ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 209 เหตุใดจึงเป็นนางที่ต้องสูญเสียอยู่เสมอ
บทที่ 209 เหตุใดจึงเป็นนางที่ต้องสูญเสียอยู่เสมอ
ลูกค้าทุกคนที่ดื่มสุราในจอกนั้น ล้วนแล้วแต่ก้าวข้ามขอบเขตได้ทั้งสิ้น…
ท่านอาจารย์ใหญ่รีบโอบกอดไหสุราที่อยู่ในอ้อมแขนไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับเฝ้ามองหลิงเยว่ที่กำลังเดินเข้ามาหาด้วยความระมัดระวัง
“ข้าบรรลุขอบเขตสร้างรากฐานระดับกลางแล้ว ครั้นดื่มเสร็จ อาจจะบรรลุขอบเขตจินตานก็เป็นได้”
หลิงเยว่อิจฉาจนดวงตาแดงก่ำ นางเองก็อยากก้าวข้ามขอบเขตเช่นกัน
“ท่านอาจารย์ อาจารย์หลิง ท่านโปรดมองพวกข้าด้วยเถิด!”
เหล่าลูกศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษต่างมีใบหน้าแดงก่ำด้วยความอิจฉาไม่แพ้กัน สุราที่อาจารย์หลิงของพวกเขาหมักนั้นได้ผลเหนือความคาดหมายนัก
ครั้นได้ดื่มแล้ว ย่อมก้าวข้ามขีดจำกัดได้อย่างแน่นอน อยาก… เล่าเรียนยิ่งนัก!
หลิงเยว่ลังเลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าศิษย์ที่รอคอยโอกาสอย่างใจจดใจจ่อ ท่านอาจารย์ใหญ่ก็ลังเลเช่นกัน เขาอดไม่ได้ที่จะกอดไหสุรา แล้วฉีกมิติหนีออกไปเสียเดี๋ยวนั้น
สุราเหลือเพียงครึ่งไหแล้ว หากแบ่งให้ศิษย์คนละจอก สุราที่เหลือก็อาจมีเพียงไม่กี่หยดเท่านั้น
“ขอข้าลองดูก่อน” หลิงเยว่หยิบชามที่ใส่ข้าวขึ้นมาแล้วส่งให้กับท่านอาจารย์ใหญ่
“เจ้าเพิ่งอยู่ขอบเขตสร้างรากฐาน ดื่มชามใหญ่ขนาดนี้ไม่กลัวว่าร่างกายจะรับไม่ไหวหรือ?!”
ท่านอาจารย์ใหญ่เสียดายและเจ็บปวดใจในเวลาเดียวกันที่ต้องรินสุราให้หลิงเยว่ ดูสีสันนี้เถิดเขายังไม่เคยดื่มเลยด้วยซ้ำ แม้สุราชนิดนี้จะไม่มีประโยชน์กับผู้บำเพ็ญที่อยู่ในขอบเขตเช่นเขาแล้วก็ตาม แต่รสชาติของมันย่อมเลิศล้ำอย่างแน่นอน!
ทันทีที่รินสุราให้หลิงเยว่เสร็จ ก็มีชามมากมายโผล่มาตรงหน้าอย่างฉับพลัน มีแม้กระทั่งกะละมังด้วยซ้ำ! อาจารย์ใหญ่จ้องมองไปยังศิษย์ผู้นั้นซึ่งถือชามไม้ที่ใหญ่กว่าหัวของเขาหลายเท่า
เหตุใดเจ้าจึงไม่ถืออ่างน้ำมาเลยเล่า?
ศิษย์ผู้นั้นรู้สึกละอายใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาของอาจารย์ใหญ่ที่จ้องมองมา จึงรีบเปลี่ยนชามไม้ใบใหญ่นั้นเป็นชามเล็ก ๆ แทน
แม้ในมือของเหล่าศิษย์ล้วนถือชาม แต่สุดท้ายแล้วก็ได้ลิ้มลองสุราเพียงจิบเดียวเท่านั้น
ท่านอาจารย์ใหญ่เขย่าไหสุรา หากแต่แทบจะไม่มีเสียงของสุราเหลืออยู่แล้ว… น่าเสียดายนัก!
หลังจากดื่มสุราในจอกรวดเดียว บัดนี้หลิงเยว่รู้สึกราวกับมีไฟกำลังลุกโชนภายในร่าง จนนางอยากจะสิ้นสติไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่พลังปราณในสุรายังดื้อรั้นไม่ยอมให้นางทำตามต้องการ ในยามที่ร่างกายกำลังจะถูกเผาจนสุกกลับถูกความเย็นยะเยือกแทรกผ่านเข้ามาจนตัวสั่นระริก จากนั้นก็กลับมาร้อนระอุอีกครั้ง
นี่คือสิ่งใดกัน? สุราขอบเขตสร้างรากฐานช่างมีฤทธิ์แรงกล้ายิ่งนัก!
หลิงเยว่โอดครวญ
“อาจารย์หลิงขอรับ ท่าน… ใช้สมุนไพรใดหมักถึงได้ก่อเกิดเป็นสุรานี้หรือ? ข้าไม่อาจแยกแยะส่วนผสมได้เลย”
เซี่ยซิ่นรุ่ยผู้รู้สึกถึงฤทธิ์ของสุราที่แรงกล้าเช่นกัน เขาพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อให้ตนเองยังคงมีสติ แต่ศีรษะกลับมึนงงมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายก็จำใจนั่งขัดสมาธิบนพื้น แล้วค่อย ๆ รวบรวมปราณวิญญาณ แต่กลับพบว่าตนเองกำลังจะก้าวข้ามขอบเขตจินตานแล้ว!
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ที่คลุ้มคลั่งเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้สมหวังก็ย่อมมีผู้ที่ผิดหวัง อย่างเช่น หลิงเยว่ นางได้แต่เฝ้ามองลูกศิษย์ของนางพาเมฆสายฟ้าไปฝ่าทัณฑ์สวรรค์ที่ด้านนอกเมือง ส่วนที่เหลือต่างก็ได้รับสิ่งตอบแทน พวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่มีการบำเพ็ญที่ก้าวหน้ามากขึ้น
มีเพียงแต่นางเท่านั้นที่ดื่มสมุนไพรวิญญาณพิเศษไปแล้วราวกับโยนหินลงทะเล ไม่มีสัญญาณใดของการก้าวข้ามเลยแม้แต่น้อย แม้แต่พลังวิญญาณก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยด้วยซ้ำ!
“เจ้าได้ดื่มสุรามากที่สุดในเหล่าศิษย์ทั้งหมด กลับไม่มีปฏิกิริยาใดเลยหรือ?”
แม้แต่ท่านอาจารย์ใหญ่เองก็สังเกตเห็นความผิดปกติของหลิงเยว่ หลังจากคิดทบทวนแล้วถึงพบว่าผู้บำเพ็ญผู้บำเพ็ญเบญจธาตุนั้นก้าวข้ามขอบเขตได้ยากยิ่ง เมื่อการบำเพ็ญก้าวหน้า พลังวิญญาณที่ต้องการก็จะยิ่งมากขึ้นหลายสิบเท่า เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญแก่นปราณเดียว แก่นปราณคู่ หรือสามแก่นปราณ ดังนั้นหากนางต้องการจะก้าวข้ามจากขอบเขตสร้างรากฐานขั้นกลางไปสู่ขอบเขตจินตาน…
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก
ถือว่าไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แม้ว่าจะไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดได้ แต่พลังวิญญาณในร่างกายควรจะมีมากขึ้น
หลิงเยว่ก็รู้สึกผิดปกติเช่นเดียวกัน จากนั้นนางจึงนั่งสมาธิกับพื้น หมุนเวียนพลังวิญญาณเพื่อตรวจสอบร่างกาย ท้ายที่สุด… จึงพบว่าตัวการที่ฉกฉวยพลังวิญญาณของนางไปก็คือ
เจ้าราชาดอกไม้!
“เจ้าราชาดอกไม้ ตื่นเถิด!” หลิงเยว่เอื้อมมือแตะดอกไม้สีดำที่ห่อเป็นดอกตูม แต่มันกลับไม่มีทีท่าตอบสนองใดเลย
“เจ้าต้องการพลังวิญญาณหรือ?”
“เจ้ายังย่อยเถาวัลย์ปีศาจไม่หมดอีกหรือ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับตัวต้นเหตุแล้ว หลิงเยว่ไม่ได้โกรธเคือง แต่นางกลับมีความกังวลแทนเสียอย่างนั้น เหตุใดราชาดอกไม้เกล็ดหิมะจึงใช้เวลาหลอมรวมเถาวัลย์ปีศาจนานถึงเพียงนี้? หรือว่า… ในระหว่างการต่อสู้ทั้งสองฝ่าย ราชาดอกไม้เกล็ดหิมะอาจกลายเป็นผู้ที่ถูกกลืนกิน?
ถูกต้องแล้ว! แม้เถาวัลย์ปีศาจนั้นจะมีเพียงลมหายใจสุดท้าย แต่เดิมทีมันก็คือเถาวัลย์ปีศาจกึ่งเทพ ราชาดอกไม้เกล็ดหิมะจะสามารถกลืนกินมันได้อย่างไร?
ยิ่งคิดหลิงเยว่ก็ยิ่งเป็นกังวล นางจึงรีบส่งพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลเข้าไปในร่างของราชาดอกไม้ ในขณะที่พลังวิญญาณของนางใกล้จะหมดสิ้นลง นางก็ได้ยินเสียงอ่อนแอร้องขอความช่วยเหลือจากราชาดอกไม้
“ช่วยข้าด้วยเถิด…”
ถึงแม้จะเป็นเพียงสองคำแล้วเงียบหายไปในทันที แต่หลิงเยว่มั่นใจอยู่เต็มอกว่านั่นเป็นเสียงของเจ้าดอกไม้เกล็ดหิมะอย่างแน่นอน!
เสียงของเถาวัลย์ปีศาจนั้นไม่มีทางไพเราะเสนาะหูเช่นนี้!
“ระบบ เจ้าจงรีบออกมาขายของเถิด มีสิ่งใดที่สามารถช่วยให้ราชาดอกไม้เกล็ดหิมะหลอมรวมวิญญาณเถาวัลย์ได้บ้าง?”
[เจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าเจ้าต้องการช่วยราชาดอกไม้เกล็ดหิมะ ไม่ใช่ เถาวัลย์ปีศาจกึ่งเทพ]
“ข้ามั่นใจ!”
เมื่อนึกถึงพฤติกรรมอันแปรปรวนของเถาวัลย์ปีศาจ หลิงเยว่พลันเจ็บปวดไปทั้งร่าง นางจะช่วยมันได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้น ในยามคับขันเถาวัลย์ปีศาจนั้นยังหักหลังนางอีก!
ระบบเงียบหายไปนาน จนกระทั่งหลิงเยว่คิดว่ามันได้หายตัวไปแล้ว จนในที่สุดระบบก็เปล่งเสียงออกมา
[ราชาดอกไม้เกล็ดหิมะผู้เหี่ยวเฉา : สามารถช่วยให้ดอกเกล็ดหิมะเลื่อนขั้นและมีโอกาสได้มาซึ่งทักษะแห่งการกลืนกิน ราคา : ค่าพลังวิญญาณสามหมื่นล้าน ค่าอายุขัยห้าร้อยวัน]
ว่าอย่างไรนะ!?
เอาแค่ค่าพลังวิญญาณของนางก็พอไหว แล้วไยต้องเอาค่าอายุขัยของนางด้วยเล่า?
ระบบไม่ได้ปล่อยให้หลิงเยว่ครุ่นคิดนาน หลิงเยว่จึงรวบรวมเงินจากทั่วทุกสารทิศ รวมทั้งเงินที่เหลืออยู่ จนได้มาสามหมื่นล้านอย่างยากเย็น เดิมทีอายุขัยของนางเหลือเพียงสามหมื่นวันก็ลดลงเหลือสองหมื่นต้น ๆ แม้หัวใจของนางเจ็บปวดเพียงใดก็ยังกัดฟันซื้อ
ราชาดอกไม้เกล็ดหิมะที่เหี่ยวเฉาถูกหลิงเยว่วางลงตรงหน้า ดอกไม้สีดำ ที่กลีบดอกปิดสนิทอยู่นั้นก็ค่อย ๆ บานออก กลืนกินราชาดอกไม้เกล็ดหิมะเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็หุบลงดังเดิม
“เจ้าจงตั้งใจเถิดราชาดอกไม้เกล็ดหิมะ เพราะเจ้าข้าถึงต้องสิ้นเนื้อประดาตัวเช่นนี้”
หลิงเยว่ลูบกลีบดอกสีดำอย่างแผ่วเบา ราชาดอกไม้ดูจะยังมีสติอยู่บ้าง เพราะกลีบดอกของเขายังขยับเคลื่อนไหวอยู่
เดิมทีนางเกือบจะรวบรวมค่าพลังวิญญาณเพื่อซื้อหินหงส์ไฟได้แล้วด้วยซ้ำ! หลิงเยว่ได้แต่ถอนหายใจ ไยผู้ใดก็ล้วนแต่เป็นสัตว์อสูรที่กลืนกินหินวิญญาณกันหมดเล่า?
ถึงอย่างไร เมื่อหินวิญญาณหายไปก็สามารถหาได้ใหม่อยู่ดี สุราสร้างรากฐาน ที่นางเพิ่งคิดค้นขึ้นมาใหม่น่าจะช่วยให้นางได้รับหินวิญญาณมามากมาย ส่วนชาแปลงกายโฉมใหม่นั้นมีราคาแพงยิ่งกว่า แต่ไม่เหมาะที่จะนำออกไปประมูล นอกจากจะเปิดเผยตัวตนของตนเองแล้ว ยังทำให้หัวหน้าตะขาบมรกตตกอยู่ในอันตรายอีกด้วย รอให้คิดค้นชาแปลงกายสัตว์อสูรชนิดอื่น ๆ ออกมาได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ท่านอาจารย์ใหญ่ยื่นมือโบกไปมาตรงหน้าหลิงเยว่ แต่นางก็ยังไม่รู้สึกตัว ราวกับวิญญาณได้หลุดออกจากร่างไปเสียแล้ว
นี่นางเสียใจมากหรือ?
“เจ้าไม่ต้องเสียใจถึงเพียงนี้ก็ได้ การบำเพ็ญเบญจธาตุพร้อมกันนั้นยากลำบากจริง แต่ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในขอบเขตใด เจ้าก็สามารถเอาชนะผู้บำเพ็ญที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันได้อยู่แล้ว เมื่อถึงจินตานขั้นต้น เจ้ายังสามารถเอาชนะปฐมวิญญาณได้เช่นกัน!”
“แล้วข้าจะมีโอกาสชนะหรือไม่?” หลิงเยว่เอ่ยแผ่วเบา
“แน่นอน!” ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวอย่างมั่นใจ
หากมีอสูรรับใช้ที่แข็งแกร่งและศาสตราวุธคู่กายคอยช่วยเหลือแล้ว การสังหารผู้บำเพ็ญในขอบเขตปฐมวิญญาณย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง
พลังของผู้บำเพ็ญเบญจธาตุนั้นแข็งแกร่งมาก เพียงแต่ในขอบเขตสร้างรากฐานปราณนี้ยังดูไม่ออก แต่พอถึงระดับจินตาน…
อาจารย์ใหญ่ยิ่งคิดเลือดลมก็ยิ่งสูบฉีด อยากจะรีบไปซื้อโอสถเสริมแก่นปราณ แล้วลองลิ้มรสการบำเพ็ญเบญจธาตุด้วยตนเองดูเสียเลย!
น่าเสียดายที่แก่นปราณที่เกิดจากการกินโอสถนั้น ย่อมสู้แก่นปราณเบญจธาตุโดยกำเนิดของผู้บำเพ็ญไม่ได้ เมื่ออาจารย์ใหญ่คิดได้เช่นนั้นจึงตัดสินใจล้มเลิก
หลิงเยว่ฝืนกลืนขนมนั้นลงคอไปจนหมด
หลังจากนั้นนางจึงลุกขึ้นจากพื้น มองไปที่ร้านต้องคำสาปที่รกร้าง นอกจากนางแล้วในร้านยังมีเพียงหัวหน้าตะขาบมรกตและท่านอาจารย์ใหญ่ คนอื่น ๆ ล้วนวิ่งหนีไปหมดแล้ว
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าทุกคนไปดูการฝ่าทัณฑ์สวรรค์ครั้งใหญ่ที่นอกเมืองกันหมด หลิงเยว่ก็ไม่อยากพลาดงานสำคัญเช่นนี้ ทั้งยังสามารถแพร่ข่าวสุราสร้างรากฐานของตนไปในตัวได้อีกด้วย!
หลิงเยว่จึงอุ้มไหสุราสร้างรากฐานที่เต็มเปี่ยมออกมาอีกครั้ง ในไม่ช้า นางก็จะมีหินวิญญาณเพิ่มขึ้นแล้ว!
ท่านอาจารย์ใหญ่ เหลือบมองไปที่ไหสุราที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยในอ้อมแขนตน แล้วมองไปที่ไหสุราที่เต็มเปี่ยมในอ้อมแขนของหลิงเยว่
“นั่นมัน… สุราสร้างรากฐานอย่างนั้นหรือ?”
หลิงเยว่พยักหน้า โดยไม่รอช้านางก็ดึงตัวหัวหน้าตะขาบมรกตไปนอกเมืองด้วยกัน
บัดนี้เหลือเพียงท่านอาจารย์ใหญ่ที่ยืนงงอยู่กลางสายลม ทั้งที่เมื่อครู่ยังรู้สึกเจ็บปวดใจนึกเสียดายสุรา แต่บัดนี้เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว… ตนเองช่างโง่เขลาเสียจริง!