลับแยกแยะสมุนไพรไม่ออกอย่างนั้นหรือ!
“หากท่านไม่เชื่อก็สามารถเลือกคนใดคนหนึ่งมาทดลองดื่มสักนิดได้ แต่อย่าดื่มมากเกินไป เพราะหากดื่มมาก จะยิ่งอยู่ในร่างของต้นหญ้านานขึ้น…”
แม้ว่าหลิงเยว่จะรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็พูดได้เพียงเท่านี้เพื่อไม่ให้ถูกไล่ออกไปก่อนจะได้ประมูล
ผู้ประเมินสมบัติทั้งสามสบตากัน หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีพิษ ผู้ประเมินสมบัติหมายเลขหนึ่งจึงตัดสินใจดื่มไปเพียงเล็กน้อย
ชายร่างใหญ่หายไปในทันที บนเก้าอี้ของเขามีเพียงเมล็ดพืชสีดำขนาดเล็กที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ผู้ประเมินสมบัติหมายเลขหนึ่งที่กลายเป็นเมล็ดพืชดูตื่นตระหนกไม่น้อย เขาสามารถรู้สึกถึงร่างกายของตนเอง หรือก็คือเมล็ดพืชที่ฝังตัวลงไปในเก้าอี้ จากนั้นก็แผ่รากออกมา รากนั้นค่อย ๆ แผ่กระจายลงไปถึงข้างล่าง
เมื่อความคิดของเขามีการเคลื่อนไหว รากก็เริ่มแผ่ขยายลงไปใต้ดินอย่างรวดเร็ว เมื่อไปถึงใต้ดิน รากก็วิ่งราวกับขาของมนุษย์!
ก่อนที่เขาจะหนีออกจากห้องไปได้ ร่างก็เปลี่ยนกลับกลายเป็นมนุษย์อีกครั้ง ผู้ประเมินสมบัติหมายเลขหนึ่งจึงพุ่งชนประตูจนเกิดเสียงดังโครม! ขณะที่สองเท้าของเขายังคงค้างอยู่ในท่าวิ่ง
ส่วนผู้ประเมินสมบัติอีกสองคนต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง