ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 19 ศิษย์น้องคนนี้สมองอาจจะไม่ค่อยดีนักใช่หรือไม่?
บทที่ 19 ศิษย์น้องคนนี้สมองอาจจะไม่ค่อยดีนักใช่หรือไม่?
บทที่ 19 ศิษย์น้องคนนี้สมองอาจจะไม่ค่อยดีนักใช่หรือไม่?
สีหน้าของมู่มู่ค่อย ๆ ดีขึ้นหลังจากกินโอสถฟื้นปราณสองสามเม็ดซึ่งสามารถฟื้นฟูปราณได้อย่างรวดเร็ว
ดวงตาของเขามองไปยังพืชวิญญาณเขียวขจี ดูมีชีวิตชีวาที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ศิษย์พี่มู่ ไม้เลื้อยของท่าน… กลายเป็นอาหารไปแล้ว ข้าขอโทษ”
หลิงเยว่คิดว่าอีกฝ่ายรู้สึกเสียใจเรื่องไม้เลื้อย นางจึงรู้สึกผิดอย่างยิ่ง
“นั่นก็แค่ไม้เลื้อยธรรมดาที่พบได้ทั่วภูเขาด้านหลัง”
มู่มู่หาได้สนใจ สิ่งที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงคือพืชวิญญาณที่ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายนี้ต่างหาก มู่มู่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเขาจะพ่ายแพ้ให้กับพืชวิญญาณ
ไม่สิ บางทีพืชวิญญาณนี้อาจไม่เป็นอันตราย สิ่งที่เขาควรระวังจริง ๆ คือคนที่ปล่อยมันออกมาต่างหาก!
หลิงเยว่… นางทำได้อย่างไร?
ในเวลาเดียวกันนี้ โม่จวินเจ๋อและอีกสามคนกำลังนั่งยองอยู่หน้าพืชวิญญาณ พวกเขาทำได้เพียงเฝ้าดูเท่านั้น
ว่านอวี้เฟิงลองให้ปลายนิ้วสัมผัสมัน พลันกลิ่นอายที่สถิตอยู่ในใบพืชทำให้เขารู้สึกสบายอย่างอธิบายไม่ถูก กลิ่นอายนี้คล้ายกลิ่นอายของปราณพฤกษา แต่ส่วนหนึ่งก็ต่างออกไป มันแปลกมาก
หลิงเยว่ก็นั่งอยู่ในกลุ่มนั้น นางกำลังมองดู และไม่เพียงเท่านั้น นางยังลองกินด้วย
พืชวิญญาณนี้อร่อยและหวานกว่าพืชวิญญาณที่นางเคยใช้ปราณเร่งให้โตเสียอีก และสิ่งสำคัญที่สุดคือปราณที่แฝงอยู่ภายในก็บริสุทธิ์มาก!
มิหนำซ้ำรสชาติยังอร่อยเหาะ ถ้าเอาไปใช้ห่อเนื้อย่างคงจะยิ่งอร่อยสุด ๆ ไปเลย!
อีกสี่คนไม่เข้าใจว่าทำไมหลิงเยว่ถึงบอกว่านางอยากกินเนื้อย่างหลังจากเก็บพืชวิญญาณเสร็จ นี่มีความเกี่ยวข้องอะไรหรือไม่?
หากเป็นก่อนหน้านี้พวกเขาคงไม่สนใจอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ต่อมรับรสที่ถูกฝุ่นเกาะมานานของพวกเขาได้เปิดออกแล้ว พวกเขาไม่สามารถมีทีท่าสงบต่ออาหารอร่อยได้เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
หลิงเยว่ซื้อเนื้อหมูสามชั้น เนื้อไหล่หมู เนื้อหมูส่วนสันใน และเครื่องปรุงรสจำนวนหนึ่ง โดยใช้แต้มไปถึงสี่ร้อยแต้ม
จากนั้นนางก็หยิบเตาย่างธรรมดา ๆ ที่เคยใช้ทำเนื้อแกะเสียบไม้ย่างขายออกมา แล้ววางเนื้อที่หั่นไว้ลงไปย่าง
“แค่นี้หรือ ไม่ต้องทาเครื่องปรุงอะไรทั้งนั้นเลยหรือ?”
โม่จวินเจ๋อถามในฐานะคนที่เคยเห็นหลิงเยว่ย่างเนื้อมาแล้วหลายครั้ง
“คราวนี้ไม่จำเป็น”
หลิงเยว่ขอให้คนที่เหลือช่วยกันพลิกเนื้อบนเตา ในขณะที่นางปลีกตัวไปผสมน้ำจิ้ม
แม้จะไม่ปรุงรส แต่กลิ่นหอมของเนื้อย่างแบบง่าย ๆ ด้วยถ่านก็น่าดึงดูดใจมาก
“กินแบบนี้นะ”
หลิงเยว่หยิบชิ้นหมูสามชั้นที่ย่างจนเป็นสีเหลืองทองขึ้นมา จุ่มลงในน้ำจิ้มที่ผสมเอาไว้ ห่อด้วยใบผัก จากนั้นก็ยัดเข้าปาก
ใบผักกาดหอมทั้งกรอบและหวานฉ่ำชื่นใจ เมื่อกินคู่กับหมูสามชั้นย่างที่เคลือบด้วยน้ำจิ้มรสจัดจ้าน ต้องได้ชิมเองเท่านั้นถึงจะรู้รสชาติ โดยเฉพาะไขมันที่ทะลักออกมาจากส่วนมันของหมู…
อร่อยมาก!
หลิงเยว่เพลิดเพลินกับอาหารที่กำลังระเบิดความอร่อยอยู่ในปาก จนนางสามารถมองเห็นภาพการเติบโตของผักกาดหอมได้อยู่ครู่หนึ่ง และถึงกับมีความต้องการที่จะกลายเป็นผักเสียเองด้วยซ้ำ
นี่มันมากเกินไปแล้ว ต้องเป็นภาพลวงตาแน่!
“ท่านรู้สึกหรือไม่?”
มู่มู่ถามขึ้น เขากินเนื้อหมูย่างห่อผักกาดหอมไปหลายคำจนอดใจไม่ไหวที่จะหยั่งรากลงในดินแล้ว
“อืม”
ว่านอวี้เฟิงพยักหน้าขณะเคี้ยง เขาเองก็เห็นภาพลวงตาจนคิดไปว่าถ้าได้กลายเป็นผักคงจะดี… กระทั่งกลับมาคงสติได้ จึงไม่เห็นภาพอะไรอีก
แปลกจริง ๆ
“ถ้าเอาขาหยั่งลงในดินจริง ๆ ข้าจะกลายเป็นผักได้จริงหรือ?”
หลิงเยว่ไม่กล้ากินต่อ ด้วยกลัวว่าหากกินต่อนางคงจะขุดหลุมและฝังตัวเองลงไปจริง ๆ
“ไม่ เราจะหายใจไม่ออกและตายเท่านั้น”
แม้ว่าโม่จวินเจ๋อจะมีความคิดเช่นเดียวกันอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะ ไม่ได้รับผลกระทบอย่างลึกซึ้งเท่ากับหลิงเยว่และมู่มู่
ดูเหมือนว่ายิ่งระดับการฝึกตนสูงขึ้น อิทธิพลของผักวิญญาณที่เกิดจากการเติบโตของสรรพสิ่งก็จะยิ่งลดลง
ปรากฏว่านี่เป็นผลที่ไม่คาดคิดของวิชาการเติบโตของสรรพสิ่ง?
หลิงเยว่จ้องมองผักกาดหอมพลางจมอยู่กับความคิด
นางควรลองขุดหลุมฝังตัวเองดูดีหรือไม่ อาจจะมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดอีกอย่างเกิดขึ้นก็ได้หรือเปล่า?
“ช่วยขุดหลุมให้ข้าหน่อยได้ไหมเจ้าคะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่โม่จวินเจ๋อได้ยินใครบางคนร้องขอเช่นนี้กับเขา
“หลุมตื้นหรือหลุมลึก?”
หลิงเยว่เริ่มคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง “ควรเอาแบบนอนสบายหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ?”
ทันทีที่หลิงเยว่พูดจบ หวานเย็นรสนมรูปกระบี่ก็ขุดดินเป็นสองหลุม หลุมหนึ่งสำหรับนอนและอีกหลุมสำหรับยืน
หลงหว่านโหรว ว่านอวี้เฟิง มู่มู่ “…”
บางทีสมองศิษย์น้องของพวกเขาอาจจะไม่ค่อยดีนักใช่หรือไม่?
หลิงเยว่เพิกเฉยต่อคนทั้งสามที่มองนางเหมือนเป็นคนโง่ และกินเนื้อห่อผักกาดหอมไปอีกหลายคำ จากนั้นก็นอนลงในหลุมด้วยสีหน้าสงบ แล้วพูดกับหวานเย็นรสนมรูปกระบี่ที่อยู่ข้าง ๆ นาง “กระบี่น้อย โปรดฝังตัวข้าที แต่อย่าฝังหัวของข้านะ”
โม่จวินเจ๋อมองไปที่หลิงเยว่ที่ถูกฝังอยู่ในดินโดยมีเพียงศีรษะโผล่ออกมา เด็กสาวนอนหลับตาทั้งสองข้างอย่างสงบ
เป็นเรื่องยากมากที่โม่จวินเจ๋อจะกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นศิษย์น้องอยู่ในท่าทางนี้
อีกสามคนแทบทนไม่ได้ที่จะมองนาง
ตอนนี้หลิงเยว่ฝังตัวเองอยู่ในดิน นางรู้สึกว่าตนได้กลายเป็นเมล็ดพืชไปแล้วจริง ๆ สายตาของนางมืดลง ทันใดนั้น… ก็มีความหลงใหลอย่างแรงกล้าว่า อยากเห็นโลกภายนอก อยากจะทำลายพื้นดิน แตกหน่อ และเติบโตขึ้น …
หลิงเยว่ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ แต่นางกำลังมองเห็นโลกใต้ดินจากมุมมองของเมล็ดพืช!
โลกใต้ดินไม่ได้มืดสนิท รากของพืชมีสีสัน งอกและแตกแขนงออกไปเหมือนเครือข่าย เป็นสีสันสดใสที่ไม่มีที่สิ้นสุด
นางเห็นแมลงกินราก และยังเห็นรากใหญ่ดูดสารอาหารจากรากอื่นด้วย
แสงสีแดงในเครือข่ายขนาดใหญ่ดึงดูดความสนใจของหลิงเยว่ มันพุ่งหนีไปอย่างรวดเร็วและนางก็ไล่ตามมันอย่างสิ้นหวัง
ทันทีที่หลิงเยว่สัมผัสแสงสีแดง นางก็รู้สึกเหมือนมีอัศวินขี่ม้าขาวมาฉุดให้หนีในพริบตา
ไม่นะ!
หลิงเยว่ซึ่งนอนอยู่ในหลุมลืมตาขึ้น ขณะนี้ใบหน้าของนางซีดเผือด หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ และดวงตาฉายแววหวาดกลัว
อายุขัยของนางลดลงไป 30 วันในคราวเดียว ยอดคงเหลืออายุขัยจึงกลายเป็น 177 วัน
นางเพียงแค่แตะไอ้เวรนั่น แต่มันกลับทำให้อายุขัยเด็กสาวหายไปตั้งหนึ่งเดือน! หากป้ายหยกของศิลาชี้ชะตาไม่ช่วยชีวิตไว้ในช่วงเวลาวิกฤต หลิงเยว่คงได้ตายไปแล้วแน่!
ไอ้แสงสีแดงนั่นคือปีศาจชนิดใดกัน?
“มีอะไรผิดปกติหรือ?” ดวงตาของหลงหว่านโหรวมีความกังวล
“ฝันร้ายหรือ?” โม่จวินเจ๋อเอียงศีรษะ พินิจหลิงเยว่
“ข้า …”
หลิงเยว่เปิดปาก อยากจะเล่าให้ทุกคนฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ที่นางเจอมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี
ให้บอกว่าตนกลายเป็นเมล็ดพืช และได้พบกับแสงสีแดงในพื้นดินที่สามารถดูดชีวิตผู้คนได้งั้นหรือ?
“ข้าฝันร้าย ข้าฝันว่าถูกกลุ่มศิษย์จากยอดเขาบ่มเพาะกายารุมทุบตี”
“มันช่างเป็นฝันร้ายเสียจริง”
ว่านอวี้เฟิงชื่นชมยินดีกับความโชคร้ายของหลิงเยว่ ถ้าวันไหนเขาไม่มีความสุข ขอเพียงได้มองดูความโชคร้ายของเด็กสาวเขาก็จะรู้สึกดีขึ้นตลอดทั้งวัน
เมื่อหลิงเยว่ถูกส่งกลับไปที่หอกลั่นโอสถหมายเลขสาม นางก็ไม่มีสมาธิเลย
สมองมักจะคิดไปถึงแสงสีแดงนั่น นางคงจะไม่ถูกแสงสีแดงนั่นจดจำไปแล้วใช่หรือไม่?
ตอนนี้หลิงเยว่มีป้ายหยกอยู่กับตัวก็จริง แต่ถ้าป้ายหยกไม่สามารถปกป้องนางได้แล้ว นางจะตายหรือไม่?
นั่นอาจเป็นไปได้!
หลิงเยว่ไม่กล้าเสี่ยง นางจึงถือแผ่นหยกสื่อสารส่งเสียงไปถึงโม่จวินเจ๋อ
นางต้องการบอกเจ้าสำนักเล่อเหอเกี่ยวกับเรื่องนี้!
โดยทั่วไปแล้ว สิ่งที่ดูดกลืนอายุขัยของมนุษย์จะเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายหรือมารร้าย
โม่จวินเจ๋อพาหลิงเยว่ไปหาเจ้าสำนักเล่อเหอ
“ท่านเจ้าสำนักช่วยข้าด้วย…” หลิงเยว่กอดขาของเล่อเหอ ในที่สุดนางก็พบวิธีระบายความตื่นตระหนกภายในแล้ว
นางไม่ควรอยากรู้อยากเห็น ไม่เพียงแต่ติดกับดักแต่ยังสูญเสียอายุขัยไปหนึ่งเดือนด้วย จากอายุขัยที่สั้นอยู่แล้ว แสงสีแดงนั่นกลับยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก
มุมปากเล่อเหอกับโม่จวินเจ๋อกระตุกพร้อมกัน นี่มันเรื่องอะไร?
หรือเป็นเพราะว่าการประลองชี้ชะตาใกล้เข้ามาหลิงเยว่ก็เลยกลัว?