ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 193 นางไม่ได้กล่าววาจาเช่นนี้!
บทที่ 193 นางไม่ได้กล่าววาจาเช่นนี้!
เซี่ยซินรุ่ยผู้ที่ถูกหลิงเยว่เลือกไว้เป็นอันดับหนึ่ง ยืนนิ่งเฉยอยู่หน้าประตูสำนัก ด้านหลังของเขานั้นยังมีเหล่าศิษย์จากชั้นพิเศษอีกหลายคน
“เราจะทำตามคำสั่งของอาจารย์หลิงเช่นนั้นจริงหรือ?” ศิษย์ผู้นั้นร้อนรน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ว่าประตูสำนักนั้นดูใหญ่โตราวกับปากของสัตว์ร้ายที่กำลังอ้ากว้าง เกรงว่าหากมีลมพัดเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็จะถูกกลืนกินเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย
“หรือเจ้าจะถอยหนี?” จื่อเฉาอวี่ถามพลางเหลือบมองไปทางหนึ่ง นางรู้ดีว่าหลิงเยว่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่พร้อมกับหัวหน้าตะขาบมรกต
บรรดาเหล่าศิษย์ย่อมล่วงรู้ดีถึงที่ซ่อนของหลิงเยว่ พวกเขาทั้งหมดล้วนถูกนางบังคับให้มารอซีชางที่หน้าประตูสำนัก
บัดนี้เซี่ยซิ่นรุ่ยกำมือในแขนเสื้อแน่น ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองเข้าไปในสำนัก เกรงว่าจะมองไม่เห็นซีชาง ยามนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็แยกไม่ออกว่าตนรู้สึกตื่นเต้น กังวล หรือหวาดกลัวกันแน่ กล่าวโดยสรุปแล้ว อารมณ์ของเขาตอนนี้ช่างน่าสับสนยิ่งนัก เพราะที่ผ่านมาเขาคือศิษย์ที่ดีในสายตาของอาจารย์ และเป็นลูกชายที่ว่านอนสอนง่ายในสายตาท่านพ่อท่านแม่
การกระทำเช่นนี้…
“มาแล้ว!”
เหล่าศิษย์ชั้นเรียนพิเศษที่เดิมทีขี้ขลาดและคิดจะหนี เมื่อเห็นซีชางเดินเข้ามากับท่าทีเย่อหยิ่งก็ลุกขึ้นยืนตัวตรง
เซี่ยซิ่นรุ่ยเลียนแบบท่าทางของซีชาง เขาพยายามจ้องมองโดยเชิดจมูกขึ้น แต่เนื่องจากพวกเขามีความสูงที่ใกล้เคียงกัน จึงลงเอยด้วยการสบตาจนจมูกแทบจะชนกัน
ซีชาง “?”
เขาป่วยหรืออย่างไร?
“สุนัขดีไม่ขวางทาง* [1]”
“คนดีก็ไม่ขวางทางสุนัข”
เซี่ยซิ่นรุ่ยสมองร้อนผ่าวพลั้งปากพูดออกมา แล้วร่างกายก็หลบไปด้านข้างโดยไม่รู้ตัว
หืม? โต้กลับได้ดีจริง!
“เจ้ามาหาเรื่องข้าอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้ามองออกด้วยรึ?” เซี่ยซิ่นรุ่ยกลับมายืนประจันหน้ากับซีชาง ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาแสดงออกมาชัดเจนขนาดนั้นเชียว?
ดูเหมือนเขาจะมีแววเป็นเจ้าแห่งลานประลองอยู่ไม่น้อย!
หลิงเยว่ที่หลบซ่อนอยู่ในฝูงชน “…”
ถ้าหากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางควรให้หัวหน้าตะขาบมรกตผู้ดูถูกมนุษย์ทั้งมวลไปเป็นคนหาเรื่องแทนเสียดีกว่า เซี่ยซิ่นรุ่ยช่างทำให้นาง… ผิดหวังสิ้นดี!
เจ้าเป็นถึงลูกชายของหัวหน้าฝูงอสูรเชียวนะ!
“หลิงเยว่ส่งพวกเจ้ามาหรือ?”
เหล่าศิษย์ชั้นเรียนพิเศษต่างพากันพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ส่ายหัวอย่างบ้าคลั่ง
จื่อเฉาอวี่เหลือบมองเพื่อนร่วมชั้นที่ไร้ความสามารถ นางไม่รอช้าดึงตัวเซี่ยซิ่นรุ่ยออกไป แล้วชี้ไปที่ซีชางอย่างเต็มภาคภูมิ “ข้าสาปแช่งเจ้า ชาตินี้เจ้าจะไม่มีวันผ่านการกลั่นโอสถชั้นเลิศได้…”
ซีชางถูกจี้จุดเข้าอย่างจัง โดยไม่รอให้จื่อเฉาอวี่พูดจบ เขาก็ลงมือทันที
จื่อเฉาอวี่เตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว นางถอยหลังอย่างรวดเร็วและดึงตัวเซี่ยซิ่นรุ่ยที่ยืนตกตะลึง จนตัวแข็งทื่อราวกับหินมาบังร่างของนาง หมัดเพลิงที่พุ่งเข้ามาอย่างฉับพลัน เซี่ยซิ่นรุ่ยจึงได้แต่กัดฟันรับเอาไว้
ระหว่างที่หลบหลีกก็ยังอธิบายไปด้วย “เมื่อครู่เสี่ยวจื่อโกหกไปอย่างนั้น อาจารย์หลิงเพียงแค่ให้พวกเรามาเชิญพวกเจ้าไปที่ถนนชิงเฟิงเพื่อทาน… อาหารสานสัมพันธ์กัน”
หลิงเยว่ “?”
นางไม่ได้กล่าววาจาเช่นนี้!
หลิงเยว่บอกให้เขาพาคนไปยั่วยุซีชาง ใช้กลยุทธ์ยั่วยุให้เขาโกรธและพาพวกมาบุกทำลายร้านในวันถัดมา จากคนที่มารังควานที่ร้านจะกลายเป็นลูกค้าประจำไปโดยปริยายไม่ใช่หรือ!?
ส่วนวิธีรับมือนั้น ท่านอาจารย์ใหญ่จะนำเหล่าอาจารย์มาที่ร้านในวันรุ่งขึ้น แม้ซีชางจะวางตัวกร่างเพียงใด เมื่อเผชิญหน้ากับท่านอาจารย์ใหญ่ ก็ต้องจำใจจ่ายค่าเสียหายทุกอย่างให้เรียบร้อยไม่ใช่หรือ?
แผนการล้ำเลิศเช่นนี้กลับถูกเซี่ยซิ่นรุ่ยทำลายสิ้น เหล่าศิษย์ที่นางหวังพึ่งพาอย่างเสี่ยวจื่อก็ยังล้มเหลว!
กระทั่งหัวหน้ายังเข้าร่วมวิวาท เหล่าบริวารก็กรูกันเข้าไปสมทบ ทันใดนั้นจื่อเฉาอวี่ก็ถูกแสงสีเขียวพุ่งเข้าใส่ศีรษะ นางรู้สึกโกรธยิ่งนัก และสุดท้ายก็เข้าร่วมการต่อสู้ในทันที
หลิงเยว่ หัวหน้าตะขาบมรกต และฝูงชนที่เฝ้าดู “…”
เป็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเสียจริง…
“หัวหน้าเซี่ยอ่อนปวกเปียกเกินไปหรือไม่ ตอบโต้ไม่เป็นหรือ!”
“ถูกต้อง เขาคงกลั่นโอสถจนโง่ไปแล้วกระมัง!”
ผู้คนที่เฝ้าดูรู้สึกอดสูจนแทบอยากจะเข้าไปช่วยต่อสู้แทนเซี่ยซิ่นรุ่ยเสียเอง
ก่อนหน้านี้ เซี่ยซิ่นรุ่ยถูกกำปั้นหลายหมัดอย่างช่วยไม่ได้ จนเสื้อคลุมบนร่างกายมีรูพรุนหลายแห่ง เขากลับไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย แต่เมื่อคนกลุ่มนั้นกล่าวว่าเขาอ่อนปวกเปียกแล้วยังกล่าวว่าเขานั้นโง่เขลาอีก?
อดทนไม่ไหวแล้ว!
“ถูกต้องแล้ว! อย่างนั้นแหละ โยนลูกไฟใส่พวกมันเลย!”
ลูกไฟที่กระจัดกระจายไปทั่ว และกิ่งไม้ที่ฟาดไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู อีกทั้งหญ้าบนพื้นที่พันกันทำให้คนสะดุดล้ม ประตูสำนักที่ถูกเผาจนเป็นรูทะลุไปอีกด้าน ผู้คนที่ได้รับผลกระทบต่างโมโหและเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้จนกลายเป็นความโกลาหลวุ่นวาย!
หลิงเยว่ผู้ก่อเรื่อง เมื่อเห็นท่าไม่ดีก็รีบฉุดแขนหัวหน้าตะขาบมรกตเพื่อจะวิ่งหนี แต่โชคร้ายที่…
“เจ้าเป็นคนยุยงใช่หรือไม่?” อาจารย์ใหญ่ยิ้มแย้มพลางชี้ไปที่ฝูงชนที่กำลังต่อสู้กันอยู่
พวกเขาทุกคนต่างต่อสู้กันอย่างหน้ามืดตามัว แม้กระทั่งอาจารย์ที่เข้ามาเพื่อห้ามปรามก็ยังโกรธจนตาแดงก่ำหลังจากที่ถูกลูกศิษย์เผาจนหัวล้านโดยไม่ตั้งใจ จึงเข้าร่วมในการต่อสู้ด้วยในท้ายที่สุด
หลิงเยว่กะพริบตาด้วยความบริสุทธิ์พร้อมส่ายหัว “ไม่… ไม่เกี่ยวกับข้า! ข้าแค่ผ่านมาเท่านั้น”
หัวหน้าตะขาบมรกตหัวเราะเยาะในลำคอด้วยความดูถูก
“ประตูสำนักที่เสียหายมีมูลค่าสิบล้าน หญ้าที่ได้รับความเสียหายราคาห้าล้าน โอสถสำหรับเหล่าศิษย์และอาจารย์ที่ได้รับบาดเจ็บสามสิบล้าน ค่าทำขวัญของข้าอีกห้าล้าน รวมเป็นห้าสิบล้าน” อาจารย์ใหญ่ยื่นมือไปหาหลิงเยว่อย่างอารมณ์ดี
“เหตุใดข้าต้องจ่าย ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดเสียหน่อย!”
“เจ้าไม่ได้ทำจริง ๆ หรือ?” อาจารย์ใหญ่ยังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง พลางคว้าตัวศิษย์คนหนึ่งที่หน้าตาบวมช้ำจนจำไม่ได้ขึ้นมา
เมื่อศิษย์คนนั้นได้เห็นหลิงเยว่ก็เหมือนได้เห็นผู้ช่วยชีวิต เขาพุ่งตัวเข้ามากอดขานาง พลางร้องไห้โฮแล้วพูดทั้งน้ำตาว่า “ข้าขอโทษท่านอาจารย์หลิง ข้าไม่สามารถทำภารกิจที่ท่านมอบหมายให้สำเร็จได้…”
หลิงเยว่อยากจะเตะศิษย์คนนั้นที่นางยังจำไม่ได้ว่าเป็นใครให้กระเด็นไปไกล ๆ ช่างพูดมากยิ่งนัก เหตุใดถึงไม่ถูกตีจนกลายเป็นใบ้ไปเลยเล่า!
“แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ? เช่นนั้นข้า…”
ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มของท่านอาจารย์ใหญ่กำลังจะซักถามศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษคนอื่น ๆ หลิงเยว่จึงรีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะชดใช้ให้ แต่ว่าท่านอาจารย์ใหญ่… ท่านคงทราบดีว่าร้านข้ายังไม่ได้เปิด แม้จะหาหินวิญญาณได้ก็ยังไม่เพียงพอ ข้าขอผ่อนชำระได้หรือไม่?”
“เหตุใดเจ้าจะไม่มีเล่า? ตามที่ข้ารู้คือ ช่วงเวลานี้สุราสมุนไพรวิญญาณของเจ้าทำหินวิญญาณได้หลายร้อยล้านแล้วไม่ใช่หรือ?”
เขารู้เรื่องนี้ด้วย!
หลิงเยว่แทบสำรอกโลหิตออกมา สุดท้ายต้องน้ำตาซึมมอบห้าสิบล้านหินวิญญาณให้ท่านอาจารย์ใหญ่ หินวิญญาณเหล่านี้นางยังไม่ทันได้ใช้ก็ตกเป็นของสำนักเหอตงไปเสียแล้ว!
ร้านทรุดโทรมแห่งนี้คำสาปแช่งช่างแรงกล้าและร้ายกาจยิ่งนัก ถึงขนาดทำให้นางสูญเสียเงินทองด้วยวิถีทางเช่นนี้ได้!
เมื่อได้รับหินวิญญาณชดใช้แล้ว รอยยิ้มที่เสแสร้งกลับกลายเป็นรอยยิ้มที่จริงใจ “เมื่อเจ้ามอบหินวิญญาณให้โดยไม่ลังเลเช่นนี้ ข้าในฐานะผู้เป็นอาจารย์ใหญ่จะใช้สิทธิพิเศษให้เจ้าหนึ่งครั้ง เตรียมรับโชคลาภได้เลย!”
โชคลาภหรือ?
นางสูญเสียไปถึงห้าสิบล้านแล้วไม่ใช่หรือ? ต้องขายกุ้งขายปลา หรือต้องหมักสุราสมุนไพรอีกเท่าไหร่ถึงจะได้คืน!
หลิงเยว่ที่อดรนทนไม่ไหวจึงวิ่งเข้าไปในกลุ่มต่อสู้ นางจ่ายหินวิญญาณไปแล้ว หากนางไม่ลงมือจัดการศิษย์ที่ก่อเรื่องพวกนี้เสียหน่อย นางคงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก!
“ผู้ใดกล้าตีก้นข้า! อยากตายหรือ?”
“อ๊าก! ใครมันกล้าซุ่มโจมตีกัน? ข้าจะฆ่ามันให้สิ้นซาก!”
ทันใดนั้นศิษย์คนหนึ่งโดนถีบจนกระเด็นออกไปจากการต่อสู้ พอเผลอก็ถูกกิ่งไม้พันจนตัวหมุนคว้างไปมา รวมถึงศิษย์ที่โดนตบกระเด็นไปอยู่ตรงหน้าศัตรูแล้วส่งเสียงร้องระงมอีกด้วย การต่อสู้ครั้งนี้กลายเป็นความโกลาหลยิ่งกว่าเดิมเมื่อหลิงเยว่ได้เข้ามาสมทบ
เหล่าตะขาบมรกตที่เฝ้าดูอยู่ “…”
มนุษย์ช่างไร้สาระเสียจริง!
* [1] สุนัขดีไม่ขวางทาง เป็นสำนวนจีน มีความหมายว่า อย่ากีดขวางหรือสร้างปัญหาให้ผู้อื่น อย่าทำตัวเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของผู้อื่น รู้จักหน้าที่และสถานะของตนเอง