ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 191 นี่คือสิ่งใดกัน? ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน!
บทที่ 191 นี่คือสิ่งใดกัน? ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน!
“นี่! ได้ยินข่าวลือกันหรือไม่ ร้านต้องสาปที่ถนนชิงเฟิง… มีคนเข้าไปเปิดร้านแล้ว!” คำพูดนี้เปรียบดังน้ำมันหยดลงในกระทะเดือด ฝูงชนต่างเย้ยหยันกันเสียยกใหญ่
“ผู้ใดช่างกล้าหาญไม่กลัวตาย ถึงมาเปิดร้านแถวนั้น?”
“เป็นอาจารย์ใหม่จากสำนักกลั่นโอสถ เขาว่าอายุน้อย มีภูมิหลังไม่ธรรมดา แต่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐานก็กล้าขึ้นไปเป็นอาจารย์ประจำชั้นเรียนแล้ว… น่าแปลกใจจริง ไม่รู้ว่าทางสำนักคิดสิ่งใดอยู่?”
“จะร่ำรวยหรือยิ่งใหญ่เพียงใด แต่อยู่เพียงขอบเขตสร้างรากฐานขั้นต้นจะไปสอนสิ่งใดได้?” ผู้บำเพ็ญมองด้วยความดูแคลน
แม้จะรังเกียจหรือดูถูกแต่ก็อดชื่นชมในความกล้าหาญของคนผู้นั้นไม่ได้ จึงชักชวนกันไปยังถนนชิงเฟิงเพื่อดูหน้าตาของคนที่เอาหินวิญญาณมาแลกกับร้านต้องสาปเสียหน่อย
เวลานี้ ร้านร้างแห่งนั้นได้ถูกหลิงเยว่ หัวหน้าตะขาบมรกต เซี่ยซิ่นรุ่ย และจื่อเฉาอวี่จัดการจนสะอาดเอี่ยม ทั้งสี่คนทำงานกันทั้งคืน จนในที่สุดร้านก็พอจะดูดีขึ้นมาบ้างแล้ว
เพื่อเป็นการตอบแทนความเหนื่อยยากเมื่อคืน หลิงเยว่จึงผัดกุ้งกระเทียมรสเผ็ดถึงสองหม้อใหญ่ และเหล้าที่ใช้หมักก็เป็นเหล้าสมุนไพรวิญญาณชั้นเลิศ กลิ่นหอมที่ลอยออกมาทำให้เซี่ยซิ่นรุ่ยและจื่อเฉาอวี่รู้สึกว่าการถูกใช้ทำงานเมื่อคืนนี้ช่างคุ้มค่าเสียจริง!
“เสร็จหรือยัง?” หัวหน้าตะขาบมรกตเร่งเร้า พลางจัดการโต๊ะและเตรียมทุกอย่างให้เสร็จสรรพ เหลือเพียงยกกระทะขึ้นก็กินได้แล้ว!
เมื่อฝาทั้งสองถูกเปิดขึ้น หมอกสีขาวพลันคลุ้งไปทั่วบริเวณพร้อมกับกลิ่นหอมที่เข้มข้นกว่าเดิม กลิ่นของอาหารวิญญาณพิเศษโชยแตะจมูกแล้วกระแทกเข้าไปถึงจิตวิญญาณของผู้คนโดยรอบ!
กลิ่นหอมเหลือจะบรรยาย!
ไม่ต้องรอให้หลิงเยว่เอ่ยปากพูด เหล่าศิษย์ทั้งสองที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ต่างช่วยกันรีบยกหม้อคนละใบ เทลงในชามใบใหญ่ที่เตรียมไว้แล้ว
กุ้งขนาดใหญ่สีเหลืองทองปนแดงแต่ละตัวมีขนาดเท่าฝ่ามือของหลิงเยว่ เพื่อทำให้กุ้งมีรสชาติเข้มข้นยิ่งขึ้นและง่ายต่อการแกะกิน นางจึงผ่าหลังของมันออก เนื้อข้างในไม่เหมือนเนื้อกุ้งแม่น้ำที่อ่อนนุ่มเป็นสีชมพู แต่กลับเป็นสีเหลืองทองราวกับ… ทองคำ ช่างน่ากินยิ่งนัก!
เริ่มกินกันเถิด!
ทั้งสี่คนลงมือกินกุ้งในเวลาไล่เลี่ยกัน หลิงเยว่คีบกุ้งหนึ่งตัวใส่ชาม ก่อนจะหักหัวกุ้ง แล้วแกะเปลือกตรงส่วนหัวออก นางดูดมันกุ้งพร้อมน้ำซุปเข้าปาก มันกุ้งทั้งสด หอม และมีรสชาติเข้มข้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสุราวนเวียนอยู่ในโพรงปาก พร้อมด้วยรสเผ็ดเล็กน้อยที่ปลายลิ้น
ส่วนถัดจากมันกุ้งคือเนื้อ เพียงลอกออกเบา ๆ เปลือกและเนื้อก็แยกออกจากกัน เมื่ออ้าปากรับเนื้อกุ้งเข้าไปแล้ว หลิงเยว่รู้สึกราวกับกุ้งเนื้อแน่นกำลังเต้นอยู่ในปาก
ช่างน่าพึงพอใจเหลือเกิน!
สีหน้าของทั้งสี่คนตอนนี้ช่างเหมือนกันไม่มีผิด นี่มันคือสิ่งใดกัน? ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน!
เซี่ยซิ่นรุ่ยเสียดายน้ำซุปจนไม่อยากจะเหลือไว้สักหยด แล้วเขาก็เลียนิ้วที่เปื้อนน้ำซุปเหล่านั้นจนเกลี้ยงเกลา จื่อเฉาอวี่เผลอเหลือบมองมือตนเองที่มีน้ำซุปติดอยู่เช่นกัน นางใช้ความอดทนที่มีทั้งหมดในชีวิต ต้านทานการทำสิ่งที่ไม่เหมาะกับภาพลักษณ์อันสง่างามของนาง
ทว่าหลิงเยว่และหัวหน้าตะขาบมรกตไม่มีขีดจำกัดด้านภาพลักษณ์ใดทั้งสิ้น อยากจะเลียก็เลีย!
ทั้งสี่คนกินจนลืมสิ่งรอบข้างไปชั่วขณะ แม้ว่าถนนชิงเฟิงซึ่งไร้ผู้คนสัญจร แต่บัดนี้มีผู้คนมากขึ้นแล้วก็ยังไม่ทันสังเกต พวกเขามองเห็นแต่กุ้งเท่านั้น!
“พวกเขากินสิ่งใดกันอยู่?” กลุ่มผู้บำเพ็ญกลุ่มแรกที่มามุงดูไม่กล้าเข้ามาใกล้มากนัก ได้แต่มองดูอยู่ห่าง ๆ
“ข้าจำได้ว่าเจ้าสิ่งนั้นมีอยู่ในทะเลเยอะแยะ เพียงแต่รสชาติมันอร่อยหรือ?” ถึงพวกเขาจะยืนอยู่ไกล แต่สายตานั้นดีเยี่ยม และยังมีคนที่จำกุ้งได้อีกด้วย!
“พวกเจ้าได้กลิ่นหรือไม่? ยังมีกลิ่นสุราสมุนไพรพิเศษอีกต่างหาก…” ผู้คนเหล่านั้นต่างดมกลิ่นหอมที่ลอยมาตามอากาศ ท้องที่ไม่ได้ใช้งานมานานก็ส่งเสียงครวญคราง น้ำลายพลันไหลออกมาจากปาก
ในกลุ่มคนที่มาเฝ้ายังมีลูกศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษซ่อนตัวอยู่ไม่น้อย ถึงพวกเขาจะอยากกิน แต่ก็… ไม่กล้าเข้าไปใกล้ตึกนั้นมากนัก เถียนฉู่ฉู่จึงตะโกนเรียกหลิงเยว่
“ท่านอาจารย์หลิง ช่วยส่งมาให้ข้าสักตัวได้หรือไม่?”
“จริงด้วยท่านอาจารย์ เมื่อวานพวกข้าก็ช่วยเก็บขยะน่ารังเกียจพวกนั้นทั้งวันแล้ว”
หลิงเยว่ทำหูทวนลมแล้วก้มหน้ากินต่อด้วยท่าทีเฉยชา
เซี่ยซิ่นรุ่ยหยิบกุ้งกระเทียมขึ้นมาอวดเพื่อนข้าง ๆ ก่อนแสดงท่าทางโอ้อวดว่ากุ้งนั้นอร่อยเพียงใด
“ท่านพี่เซี่ย ให้ข้าสักตัวเถิด”
“เจ้าตัวน้อยเสี่ยวจื่อ หากกินมากเกินไปเจ้าจะอ้วนได้นะ เอามาแบ่งให้พวกเราช่วยกินเถิด”
จื่อเฉาอวี่ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด ว่าแต่ พวกเขาเรียกผู้ใดว่าเสี่ยวจื่อกัน!
ถ้าอยากกินกันนัก ไยไม่กล้าเดินเข้ามากินกับข้าเล่า เจ้าพวกขี้ขลาด!
หัวหน้าตะขาบมรกตจ้องมองฝูงชนด้วยสายตาเหยียดหยาม เหล่าศิษย์ที่รับรู้ถึงสายตานั้นต่างเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขายังคงลังเลระหว่างต้องเสียทรัพย์กับสนองความหิวกระหาย
“อ้าว! เด็กสาวที่หันหลังให้พวกเราคืออาจารย์ของพวกเจ้าหรือ?”
“ถูกต้อง” เถียนฉู่ฉู่ที่ถูกถามพยักหน้า
“นางสอนพวกเจ้าเรื่องใดกันเล่า กลั่นโอสถหรือ?”
“ไม่ใช่ เป็น…” เถียนฉู่ฉู่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจึงลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนหยิบอมยิ้มยื่นให้ผู้บำเพ็ญคนนั้นแทน
“สอนเรื่องนี้”
เหล่าผู้บำเพ็ญที่ยืนมองอยู่ “…”
แค่เพียงเท่านี้หรือ?
มือหยาบกร้านหยิบอมยิ้มฟื้นฟูปราณวิญญาณ ขึ้นมาพิจารณาจากนั้นจึงใช้จมูกดมเบา ๆ ความหอมหวานนั้นมีกลิ่นของปราณผสานอยู่ ไม่ต่างกับกลิ่นที่ล่องลอยอยู่ในอากาศตอนนี้เท่าใดนัก
ในบรรดาคนทั้งสิบของเมืองฝู่ซางนั้นมีนักกลั่นโอสถอยู่ถึงครึ่งหนึ่ง พวกเขาเพียงอาศัยกลิ่นก็สามารถบอกความพิเศษได้แล้ว ดังนั้นผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงสังเกตเห็นถึงความพิเศษในอมยิ้มนั้นได้อย่างง่ายดาย
“อาจารย์ของเจ้า… มีความคิดล้ำเลิศนัก!” หญิงชราส่งอมยิ้มฟื้นฟูปราณวิญญาณคืนให้กับเถียนฉู่ฉู่ จากนั้นจึงเดินไปหาหลิงเยว่
“ช้าก่อน นั่นไม่ใช่…”
เหล่าศิษย์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ครุ่นคิดอย่างหนัก จนในที่สุดก็จำได้ว่าหญิงชรานั้นคือผู้ใด “นางคือผู้อาวุโสของหอจี้ซื่อ!”
“น่าจะใช่ แต่ว่าท่านผู้อาวุโสท่านนี้ไม่ได้ถูกส่งไปประจำอยู่ที่เมืองวั่งเต๋อแล้วหรือ?”
ทันทีที่ท่านผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอจี้ซื่อปรากฏตัว บทสนทนาก็เปลี่ยนไปพูดถึงนางทันที
“หลิงเยว่”
หลิงเยว่พลันหันกลับมาโดยไม่รู้ตัว ในตอนนี้ผู้คนรอบข้างจึงได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอาจารย์ผู้นี้
ใบหน้าอ่อนเยาว์บริสุทธิ์ ผิวพรรณผ่องใส นับเป็นหญิงงามทีเดียว
“ท่านคือ?” หลิงเยว่ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกกดดันราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับผู้บังคับบัญชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสบตากับหญิงชราที่กำลังตรวจสอบนางอย่างจริงจัง ครู่ต่อมาหลิงเยว่ไม่รู้ว่าจะวางกุ้งอีกครึ่งหนึ่งไว้ที่ใด จึงตัดสินใจกินมันลงไปทันที
หญิงชรา “…”
“เจ้าไม่ถูกใจชุดคลุมนักกลั่นโอสถพิเศษขั้นหนึ่งอย่างนั้นหรือ?”
หรือนี่คือช่างออกแบบชุดคลุมที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นต่อนางเช่นนั้นรึ?
“ถูกใจเจ้าค่ะ”
ถูกใจกับผีน่ะสิ!
“ท่านผู้อาวุโสหลิว เชิญนั่ง แล้วลองชิมฝีมือของอาจารย์พวกเราก่อนเถิดเจ้าค่ะ” จื่อเฉาอวี่หยิบเก้าอี้มาวาง แล้วช่วยกันจูงผู้อาวุโสหลิวนั่งลงบนเก้าอี้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนคุ้นเคยกันดี
ท่านผู้อาวุโสหลิวเหลือบมองจื่อเฉาอวี่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามหลิงเยว่อีกครั้งว่า “ถูกใจแล้วเหตุใดจึงไม่สวมใส่เล่า?”
มีนักกลั่นโอสถคนใดที่ผ่านการประเมินชุดคลุมขั้นหนึ่งแล้วไม่สวมใส่ด้วยความปลาบปลื้มใจกัน? ทั้งยังเป็นนางเองไม่ใช่หรือที่คอยเร่งเร้าอยากได้ชุดคลุมในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา
“ชุดคลุมนั้นงดงามเกินไป ยากที่จะสวมใส่ได้เจ้าค่ะ” หลิงเยว่คิดว่าคนผู้นี้ตั้งใจมาหาเรื่องอย่างแน่นอน!
“อาจารย์ ท่านผ่านการประเมินนักกลั่นโอสถขั้นหนึ่งแล้วหรือ!” เซี่ยซิ่นรุ่ยตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วงเวลาที่อาจารย์มายังสำนักเหอตง เขายังไม่เคยเห็นว่านางกลั่นโอสถแม้แต่เม็ดเดียวด้วยซ้ำ จนเขาคิดว่าอาจารย์คงไม่สามารถกลั่นโอสถได้ ทั้งยังไม่คาดคิดว่านางจะเป็นอาจารย์ได้อย่างแท้จริง!
หรือนางตั้งใจเก็บไว้เป็นความลับ แล้วค่อยปล่อยไม้ตายใส่พวกเขาเช่นนั้นหรือ?