ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 204 รู้สึกเหมือนร่างกายถูกคว้านไป
บทที่ 204 รู้สึกเหมือนร่างกายถูกคว้านไป
หลังจากดื่มชาจนหมดแล้ว หลิงเยว่ก็ไม่ได้ลิ้มรสชาติของมันเลย มีเพียงกลิ่นหอมของชาที่อบอวลอยู่เต็มปาก จนอดคิดไม่ได้ว่าอยากจะดื่มอีกกาแล้วค่อย ๆ จิบไปทีละนิด
หลิงเยว่นั่งขัดสมาธิ หลับตาแล้วเริ่มหมุนเวียนพลังปราณไปทั่วร่าง จากนั้นพลังปราณทั้งห้าสีก็พุ่งเข้าสู่ร่างกายของนางเพื่อดูดซับสรรพคุณของน้ำชามาใช้
เดิมทีหลิงเยว่นั่งตัวตรง แต่ไม่นานนักนางก็เอียงคอแล้วล้มลงไปข้างหลังทันที จิตวิญญาณของนางได้ล่องลอยออกจากร่างกาย
ล่องลอย… คำนี้เห็นได้ชัดเจนยิ่ง เนื่องจากตอนนี้หลิงเยว่กลายเป็นตะขาบมรกตสี่ปีกแล้ว นางก้มหน้ามองร่างกายสีเขียวมรกตของตนเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองออกไป ประตูใหญ่ที่สร้างขึ้นใหม่ของสำนักพลันปรากฏขึ้น จากภาพที่พร่ามัวค่อย ๆ เริ่มชัดเจนขึ้น และหากมองออกไปไกลกว่านั้นอีก…
หลิงเยว่กำลังมองเห็นถนนชิงเฟิงทั้งสายได้อย่างชัดเจน ร้านต้องคำสาปที่ซ่อนอยู่ในอาคมก็ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน ภายในร้านขณะนี้หัวหน้าตะขาบมรกตเอนตัวพิงเก้าอี้อยู่บนลานหญ้าหน้าร้าน ส่วนลูกศิษย์ของนางกำลังหมักสุราที่ห้องครัวหลังร้าน…
หัวหน้าตะขาบมรกตรู้สึกราวกับว่ามีคนแอบมองอยู่ จากนั้นเขาก็หันมายังทิศทางนั้น ดวงตาสีทับทิมของมันยิ่งแดงขึ้น เมื่อพบว่าผู้แอบมองเป็นใคร มันจึงอ้าปากพูดขึ้นโดยไม่มีเสียง “เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อย ข้าเห็นเจ้าแล้ว!”
หลิงเยว่ตกใจยิ่งนัก ไม่คาดคิดว่าหัวหน้าตะขาบมรกตจะสามารถเห็นผู้ที่แอบมองได้แม้จะอยู่ไกลขนาดนี้ และยังรู้อีกด้วยว่าเป็นนาง ทั้งที่ตอนนี้นางอยู่ในร่างของตะขาบมรกตสี่ปีก!
หลิงเยว่ที่มีปีกงอกออกมาพยายามโบยบิน จนกลายเป็นลำแสงสีมรกตพุ่งตรงไปที่ร้านต้องคำสาปทันที
การใช้ยานบินจากสำนักไปยังร้านต้องคำสาปต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้นางที่อยู่ในร่างของตะขาบมรกตสี่ปีกใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น!
เพียงแค่ใส่น้ำลายของหัวหน้าตะขาบมรกตเพิ่มลงไปเล็กน้อย จิตวิญญาณก็กลายเป็นร่างของหัวหน้าตะขาบมรกตสี่ปีกและยังได้รับความสามารถในการบินได้อย่างรวดเร็ว ชานี้ช่างวิเศษนัก!
“เจ้าทำได้อย่างไร จิตวิญญาณถึงกลายร่างเป็นตัวข้าได้?”
น้ำเสียงและแววตาของหัวหน้าตะขาบมรกตนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังได้รับพลังบางส่วนของข้ามาด้วย…”
หัวหน้าตะขาบมรกตนึกสงสัยขณะเดินวนรอบหลิงเยว่ที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศแล้วสูดกลิ่นอย่างแรง จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“มนุษย์อย่างพวกเจ้ามีรสนิยมประหลาดนัก แม้แต่น้ำลายของข้ายังไม่เว้น”
สำหรับเรื่องนี้หลิงเยว่ไม่สามารถโต้แย้งได้ เพราะอย่างไรก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดจริง ๆ
“เจ้าจำข้าได้อย่างไร?”
“ย่อมเป็นเพราะดวงตาอันงดงามและน่าหลงใหลของข้าน่ะสิ” หัวหน้าตะขาบมรกตกะพริบตาข้างหนึ่งอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ส่งเสียงฮึดฮัดขึ้นมา “หลังจากนี้อย่าได้เผลอใช้จิตวิญญาณแอบมองอีก หากเจ้าพบกับผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่า จิตวิญญาณและร่างกายของเจ้าก็จะกลายเป็นเถ้าธุลีทันที!”
ร้ายแรงเช่นนั้นเชียวหรือ?
ขณะที่หลิงเยว่กำลังจะซักถาม หัวหน้าตะขาบมรกตก็โบกมือ ชั่วพริบตาร่างกายของนางที่เป็นตะขาบมรกตก็หายไปจากถนนสายชิงเฟิง ราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งออกไป ทว่ายังคงกลับคืนสู่ร่างก่อนที่ฤทธิ์แปลงกายจะเสื่อมลง
หลิงเยว่ที่จิตวิญญาณกลับคืนร่างเดิมแล้ว รู้สึกราวกับถูกคว้านไส้ออกไปหมด สมองมึนงงยิ่งนัก นางพยายามฝืนกายลุกขึ้น แต่กลับเซลงไปแล้วหมดสติทันที
เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ก็ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าแล้ว
หลิงเยว่กุมขมับ นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าเพียงแค่จิตวิญญาณลอยออกจากร่างจะส่งผลข้างเคียงรุนแรงปานนี้ แต่เหตุใดท่านอาจารย์ใหญ่จึงยังคงปรากฏกายต่อหน้านางได้ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเมื่อยามรุ่งสาง?
ในท้ายที่สุด หลิงเยว่ก็สรุปได้ว่านางอ่อนแอเกินไป
การที่หลิงเยว่สามารถบรรลุไปสู่ขอบเขตสร้างรากฐานขั้นต้นในเวลาหกปีนั้น นับว่าน่ายินดีมากแล้ว และนางก็เริ่มรู้สึกได้ว่าตนเองได้เข้าใกล้ขั้นกลางอีกนิดเดียวแล้วด้วย
เมื่อใดที่นางค้นคว้าชารู้แจ้งที่จะแปลงกายเป็นสัตว์อสูรได้สำเร็จ นางคงสามารถก้าวผ่านขีดจำกัดนี้ไปได้เป็นแน่!
หลิงเยว่หยิบเอากาน้ำชาอันล้ำค่าที่ซ่อนไว้ออกมา ข้างในมีประมาณพันหยด จากนั้นนางก็เทออกมาครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือเอาไว้เป็นอาวุธสำหรับหนีเอาตัวรอดในยามคับขัน
หลังจากนั้นก็ตักน้ำลายของหัวหน้าตะขาบมรกตมาหนึ่งชามใหญ่ พร้อมกับสมุนไพรวิญญาณที่นางปลูกเองในช่วงเวลานี้
เมื่อเตรียมของเสร็จ นางจึงเอาเตากลั่นโอสถออกมาแล้วใส่แก่นปราณอัคคีลงไป… เพื่อเริ่มสกัดปี้สุ่ยเย่และสรรพคุณของสมุนไพรวิญญาณ
จนผ่านพ้นไปหนึ่งถึงสองวัน…
ภายในร้านต้องคำสาป
เซี่ยซิ่นรุ่ยจ้องมองประตูร้านที่เปิดอ้าอยู่พร้อมถอนหายใจ
ตั้งแต่หลิงเยว่ได้ออกไปบำเพ็ญเพียร คนผู้นั้นได้พรากโชคลาภจากร้านแห่งนี้ไปสิ้น รายได้ของร้านที่แสนจะน้อยนิดในสองสามวันมานี้ย่ำแย่จนแทบติดลบ
ในขณะนั้นเอง ประตูร้านที่เปิดโล่งกลับมีเหล่านักกลั่นโอสถที่สวมเสื้อคลุมของนักกลั่นโอสถขั้นหนึ่งเดินเข้ามาอย่างกะทันหัน
“โอ้! ร้านต้องคำสาปแห่งนี้ช่างเป็นอย่างที่เขาร่ำลือกันเสียจริง ไม่มีผู้คนเข้ามาอุดหนุนเลยแม้แต่น้อย!” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำพูดจาเยาะเย้ย พร้อมกับสอดส่องสายตาเข้ามาภายในร้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกและไม่แยแส
“คงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะมาเยือนร้านซึ่งถูกสาปแช่งและยังมีราคาแพงเช่นนี้หรอก” ถ้อยคำดูถูกเหล่านั้นไม่เป็นที่สะทกสะท้านสำหรับเหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ภายในร้าน พวกเขารีบวิ่งกรูกันไปที่หน้าประตูพร้อมใบหน้าอันยิ้มแย้มเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือนทันที
“นั่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ร้านของพวกเรานั้นคนทั่วไปไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้ามา แต่ผู้ที่กล้าเข้ามาล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น”
“แท้จริงแล้ว เช่นเดียวกับคนที่โง่เขลาที่มีหินวิญญาณมากมาย และไม่ได้หวาดกลัวต่อคำสาปแช่งด้วยเช่นกัน” เซี่ยซิ่นรุ่ยรีบพูดขึ้นเป็นคนแรก ในขณะที่จื่อเฉาอวี่ก็รับคำด้วยสีหน้าอันจริงใจ
“สาวน้อยจื่อ ไม่ได้พบกันมานานนัก ฝีปากกลับแหลมคมยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก” ชายหนุ่มผู้นำกลุ่มมองจื่อเฉาอวี่ด้วยสายตาแทะโลม เขาเอื้อมมือออกมาหมายจะยกคางของนางให้เชิดขึ้น
ทว่าทันทีที่มือของเขาเอื้อมออกไป ก็ถูกจู่โจมด้วยหมัดของหัวหน้าตะขาบมรกตทันที เขาเอ่ยขึ้นด้วยความสนใจ “พวกเจ้ามาหาเรื่องก่อกวนเช่นนั้นหรือ?”
ชายที่โดนตบมือผงะไปทันที ก่อนจะกรีดร้องลั่นขึ้นมาคล้ายหมูถูกเชือด ทันใดนั้นมีแรงกดดันอันแข็งแกร่งแผ่กระจายออกไปอย่างไร้การควบคุม โดยไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู เสียงนั้นพลันหยุดลงกะทันหัน เหล่าผู้ที่ยืนอยู่ก็ล้มลงไปทีละคนพร้อมเสียงดังโครมคราม
หัวหน้าตะขาบมรกตลงมือด้วยตนเอง จับนักกลั่นโอสถจำนวนห้าคนโยนขึ้นไปบนเก้าอี้ ก่อนจะเอ่ยว่า “จัดอาหารชุดจักรพรรดิให้พวกเขา”
ลูกศิษย์ที่ได้รับผลกระทบนอนหมอบลงกับพื้น “…”
หัวหน้าตะขาบมรกตผู้สูงส่ง โปรดก้มลงมองผู้คนที่อยู่ใต้เท้าของท่านด้วยเถิด พวกเขาอยู่ในสภาพที่สามารถทำอาหารได้หรือไม่?
หัวหน้าตะขาบมรกตดูเหมือนได้ยินเสียงของเหล่าศิษย์ จึงก้มลงมอง “โอ้! ข้าลืมไปว่าพวกเจ้าก็เหมือนกับเจ้ามนุษย์เปราะบางน้อย”
ทันทีที่แรงกดดันคลายลง ลูกศิษย์ที่เกือบจะสิ้นใจต่างรีบหายใจเข้าลึก ๆ
เหล่านักกลั่นโอสถทั้งห้าจ้องมองหัวหน้าตะขาบมรกตที่เดินเข้ามาด้วยความหวาดกลัว หนึ่งในนั้นรู้สึกทั้งกลัวและทั้งโกรธ “พวกเราเป็นสมาชิกสมาคมนักกลั่นโอสถ! หากท่านกล้าสังหารพวกเรา สมาคมจะไม่ปล่อยท่านและคนที่อยู่ร้านนี้ไปอย่างแน่นอน!”
“ไม่ต้องกังวลไป” หัวหน้าตะขาบมรกตหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ข้าเพียงต้องการให้พวกเจ้าเลี้ยงอาหารข้าสักมื้อเท่านั้น”
ร้านต้องคำสาปแห่งนี้ไม่มีลูกค้า ตลอดทั้งวันจึงต้องกินอาหารที่ลูกศิษย์ทำล้มเหลว กินจนเอียนไปหมดแล้ว ทว่าในตอนนี้มีคนมาถึงที่ เขาจะไม่ฉวยโอกาสรีดไถได้อย่างไร? ถือว่าเป็นการให้รางวัลแก่กระเพาะอาหารของตนเองแล้วกัน
“เป็น… เช่นนั้นจริงหรือไม่?”
“อืม!” หัวหน้าตะขาบมรกตหัวเราะอย่างร่าเริง
“ศิษย์น้องอย่าไปเชื่อเขา เจ้าเห็นหรือไม่ว่าแขนของพี่รองหักแล้ว!”
เมื่อครู่ชายผู้นี้โดนหัวหน้าตะขาบตีไปเพียงเล็กน้อย แขนขวาของเขาก็ห้อยลงไร้เรี่ยวแรง ตาเหลือกค้าง ดูท่าใกล้จะสิ้นใจเต็มที
คนที่พูดเห็นดังนั้น จึงรีบหยิบโอสถออกมาแล้วหยิบยัดเข้าปากเขาทันที
หลังจากกินโอสถเข้าไปแล้ว ชายผู้นั้นจึงเลิกตาเหลือก แต่ก็ยังไม่สามารถยกแขนข้างขวานั้นขึ้นได้
มือของนักกลั่นโอสถนับเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด หากโอสถหล่อกระดูกยังใช้ไม่ได้ผล นั่นเท่ากับว่าไม่เพียงแต่เส้นทางอาชีพของนักกลั่นโอสถจะจบลงเท่านั้น เขายังจะต้องกลายเป็นคนแขนพิการไปตลอดชีวิต ยกเว้นว่าเขาจะบรรลุไปถึงขอบเขตปฐมวิญญาณขั้นต้นได้และสามารถบำเพ็ญเป็นอมตะสร้างร่างขึ้นมาใหม่ หากไม่เช่นนั้นแล้ว…
เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มที่เพิ่งจะหยิ่งผยองเมื่อครู่กลับร้องไห้ออกมาเสียงดัง
หัวหน้าตะขาบมรกตรู้สึกงุนงง เหตุใดเขาถึงร้องไห้ออกมาเล่า เมื่อครู่ไม่ได้หยิ่งผยองนักหรือ?