ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 190 หลิงเยว่คือคนแรก แต่ไม่ใช่คนสุดท้ายอย่างแน่นอน!
บทที่ 190 หลิงเยว่คือคนแรก แต่ไม่ใช่คนสุดท้ายอย่างแน่นอน!
“เจ้าชอบเช่นนั้นหรือ…”
เดิมทีหลิงเยว่ตั้งใจจะมอบชุดคลุมนี่ให้แก่หัวหน้าตะขาบมรกต แต่เมื่อนางเหลือบไปเห็นตราสัญลักษณ์สีทองอร่าม ซึ่งบ่งบอกถึงสถานะของนักกลั่นโอสถแบบพิเศษขั้นหนึ่งบนปกเสื้อคลุม นางจึงเปลี่ยนใจไม่มอบให้เขา
“แล้วจะทำอย่างไร หรือเจ้าจะทำให้ข้าสักชุด?”
หัวหน้าตะขาบมรกตรู้สึกยินดีอย่างมาก เขาเอื้อมมือลูบคลำเสื้อคลุมนักกลั่นโอสถด้วยความรักใคร่พลันเอ่ยปากว่า “ขอบใจเจ้ามาก เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อย!”
เมื่อถึงยามสวมใส่ไปข้างนอก รับรองว่าจะต้องเป็นชุดคลุมที่งดงามที่สุดในเหล่าตะขาบมรกตอย่างแท้จริง!
อย่างไรก็ตาม หากว่าสวมใส่แล้วสบาย เขาก็จะมอบให้เหล่าบริวารตะขาบมรกตด้วยเช่นกัน
หัวหน้าตะขาบมรกตเริ่มเพ้อฝันถึงภาพของตนเองเมื่อสวมใส่ชุดคลุมนักกลั่นโอสถสีสันสดใส ออกไปเดินเฉิดฉายข้างนอก เขาอยากจะฉุดกระชากหลิงเยว่ให้ทำชุดคลุมหลากสีแบบนี้ออกมาให้เขาอีกหลาย ๆ ชุดเสียเดี๋ยวนี้!
หลิงเยว่ยิ้มเจื่อน เห็นได้ชัดว่ายิ่งคาดหวังมากเท่าใดก็ยิ่งผิดหวังได้ง่ายเท่านั้น นางเฝ้ามองเหล่านักกลั่นโอสถที่เดินผ่านไปมาด้วยความอิจฉา ชุดคลุมนักกลั่นโอสถสีขาวสะอาดตาของพวกเขาช่างสง่างามยิ่งนักราวกับเทวดาบนสรวงสวรรค์ บนแขนเสื้อยังปักลายสมุนไพรวิญญาณสีน้ำเงินดูมีชีวิตชีวานัก
อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของเสื้อคลุมนักกลั่นโอสถพิเศษนี้ ยังเป็นการบ่งบอกถึงการยอมรับของการมีตัวตนอยู่ของนักกลั่นโอสถพิเศษจากสำนักกลั่นโอสถอีกด้วย!
หลิงเยว่คือคนแรก แต่ไม่ใช่คนสุดท้ายอย่างแน่นอน!
หลิงเยว่ปลอบโยนตนเองและมองตึกทรุดโทรมอย่างเหม่อลอย
ในสายตาหัวหน้าตะขาบมรกตนางกำลังเหม่อลอย แต่ในความเป็นจริง หลิงเยว่กำลังกดซื้อของอย่างบ้าคลั่งในระบบแลกเปลี่ยน มีทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ชาม ตะเกียบ สิ่งของที่ราคาถูกที่สุดนางกว้านซื้อมาทั้งหมด
ร้านทรุดโทรมต้องคำสาปแห่งนี้ ไม่ได้ขายเพียงสุราสมุนไพรและอาหารปิ้งย่างเท่านั้น แต่นางยัง… ขายกุ้งมังกร หากไม่มีกุ้งมังกร ก็ใช้กุ้งทะเลที่มีหน้าตาคล้ายกันทดแทนได้ เพราะผู้บำเพ็ญแทบไม่กินอาหารทะเลหรือหากจะกล่าวให้ถูกก็คือพวกเขาไม่กินเลย แต่บางครั้งก็นำไปใช้ในการกลั่นโอสถหรือหลอมอาวุธได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้กุ้งทะเล ปูทะเล หรือหอยทะเลระดับต่ำเหล่านี้
ดังนั้นอาหารทะเลระดับต่ำจึงล้นตลาดในโลกผู้บำเพ็ญเซียน!
หลิงเยว่จำได้ว่าเมื่อก่อนเซี่ยซิ่นรุ่ยเคยพูดว่าที่ตระกูลเซี่ยมีพื้นที่ชายฝั่งแห่งหนึ่ง อาหารทะเลล้นหลาม ฉะนั้นแล้วนางจะช่วยแบ่งเบาภาระให้บ้านของเขาเอง!
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ที่หัวหน้าตะขาบมรกตสลบไป เขาขัดขืนที่จะไปยังจวนตระกูลเซี่ยอย่างสุดฤทธิ์ แต่ไม่อาจหักห้ามใจได้เมื่อหลิงเยว่ใช้เสื้อคลุมอันวิจิตรงดงามนั้นมาล่อ เขาจึงเดินตามนางไปอย่างช่วยไม่ได้
เหตุใดเจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยที่ดูขี้ขลาดยิ่งกว่าผู้ใด จึงกล้ามาท้าทายพลังอำนาจของอสูรตนนั้นอีกแล้ว?
เมื่อหลิงเยว่กับหัวหน้าตะขาบมรกตก้าวเข้าไปในจวนตระกูลเซี่ย สองภรรยาสามีตระกูลเซี่ยก็ออกมาต้อนรับพวกเขาด้วยตนเอง ใบหน้าของทั้งคู่นั้นเปี่ยมสุขและแววตาสดชื่นขึ้น ซึ่งสีหน้าเช่นนั้นเห็นได้ชัดเจนจนทำให้หลิงเยว่และหัวหน้าตะขาบมรกตขนลุกและสั่นสะท้านไปทั้งตัวในเวลาเดียวกัน
ทั้งสองเชิญชวนพวกเขาอย่างอบอุ่นให้เข้าไปนั่งพักผ่อนในศาลาภายในสวน
“มาเยี่ยมฮวนฮวนหรือ? เวลานี้นางกำลังอยู่ในช่วงรวบรวมพลังปราณ อีกหนึ่งเดือนคงจะฝ่าด่านออกมาได้” รอยยิ้มประดับอยู่บนริมฝีปากของนายท่านตระกูลเซี่ยและถ้อยคำแสนละมุนละไมราวกับไม่ได้เป็นอสูรที่โกรธเกรี้ยวแผ่พลัง
อำมหิตเช่นคราวก่อน
ฮูหยินเซี่ยยิ่งจับมือหลิงเยว่ไว้แน่นไม่ยอมวาง แววตาที่มองนางก็เปรียบดังนางเป็นของล้ำค่าหายาก หลิงเยว่ขนลุก นางเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามชักมือกลับ ทว่ากลับดึงไม่ออก จึงต้องยอมแพ้ บอกถึงความประสงค์ที่แท้จริงออกไป
“ทะเลอย่างนั้นหรือ? ข้ามอบให้เจ้า” ฮูหยินตระกูลเซี่ยเรียกคนรับใช้ “ไปนำโฉนดที่ดินทางทะเลมา”
นายท่านตระกูลเซี่ยเห็นว่าพื้นที่ทางทะเลอันน้อยนิดไม่เพียงพอต่อการแสดงความขอบคุณ จึงกล่าวว่า “เจ้าต้องการแค่ทะเลอย่างเดียวหรือ? หอประมูลตระกูลเซี่ยก็ไม่เลว เช่นนั้น ขอมอบให้เจ้าด้วยแล้วกัน”
“ไม่… ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ!”
หลิงเยว่ทนความกระตือรือร้นเช่นนี้ไม่ไหวแล้ว!
แทนที่จะพูดอ้อมค้อม นายท่านตระกูลเซี่ยกลับหยิบโฉนดสีทองอร่ามออกมาวางบนโต๊ะตรงหน้าหลิงเยว่ ในขณะเดียวกันคนรับใช้ก็ไปเอาโฉนดที่ดินทางทะเลมาแล้วเช่นกัน โฉนดที่ดินทั้งสองเล่มที่แสดงถึงหินวิญญาณนับไม่ถ้วนจึงวางอยู่ตรงหน้า
“เพียงแค่ส่งปราณของเจ้าเข้าไป โฉนดเหล่านี้ก็เป็นของเจ้าแล้ว”
ถ้าหากเรื่องนี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ฮูหยินเซี่ยคงอยากกดศีรษะหลิงเยว่ลงไปแล้วให้เธอปล่อยพลังวิญญาณออกมา
“ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดทั้งนั้น ข้าสนุกกับการหาหินวิญญาณมาด้วยตัวข้าเอง ขอให้ท่านทั้งสองวางใจเถิด ข้าจะช่วยเหลือฮวนฮวนอย่างเต็มที่แน่นอน”
คำพูดของหลิงเยว่ทำให้สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยเงียบงัน เพียงแค่คำมั่นสัญญา พวกเขา…
“หากพวกท่านไม่วางใจ พวกเรามาตั้งคำสาบานกัน”
“เจ้าเต็มใจช่วยเหลือฮวนฮวนอย่างไม่มีเงื่อนไขจริงหรือ?” นายท่านตระกูลเซี่ยไม่อยากจะเชื่อถือสักเท่าใด โฉนดที่ดินสองแปลงนี้จะไม่มีค่าใด หากจะมอบให้นั้นย่อมได้
“ไม่ใช่ว่าไม่มีเงื่อนไข แต่ว่าข้ามีศัตรูอยู่มากมายและพวกเขาล้วนแข็งแกร่ง พวกท่านจะต้องสัญญากับข้าว่า หากข้าตกอยู่ในวิกฤตอันตราย ท่านจะต้องยื่นมือมาช่วยเหลือข้า”
หลิงเยว่กล่าวอย่างจริงจัง แต่สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยและหัวหน้าตะขาบมรกต เหตุใดจึงรู้สึกไม่ค่อยจะเชื่อนัก?
หากหลิงเยว่มีศัตรูมากมายและพลังแกร่งกล้ามาก นางซึ่งอยู่ขอบเขตผู้สร้างรากฐานตัวน้อยจะสามารถอยู่รอดได้นานขนาดนี้ได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้เปิดเผยความคิดของตนเอง ท้ายที่สุดแล้วจึงมีการสาบานต่อหน้าหัวหน้าตะขาบมรกต โดยคำสาบานนี้ได้รับการคุ้มครองโดยกฎของสวรรค์ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา จะต้องทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต ไม่อาจบำเพ็ญได้อีก!
สำหรับผู้บำเพ็ญนับเป็นคำสาปที่ร้ายกาจที่สุด
เสียงฟ้าคำรามดังสนั่นอยู่ข้างหูของทั้งสามคน
เมื่อคำสาบานผูกมัดแล้ว ทั้งสามจึงวางใจ หลิงเยว่ได้รับสิทธิ์ที่จะเข้าไปในพื้นที่ทางทะเลของตระกูลเซี่ยและเก็บสัตว์ทะเลได้ตามต้องการ
เมื่อกลับถึงสำนักแล้ว หลิงเยว่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง สั่งให้ลูกศิษย์ในชั้นเรียนทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังทะเล เพื่อเก็บวัตถุดิบ!
เซี่ยซิ่นรุ่ยผู้เคยลิ้มรสชาติสัตว์ทะเล รู้ดีว่าพวกมันอร่อยเพียงใด ครั้นได้ยินว่าจะไปที่ทะเล เขาก็โยนเครื่องครัวและรีบตามไปทันที
เซี่ยซิ่นรุ่ยกระตือรือร้นมาก ทว่าศิษย์คนอื่น ๆ ไม่ได้เต็มใจเช่นนั้น
“ท่านอาจารย์หลิง ฝีมือการทำเค้กของพวกข้ายังไม่ชำนาญพอ…”
ศิษย์คนหนึ่งกล่าวด้วยความหมายว่า ในตอนนี้พวกเขายังไม่สนใจอาหารทะเลใด ๆ ทั้งสิ้น
“ถูกต้องแล้วท่านอาจารย์ และตอนนี้ยังเป็นเวลาเรียนด้วย ท่านกำลังชักชวนพวกข้าให้หนีเรียนด้วยตนเองเลยหรือ?”
หลิงเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วตามข้ามาให้ทัน!”
เพราะเกรงกลัวอำนาจของอาจารย์ เหล่าศิษย์ทั้งห้าสิบคนจึงขึ้นยานบินไปยังทะเลของตระกูลเซี่ยด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
ตะขาบมรกตทั้งห้าสิบเอ็ดตัวถูกเก็บเข้าไปในท้องของหัวหน้าตะขาบมรกต ด้วยเหล่าตะขาบมรกตสี่ปีกนั้นโดดเด่นเกินไป เกรงว่าหากออกไปอาจจะถูกนักกลั่นโอสถแย่งชิงได้
หัวหน้าตะขาบมรกตลูบท้องของตนเอง เหล่าลูกหลานของมันมีแต่ต้องอยู่ในพื้นที่มิติของมันเท่านั้นถึงจะปลอดภัย
เมื่อเก็บอาหารทะเลมาจำนวนมาก ยานบินของหลิงเยว่ก็เปลี่ยนทิศทางไปยังถนนชิงเฟิงทันที
“ท่านอาจารย์หลิง ท่านแม่เรียกข้าให้กลับบ้านเพื่อรับประทานอาหาร ข้าขอตัวก่อน!”
“ท่านอาจารย์ ข้าปวดท้อง ข้าขอลาเช่นกัน…”
“โอ้! ภรรยาของข้ากำลังจะคลอดแล้ว!”
เหล่าศิษย์ทิ้งข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น ก่อนจะกระโดดลงจากยานบินเพื่อหลบหนี เพียงพริบตา ยานบินก็เหลือเพียงหลิงเยว่ หัวหน้าตะขาบมรกต เซี่ยซิ่นรุ่ย และจื่อเฉาอวี่เท่านั้น
จื่อเฉาอวี่ก็ปรารถนาจะหนีไปเช่นกัน ทว่าหลิงเยว่กลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
“เจ้าเป็นเพียงสมาชิกหนึ่งเดียวของตระกูลคำสาป แล้วเหตุใดเจ้าจึงขี้ขลาดนักเล่า?”
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกจากหลิงเยว่ จื่อเฉาอวี่สะบัดมือที่อยู่บนแขนของนางออกอย่างแรง แล้วกลับมานั่งใหม่อีกครั้งด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ
“ผู้ใดกลัว? แค่ฟ้ามืดแล้ว… กลับไปจะโดน…” ‘ว่า’ คำนี้ถูกกลืนกลับลงไปเนื่องจากสายตาแปลก ๆ ของเซี่ยซิ่นรุ่ยและหลิงเยว่
“คืนนี้พวกเจ้าโชคดีแล้ว อาจารย์จะแสดงฝีมือให้พวกเจ้าเห็น!”
หลิงเยว่ผลักประตูไม้ที่มีขนาดไม่เท่ากัน พาชายหญิงสองคนและหัวหน้าตะขาบมรกตตัวหนึ่งเข้าไปในตึกเก่าทรุดโทรมนั้น
ภายในตึกมืดมิด เซี่ยซิ่นรุ่ยรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย เขาถูแขนไปมาด้วยความกังวล กลัวว่าจะมีอะไรสกปรกโผล่มาสร้างความตกใจ
เพียงหลิงเยว่สะบัดมือ โคมไฟในตึกก็ติดขึ้นทีละดวง บนเพดานมีโคมไฟขนาดใหญ่ พวกมันส่องสว่างราวกับแสงจากตอนกลางวัน
โคมไฟพวกนี้นางซื้อมาจากระบบแลกเปลี่ยน แม้ราคาจะถูกแต่ก็สิ้นเปลืองหินวิญญาณไปไม่น้อย
“ตกแต่งเช่นนี้ก็ดูดีไปอีกแบบ”
หากไม่สนใจความทรุดโทรมภายนอก ภายในนั้นกลับอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ
“ใช่หรือไม่เล่า?”
หลิงเยว่ค่อนข้างภูมิใจ เมื่อถึงเวลาเพียงซ่อมแซมบริเวณตึกภายนอก แล้ววางโต๊ะเพิ่มอีกสักสองสามโต๊ะ ร้านปิ้งย่างก็ถือว่าเสร็จแล้ว!