ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 207 จะให้กินข้าวกันอย่างสงบสุขไม่ได้เลยหรือ!
บทที่ 207 จะให้กินข้าวกันอย่างสงบสุขไม่ได้เลยหรือ!
เมื่อหลิงเยว่ฟื้นขึ้นมาก็เป็นยามดึกแล้ว
เพียงนางขยับร่างกายความรู้สึกปวดเมื่อยพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ราวกับอาการของคนขี้เกียจที่ไปออกกำลังกายมาอย่างหนัก
เพียงแค่นั่งตัวตรงแล้วขัดสมาธิก็ทำเอาเหงื่อไหลโชก
แก่นปราณพฤกษาซึ่งมีพลังในการฟื้นฟูที่แข็งแกร่งที่สุดไหลเวียนไปทั่วร่างของหลิงเยว่เพื่อฟื้นฟูความรู้สึกปวดเมื่อย นางถอนหายใจด้วยความโล่งใจ แต่แล้วนางก็เบิกตาโพลง นาง… อยู่ขอบเขตสร้างรากฐานขั้นกลางแล้ว!
ถึงแม้จะมีลางสังหรณ์ แต่การบรรลุที่มาโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ก็ยังทำให้นางรู้สึกประหลาดใจอยู่ดี
แม้จะอยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานขั้นกลางแล้ว ทว่ายังห่างไกลกับระดับจินตานไม่ใช่หรือ?
ถึงอย่างนั้น หลิงเยว่ยังคงยินดีและบำเพ็ญต่อไป
การบำเพ็ญครั้งนี้กินเวลาไปนานถึงสามวัน เมื่อได้ยืดเส้นยืดสายแล้ว หลิงเยว่จึงตัดสินใจไปที่ร้านต้องคำสาป เพื่อทำเค้กโลหิตต่อชีวิตให้ฮวนฮวน… รวมถึงหัวหน้าตะขาบมรกตที่อยากกินด้วย
เหตุใดถนนชิงเฟิงถึงได้เงียบสงบเช่นนี้?
หลิงเยว่เหลือบมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าประตูร้านบางแห่งถูกปิดอย่างแน่นหนา แม้ว่าก่อนหน้านี้ถนนชิงเฟิงจะไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ แต่บางครั้งยังพอมีผู้บำเพ็ญเดินไปมาอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่เงาคนด้วยซ้ำ
เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?
หรือว่าก่อนหน้านี้ที่หัวหน้าตะขาบมรกตถูกนางขัดจังหวะ เขากำลังจะพูดถึงเรื่องของถนนชิงเฟิงหรือไม่?
ระหว่างทาง ผู้คนหาได้ยากยิ่ง แม้แต่เหล่าผู้บำเพ็ญที่ชอบมามุงดูที่ระเบียงหลังคาทุกวันก็ยังหายไป หลิงเยว่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล จนกระทั่ง… ได้ยินเสียงอื้ออึงของผู้คนที่ดังมาจากร้านต้องคำสาปของนาง
เมื่อนางแอบโผล่เข้าไปดู ก็พบว่าภายในร้านนั้นเต็มไปด้วยผู้คน!
ลูกค้าส่วนใหญ่กำลังด่าทอกันเสียงดังลั่น แต่ยังกินอาหารไปด้วยอย่างเอร็ดอร่อย หลิงเยว่ยืนอยู่ข้างประตูมองเห็นสภาพแล้วไม่กล้าเข้าไป เหตุใดจึงมีลูกค้ามากมายเช่นนี้?
“แปลกใจใช่หรือไม่? ลูกค้าผู้มาเยือนเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ข้าเชื้อเชิญมาทั้งสิ้น!” หัวหน้าตะขาบมรกตเอ่ยอย่างภาคภูมิใจยิ่งนัก
“เจ้าเป็นผู้เชื้อเชิญมาหรือ?”
หลิงเยว่ไม่อาจเชื่อถือคำพูดของเขาได้ แต่นางคาดเดาได้ว่าบรรดาลูกค้าทั้งหลายคงจะถูกหัวหน้าตะขาบมรกตฉุดลากมาเป็นแน่ มิเช่นนั้น เหตุใดลูกค้าเหล่านี้จึงได้แต่ด่าทอโวยวายไม่หยุดหย่อน และผู้ที่ถูกตำหนิมากที่สุดก็ไม่ใช่ผู้ใดอื่น แต่คือ… นางที่เป็นเจ้าของร้าน
นี่ไม่ใช่ความผิดของนางด้วยซ้ำ?
เรื่องราวทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นฝีมือของหัวหน้าตะขาบมรกต เหตุใดถึงกลายเป็นว่านางต้องมารับผิดชอบด้วยเล่า?
หลิงเยว่ทั้งเสียใจทั้งแค้นเคือง นางจ้องไปที่หัวหน้าตะขาบมรกตด้วยสายตาไม่พอใจ “อย่าบอกนะ ว่า เจ้าลักพาตัวลูกค้าเหล่านี้มาด้วยกำลัง?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!”
หัวหน้าตะขาบมรกตจะยอมรับเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า?
“ข้าได้เชื้อเชิญพวกเขามาด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร ไม่ได้ใช้ความรุนแรงเลย”
“อาจารย์หลิง ในที่สุดท่านก็สิ้นสุดการบำเพ็ญแล้ว!”
เซี่ยซิ่นรุ่ยต้องทำงานหนักจนหัวหมุนและเหนื่อยแทบตาย ทั้งต้องปรุงอาหารวิญญาณพิเศษ ต้องคอยบริการเอาอาหารออกมาให้ลูกค้าด้วยตนเองอีก เมื่อเห็นหลิงเยว่ปรากฏตัวที่ร้านอีกครั้ง ดวงตาของเขาพลันแดงก่ำขึ้นมาทันที
“ท่านอาจารย์ รีบจัดการหัวหน้าตะขาบมรกตทีเถิด หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ร้านของเราคงถูกผู้คนรุมประณามแล้ว”
หลังจากที่อาละวาดไปทั่วถนนชิงเฟิง หัวหน้าตะขาบมรกตก็ได้แผ่ขยายการอาละวาดของเขาไปยังถนนข้างเคียงด้วย หากยังมิได้แผลงฤทธิ์ไปเจอกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเข้าจริง ๆ เมื่อนั้นทางสำนักคงไม่อาจปกป้องได้ และอาจถึงคราวสูญสิ้นกันแล้ว!
“เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยเช่นเจ้า จะไปจัดการข้าได้อย่างไร?!”
หัวหน้าตะขาบมรกตส่งเสียงอย่างหยิ่งผยอง
“เว้นเสียแต่เจ้าจะให้นางทำเค้กสีแดงนั้นให้ข้าเพิ่มอีกสักสองสามชิ้น ข้าก็อาจจะลดละความรุนแรงลงได้บ้าง”
อีกสักสองสามชิ้นอย่างนั้นหรือ?
เขากำลังฝันอะไรกัน?
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าตะขาบมรกตนั้นมีเจตนาดี หลิงเยว่จึงไม่อาจตำหนิเขาได้ ถึงแม้ว่าร้านต้องคำสาปแห่งนี้จะไร้ผู้คน แต่เพราะมีเขา ร้านจึงคึกคักขึ้นมา
“เจ้าคือหลิงเยว่ใช่หรือไม่?”
ขณะที่ทั้งสามกำลังสนทนากันอยู่ ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งแทรกเข้ามา นางมองหลิงเยว่ด้วยแววตาเพ่งพินิจ
“ข้าเอง ท่านมีธุระใดหรือ?”
หลิงเยว่ตอบกลับพร้อมกับจ้องมองหญิงผู้นั้นด้วยสายตาเช่นเดียวกัน
“ข้าต้องการสั่งอาหารชุดจักรพรรดิ ทุกอย่างต้องเป็นเจ้าเท่านั้นที่ลงมือทำ”
“หากข้าลงมือทำเอง ราคาจะไม่ใช่หนึ่งร้อยแปดสิบล้านอีกแล้ว แต่เป็นหนึ่งพันล้านเท่านั้น”
หน้าด้านถึงเพียงนี้เลยหรือ? ราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่าเชียว!?
หญิงสาวผู้นั้นมองหลิงเยว่ หลิงเยว่เองก็มองกลับเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจ้องตากันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่หญิงสาวจะเอาควักถุงหินวิญญาณ ออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
หนึ่งพันล้านไม่ขาดไม่เกิน
เมื่อหญิงผู้นั้นจากไป หลิงเยว่จึงสะกิดถามเซี่ยซิ่นรุ่ย “นางผู้นั้นเป็นใคร?”
“บุตรสาวของประธานสมาคมนักกลั่นโอสถ และเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่ตกเป็นเหยื่อของหัวหน้าตะขาบมรกตขอรับ”
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังหอจี้ซื่อก็คือสมาคมนักกลั่นโอสถ ถือเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกผู้บำเพ็ญเซียน
ด้วยที่มาอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ หลิงเยว่จึงรู้สึกว่าถุงหินวิญญาณในมือช่างร้อนระอุยิ่งนัก
แต่รับมาแล้ว จะเอาคืนไปได้อย่างไร?
“ศิษย์น้อง หลิงเยว่ไม่ยอมหรือ?”
สมาชิกในสมาคมมองไปยังเงาร่างของหญิงสาวที่เดินจากไป แล้วถามศิษย์น้องที่เดินกลับมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“สัญญาย่อมเป็นสัญญา แต่ว่านางเรียกเก็บหนึ่งพันล้านหินวิญญาณ”
“เจ้าจ่ายไปแล้วหรือ?”
หญิงสาวพยักหน้า จะให้นางทำอย่างไรได้เล่า?
สมาชิกที่นั่งอยู่ “…”
พวกเขานึกว่าหลิงเยว่จะดีกว่านี้สักหน่อย แต่กลับกลายเป็นว่านางเห็นแก่เงินยิ่งกว่าทุกคนเสียอีก!
รอเถิด เมื่ออาหารวิญญาณพิเศษเหล่านั้นมาถึง ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี พวกเขาจะต้องเหยียดหยามมันให้ถึงที่สุด!
เพียงนางกับเหล่าลูกศิษย์ไม่กี่คนคิดฝันจะริเริ่มหนทางใหม่ในการกลั่นโอสถ และท้าทายอำนาจของสมาคมนักกลั่นโอสถเช่นนี้ พวกเขาจะต้องทำให้รู้ว่าใครแน่กว่ากัน!
เพียงแค่สิบล้านหินวิญญาณย่อมเพียงพอที่จะทำให้หลิงเยว่ทุ่มเทสุดความสามารถแล้ว แม้ว่าลูกค้าผู้มาใหม่จะไม่เป็นมิตรนัก แต่เพราะได้รับหินวิญญาณมาแล้ว มีอะไรก็ค่อยว่ากันได้!
หากเป็นในโลกมนุษย์ คนเพียงผู้เดียวจะสามารถทำอาหารยาก ๆ เกือบสิบกว่าอย่างเช่นนี้ คงจะต้องใช้เวลานาน แต่เมื่อกลายเป็นผู้บำเพ็ญแล้ว นอกจากจะควบคุมไฟได้ตามต้องการ ยังสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้พร้อม ๆ กันอีกด้วย อาหารเหล่านี้จึงเสร็จเรียบร้อยหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามเศษเท่านั้น
อาหารเหล่านี้ถูกทยอยนำมาวางเรียงเต็มโต๊ะอาหาร
“เอ๊ะ! เหตุใดอาหารที่เอามาครั้งนี้มันถึงไม่เหมือนกับรายการอาหารในชุดอาหารจักรพรรดิที่สั่งไปตอนแรกในราคาหนึ่งร้อยแปดสิบล้านเล่า?”
สำหรับอาหารจานหลักที่เหมือนเดิมยังคงเป็นอาหารปิ้งย่าง แต่อาหารที่ปิ้งนั้นเปลี่ยนจากนกย่างเป็นแกะย่างทั้งตัว เพียงแค่แกะตัวเดียวก็ครอบคลุมพื้นที่บนโต๊ะไปถึงหนึ่งในสามแล้ว
กุ้งทอดเกลือสีทองอร่ามหอมกรุ่น อีกทั้งปูผัดผงกะหรี่หอมฉุยร้อนระอุ ปลาหั่นบางถูกจัดตกแต่งเป็นกลีบดอกไม้หลากสีสันที่ประดับประดาด้วยกุ้งหลากสี ปลาทะเลรสเปรี้ยวหวานรูปทรงแปลกตา เป็ดย่างน้ำผึ้งถูกย่างจนเป็นสีน้ำตาลแดงถูกหั่นเป็นชิ้นวางเรียงบนจานอย่างสวยงาม…
ทั้งอาหารทะเล หมู วัว แกะ ไก่ และเป็ด ของหวานและขนมเลิศรสสารพัดชนิด… ล้วนมีพร้อมทุกอย่าง ทำให้สมาชิกสมาคมนักกลั่นโอสถทั้งหลายตาลาย เพียงแค่ดูจากหน้าตาและกลิ่นหอม หลิงเยว่ก็เหนือชั้นกว่าลูกศิษย์ของตนเองอยู่มากนัก
หัวหน้าตะขาบมรกตนั่งลงบนเก้าอี้อย่างคล่องแคล่ว มีอาหารหลายจานบนโต๊ะที่เขาไม่เคยกินมาก่อน เขาคีบเป็ดย่างชิ้นหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเข้าปาก หนังเป็ดไม่เพียงกรอบเท่านั้น แต่ยังมีกลิ่นหอมของน้ำมันงาที่ไหลทะลักออกมาขณะเคี้ยว ภายในน้ำมันงามีกลิ่นหอมของสมุนไพรวิญญาณพิเศษที่สดชื่น แม้แต่เนื้อเป็ดก็มีกลิ่นหอมนี้เช่นกัน
เมื่อจิ้มกับน้ำจิ้มรสเปรี้ยวหวานที่อยู่ข้าง ๆ ยิ่งทำให้รสชาติแตกต่างขึ้นไปอีก!
จากนั้นหัวหน้าตะขาบมรกตก็หยิบขาแกะย่างขึ้นมาแทะ ก่อนจะฉีกเนื้อออกมาเป็นชิ้นใหญ่ เต็มปากเต็มคำ กลิ่นหอมกรุ่นชวนให้น้ำลายไหล กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม
หัวหน้าตะขาบมรกตชื่นชมในฝีมือการทำอาหารของหลิงเยว่เป็นอย่างมาก นี่ต่างหากคืออาหารที่เขาในฐานะหัวหน้าเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกควรได้กิน!
“อึก…”
หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออย่างห้ามไม่อยู่ คราวนี้นางไม่ถามเหล่าท่านพี่อีกแล้วว่ากินได้หรือไม่ เพราะหินวิญญาณเป็นของที่นางควักออกมาเอง!
จากนั้น หญิงสาวก็หยิบขนมดอกบัวสีสันสดใสมาอย่างขลาดกลัว แล้วบรรจงเด็ดกลีบดอกสีแดงเข้าปากอย่างระมัดระวัง เนื้อสัมผัสของขนมนั้นกรอบจนหนังศีรษะชา แม้แต่กลิ่นหอมยังเป็นกลิ่นดอกไม้อีกด้วย กินดอกสีแดงเสร็จก็ลองดอกสีเหลืองอ่อนต่อ รสสัมผัสเหมือนเดิม เพียงแต่มีกลิ่นหอมต่างกัน…
กลิ่นดอกไม้แปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณไหลเวียนอยู่ทั่วร่างของนาง ในขณะที่นางก็ยังคงนั่งกินราวกับอยู่ในทุ่งดอกไม้ ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง…
ทันใดนั้นก็มีเมฆดำปกคลุมเหนือร้านต้องคำสาป
“พี่ใหญ่ ข้า… เหมือนจะเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานแล้ว!”
คำพูดนี้ดังราวสายฟ้าแลบในหูของเหล่าสมาชิกสมาคม
เป็นไปได้อย่างไร? พรสวรรค์ของหญิงสาวผู้นี้ดีก็จริง แต่นางขี้เกียจมาก หากจะคาดเดาตามความขี้เกียจของนางแล้ว คงต้องบำเพ็ญอีกหนึ่งหรือสองปีกว่าจะแตะพรมแดนของขอบเขตสร้างรากฐานได้!
“ห้ามฝ่าทัณฑ์สวรรค์ที่นี่เด็ดขาด!”
หัวหน้าตะขาบมรกตคว้าตัวหญิงสาวขึ้นมา ก่อนจะเหวี่ยงออกไปอย่างสุดแรง เมฆดำที่ลอยอยู่เหนือร้านต้องคำสาปไล่ตามหญิงสาวที่กลายร่างเป็นลำแสงหนึ่งพุ่งออกไป
ลูกค้าที่อยู่ภายในร้านมองดูท้องฟ้าที่กลับมาสว่างดังเดิม ก่อนที่พวกเขาจะล้มฟุบไปบนเก้าอี้อย่างหมดแรง
แท้จริงแล้วก็คือมีคนกำลังจะก้าวข้ามขอบเขตพลังนี่เอง
เหตุใดถึงกินอาหารวิญญาณพิเศษแล้วก้าวข้ามไปได้เช่นนี้เล่า?
ลูกค้าที่เพิ่งจะโล่งใจไปเมื่อครู่ต้องรู้สึกห่อเหี่ยวอีกครั้งเมื่อจู่ ๆ เมฆดำกลับมารวมตัวกันเช่นเดิม พวกเขากำลังจะวิ่งหนี แต่กลับมีผู้บำเพ็ญคนหนึ่งวิ่งออกจากร้านต้องคำสาปพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“นี่เป็นสายฟ้าของข้า พี่น้องทั้งหลายข้าจะเข้าสู่ขอบเขตจินตานแล้ว!”
เมื่อผู้บำเพ็ญคนนั้นจากไป ท้องฟ้าเหนือร้านต้องคำสาปก็กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง
ลูกค้าคนอื่น “…”
จะให้พวกเขากินข้าวกันอย่างสงบสุขไม่ได้เลยหรือ?!