ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 20 ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะฝึกด้วยการนอน
บทที่ 20 ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะฝึกด้วยการนอน
บทที่ 20 ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะฝึกด้วยการนอน
เล่อเหอจับหลิงเยว่ออกไป โม่จวินเจ๋อจึงดึงนางขึ้นวางบนเก้าอี้
ครั้นหลิงเยว่ถูกจ้องมองด้วยดวงตาสองคู่ นางจึงเช็ดน้ำตาออก และเริ่มเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่ประสบพบเจอมา
เดิมทีเล่อเหอมีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ยิ่งหลิงเยว่พูด ใบหน้าเล่อเหอก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น
โม่จวินเจ๋อขมวดคิ้วแน่นเช่นกัน
“อาจารย์ มันคืออะไรบางอย่างจากพื้นที่ต้องห้ามในภูเขาด้านหลังหรือไม่ขอรับ?”
ภูเขาด้านหลังมีพื้นที่ต้องห้ามงั้นหรือ?
หลิงเยว่ตกตะลึง มันเป็นผู้บำเพ็ญมารหรือปีศาจหรือเปล่า?
“อย่ากังวล ชีวิตของเจ้าจะไม่เป็นอันตราย”
หลิงเยว่ยิ้มหลังจากได้รับคำรับรองจากเจ้าสำนัก
เล่อเหอกลับมายิ้มอีกครั้ง แต่หลังจากหลิงเยว่จากไป ใบหน้าของเขาก็เย็นชาอย่างยิ่ง ทันใดก็บีบถ้วยชาในมือแหลกเป็นผุยผงกระจัดกระจายไปตามสายลม
โม่จวินเจ๋อมาส่งหลิงเยว่ที่หอกลั่นโอสถ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหยิบขวดยาสงบจิตออกมาจากแหวนมิติ
“คืนนี้ไม่ต้องฝึกแล้ว กินนี่แล้วนอนหลับเสีย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่ไม่ปฏิเสธและรับคำอย่างว่าง่าย
ก่อนหน้านี้จิตใจอันเปราะบางของนางได้รับการกระทบเทือนอย่างรุนแรง
ขณะนี้ยาลูกกลอนที่โม่จวินเจ๋อให้กำลังเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนอยู่บนฝ่ามือ เมื่อมองแวบแรกก็รู้แล้วว่ามันต้องล้ำค่ามากแน่ ท้ายที่สุดนางจึงตัดสินใจไม่กิน เก็บยาเม็ดนั้นลงไปอีกครั้ง จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนตรงจุดนั้นเลย
หลิงเยว่ไม่ได้นอนมานานจริง ๆ ถ้าไม่นับตอนที่อยู่ภูเขาด้านหลังวันนี้
พลันคิดว่าคืนนี้ตนคงเกิดฝันร้ายหรือนอนไม่หลับเป็นแน่ ทว่าหลิงเยว่กลับหลับไปทันทีโดยไม่จำเป็นต้องกินยาสงบจิต
ครั้นตื่นขึ้นมา หลิงเยว่ก็รู้สึกสดชื่นขึ้น!
มันก็แค่ถูกดูดอายุขัยไปเดือนเดียวไม่ใช่หรือ แค่ทำภารกิจเพิ่มเอาก็ได้!
ยังเหลือเวลาอีกเก้าวันจะถึงการประลองชี้ชะตา ตอนนี้ระบบก็เหมือนจะแสดงความเมตตาแก่นางเช่นกัน ภารกิจหลักที่เจ็ดไม่เตือนออกมาได้พักใหญ่แล้ว นี่ก็เพื่อให้นางมีสมาธิในการฝึกฝนใช่หรือไม่?
หลิงเยว่นั่งขัดสมาธิโดยมีปราณห้าสีล้อมรอบ และนางก็ค่อย ๆ ดูดซับปราณทีละสี
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลิงเยว่ได้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ภูเขาด้านหลังแล้วดูดซับปราณใต้ดินมาหรือเปล่า หรือเพราะนางได้กินผักวิญญาณที่ได้มาจากการใช้วิชาหมื่นชีวางอกเงย ตอนนี้นางจึงกำลังจะเลื่อนขั้นขึ้นสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้าแล้ว!
แต่หลิงเยว่อยากให้มันเกิดจากข้อสันนิษฐานแรกมากกว่า
ด้วยการเลื่อนขั้นระดับได้เพราะการนอนย่อมสบายกว่าการนั่งสมาธิอย่างเห็นได้ชัด แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าอายุขัยของนางจะต้องไม่หายไปด้วยก็ตาม
ครั้งหน้านางควรไปลองนอนที่อื่นบ้างดีหรือไม่?
ทันทีที่หลิงเยว่เข้าสู่สภาวะการฝึกฝน นางก็ไม่สามารถบอกได้ว่าวันคืนไหนที่ตนจะตื่นขึ้นมา
หลังจากรับประทานอาหารแบบสบาย ๆ และฝึกฝนต่อไป หลิงเยว่ก็รู้สึกได้ว่านางจะสามารถเลื่อนขั้นระดับได้อย่างแน่นอนหลังจากฝึกฝนต่อไปอีกวัน!
เหล่าผู้เคี่ยวเข็ญทั้งหลายเมื่อรู้ว่าหลิงเยว่กำลังฝึกฝน พวกเขาจึงไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะ
ตอนนี้หลิงเยว่ทำตัวเข้ารูปเข้ารอยแล้ว โม่จวินเจ๋อจึงเปลี่ยนใจ หันไปสนใจที่เล่อเหอแทน
เขารออย่างอดทนเป็นเวลาสองวันกว่าจะได้พบกับอาจารย์ที่หายหน้าไป
“อาจารย์ ท่านไปอยู่ที่ไหนมาขอรับ?”
“โฮ่ ๆ ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่อยากจะเจอข้าอยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ?” เล่อเหอหรี่ตาพลางเชิดคางขึ้นขณะที่เดินผ่านโม่จวินเจ๋อ
แน่นอน เล่อเหอรู้ว่าลูกศิษย์ของเขาต้องการถามอะไร แต่ถ้าเขาไม่พูดซะอย่างเด็กเหลือขอคนนี้จะทำอะไรเขาได้?
ฮ่า ฮ่า!
โม่จวินเจ๋อราวกับมองเห็นความคิดอาจารย์ เขาพลันมีสีหน้าเย็นชา
“อาจารย์ ข้ายังมีผักวิญญาณที่สามารถเปลี่ยนความคิดของหลิงเยว่ให้ลดความอยากกลายเป็นเมล็ดพืชได้ ท่านไม่สนใจหรือ?”
ด้วยกลัวว่าเล่อเหอจะไม่เชื่อ โม่จวินเจ๋อจึงควักเอาใบผักที่ยังดูสดออกมาหนึ่งใบ
เล่อเหอหยุดชะงัก ก่อนจะคว้าใบผักแล้ววิ่งหนีไปทันที
โม่จวินเจ๋อยิ้ม
“อาจารย์ จริง ๆ ใบผักนั้นเป็นเพียงผักวิญญาณธรรมดา ๆ”
เล่อเหอ “…”
เด็กเหลือขอนี่กล้าแกล้งข้า!
ฮึ่ม!
สงสัยเป็นเพราะข้าไม่ได้ทุบตีไอ้เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้มานาน เดี๋ยวนี้เลยเอาใหญ่! ถึงเวลาที่ข้าต้องทบทวนความทรงจำให้ศิษย์รักสักหน่อยแล้วกระมัง!
จากนั้นโม่จวินเจ๋อก็ได้เผชิญกับชะตากรรมอันขมขื่น
…
ร่างคนนอนม่อยอยู่บนพื้นเหมือนตุ๊กตาผ้าเก่าขาด ๆ เล่อเหอยึดแหวนมิติบนนิ้วชี้ของศิษย์รักมาด้วยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ
อาหารทั้งหมดที่อยู่ข้างในรวมทั้งผักวิญญาณถูกยึดไปจนเกลี้ยง!
“ฮ่าฮ่า ไอ้เจ้าเด็กเมื่อวานซืน เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะกำแหงกับข้า!”
เล่อเหอนั่งยองพลางจิ้มหัวโม่จวินเจ๋อด้วยรอยยิ้ม จากนั้นควักศิลาบันทึกภาพออกมาเก็บภาพศิษย์รักของเขาที่มีสภาพใบหน้าบวมปูด
โม่จวินเจ๋อ “…”
เอาอีกแล้ว! เขาโดนบันทึกอะไรแบบนี้มาตั้งหลายครั้งตั้งแต่เด็ก ๆ อาจารย์ฟั่นเฟือนผู้นี้ยังไม่เบื่ออีกหรือ?
“ฮ่า! ไม่เคยเบื่อเลย!”
เล่อเหอยิ้มอย่างสะใจก่อนจะเก็บศิลาบันทึกภาพแล้วจากไปอย่างสง่างาม
เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจศิษย์แสบคนนี้อย่างแน่นอน
โม่จวินเจ๋อหยิบยารักษาออกมาแล้วโยนมันเข้าไปในปาก พลางมองไปที่ภูเขาด้านหลัง
ดูเหมือนว่านอกเหนือจากพื้นที่ต้องห้ามแล้ว ภูเขาด้านหลังยังซ่อนความลับอื่น ๆ อีกด้วย และความลับนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับมือได้ในตอนนี้
ไม่เช่นนั้นอาจารย์คงไม่พยายามปิดบังมันจากเขาเช่นนี้ แต่การที่ไม่บอกมันกลับยิ่งทำให้เขาอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีกนี่สิ!
“ข้าเลื่อนขั้นแล้ว และเพิ่งทำอาหารไว้ตั้งมากมาย มากินด้วยกันเร็วเจ้าค่ะ!”
โม่จวินเจ๋อที่กำลังจะเดินเข้าไปในภูเขาด้านหลังเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถูกหยุดไว้โดยเสียงของหลิงเยว่จากแผ่นหยกสื่อสาร
เขามองดูเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งบนร่างกายก่อนลูบใบหน้าปูดบวมของตน เขาจะกล้าให้ใครเห็นตัวเองในสภาพนี้ได้อย่างไร?
ไม่ไป?
แต่หลังจากถามตัวเองว่าไปหรือไม่ โม่จวินเจ๋อก็สวมหน้ากากเปลี่ยนโฉมและเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ เดินกลับไปทางยอดเขาโอสถ
“ทำไมท่านถึงใส่หน้ากากแปลงโฉมมาวันนี้ล่ะเจ้าคะ?” หลิงเยว่ถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของโม่จวินเจ๋อ
“เพราะว่าตอนนี้เขาไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าจริง ๆ ของเขาอย่างไรล่ะ!” อวี้เจินชี้ไปที่โม่จวินเจ๋อแล้วหัวเราะ
“เขาน่าจะเพิ่งโดนท่านเจ้าสำนักทุบตีมาแน่ ๆ เจ้าสำนักชอบทุบตีหน้าผู้คนเสมอ”
โม่จวินเจ๋อ “…”
“แม้แต่ท่านก็ยังถูกทุบตีหรือ?”
ในที่สุดหลิงเยว่ก็รู้แล้วว่าทำไมอวี้เจินมักบอกว่าถ้าอยากแข็งแกร่งขึ้นก็ต้องเริ่มด้วยการถูกทุบตีก่อน พวกเขาไม่ได้โกหกนางจริง ๆ!
“ไม่มีใครหลบหนีจากการถูกทุบตีได้”
ว่านอวี้เฟิงคิดย้อนไปเช่นกันว่าเมื่อในอดีตเขาก็ไม่ค่อยได้อยู่ดีสักเท่าไหร่ เหตุผลที่เป็นแบบนั้นก็เพราะหลงหว่านโหรวที่นั่งข้าง ๆ เขาและกำลังกินอย่างเงียบ ๆ
“ศิษย์น้องรอง เรื่องเกี๊ยวของเจ้า…”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านยังไม่อิ่มอีกหรือ ลองกินนี่ดูดีกว่า มันอร่อยมากเลยขอรับ อันนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน…”
ว่านอวี้เฟิงขัดจังหวะหลงหว่านโหรวอย่างรวดเร็วและคีบอาหารอย่างอื่นให้นาง
เป็นเรื่องน่าอายหากจะบอกว่าเขาหมกมุ่นกับเรื่องการทำเกี๊ยวมาครึ่งเดือนแล้วแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเหมือนหลิงเยว่สักที เขาคงยิ่งอายกว่าเดิมถ้าพูดถึงมันอีกกลางวงอาหารตอนนี้
หลิงเยว่มองว่านอวี้เฟิงอย่างแปลกใจ เมื่อนางได้ยินคำว่า ‘เกี๊ยว’
“ศิษย์พี่รอง ท่านอยากกินเกี๊ยวหรือเจ้าคะ?”
วันนี้หลิงเยว่ไม่ได้ทำเกี๊ยว สิ่งที่อยู่บนโต๊ะเป็นเพียงอาหารธรรมดา นางเองก็อยากจะทำอาหารวิญญาณพิเศษเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่สมุนไพรวิญญาณมีราคาแพงกว่าผักวิญญาณ
“ข้าไม่ได้อยากกิน ว่าแต่… นี่อะไรหรือ อร่อยดีนะ”
ว่านอวี้เฟิงชี้ไปที่ผัดมะเขือยาวและเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
หลงหว่านโหรวเหลือบมองศิษย์น้องรองที่พยายามรักษาหน้าตัวเองสุดฤทธิ์ นางอยากรู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะทำเกี๊ยวที่ดีออกมาได้เสียที
หลิงเยว่แนะนำอาหารจานต่าง ๆ ที่ทำ ได้แก่ ปลาตุ๋น ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน หมูหั่นบางต้ม ปีกไก่ทอดกรอบ ผัดมะเขือยาวสับ ผัดไข่ใส่มะเขือเทศ กะหล่ำปลีผัดกระเทียม น้ำแกงไก่ผสมเห็ดและข้าววิญญาณ
“ศิษย์พี่หญิงอวี้ ศิษย์พี่ลู่ไม่ได้อยู่ในสำนักหรือเจ้าคะ?”
ขณะที่หลิงเยว่กินก็นึกถึงลู่เป่ยเหยียน ชายผู้ซึ่งเคยถูกเจ้าสำนักเล่อเหอลากมาเป็นคนก่อไฟที่ภูเขาด้านหลังวันนั้น
“ไม่อยู่… เขาออกไปรับน้องชายและน้องสาวของเขาที่นอกสำนักน่ะ”
อวี้เจินกำลังยุ่งอยู่กับการยัดอาหารใส่ปาก กว่านางจะตอบก็หลังจากเคี้ยวไปสักพัก
จากนั้นทุกคนในโต๊ะอาหารก็แย่งกันกินอย่างครึกครื้นต่อไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พรุ่งนี้คือวันแห่งการประลองชี้ชะตา
หลิงเยว่ฟุ้งซ่านมากเสียจนไม่สามารถนั่งสมาธิฝึกฝนได้อีกต่อไป ทั้งยังไม่อาจมีสมาธิกับการฝึกกระบวนท่าด้วย
เมื่อคิดว่าผาวฮุยหรือนางจะต้องตายในวันพรุ่งนี้ หลิงเยว่ก็เริ่มวิตกกังวลและหวาดกลัว
สำหรับคนที่เคยใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาโดยตลอด หลิงเยว่รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากเมื่อต้องหยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ตลอดเดือนที่ผ่านมา นางเพียงปลอบโยนและสะกดจิตตัวเองเท่านั้น แต่สุดท้าย…
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก…”
เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะขัดขวางความคิดที่กำลังว้าวุ่นของหลิงเยว่