ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 215 แม้แต่ความฝันก็ยังไม่กล้าฝันเช่นนี้
บทที่ 215 แม้แต่ความฝันก็ยังไม่กล้าฝันเช่นนี้
“หากข้าไม่ใช่มนุษย์ เช่นนั้นข้าคือสิ่งใด?” คราวนี้หลิงเยว่ไม่ได้คิดว่าระบบพูดล้อเล่นอีกแล้ว นางจึงซักถามต่อ
[เจ้าจะพบร่างที่แท้จริงของตัวเจ้าได้ในเขตแดนปีศาจ]
เขตแดนปีศาจ? หรือว่านางก็เป็นจอมปีศาจตนหนึ่งเช่นกัน?
นางเป็นมนุษย์แดนมังกรผู้เติบโตภายใต้ธงชาติสีแดง นางจะเป็นจอมปีศาจได้อย่างไร? ช่างเป็นเรื่องตลกสิ้นดี!
เมื่อนึกถึงข้อมูลที่ระบบบอกไว้ก่อนหน้านี้ นางเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของเมล็ดพันธุ์เท่านั้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งได้ถูกผนึกอยู่ในเขตแดนปีศาจ
เป็นไปไม่ได้หรือว่า…
“หรือว่าข้าจะเป็นดอกไม้ปีศาจ?”
ระบบไม่ได้ตอบอะไร
หากสิ่งนี้คือเบ็ดที่ระบบหย่อนลงมา หลิงเยว่ยอมรับว่าระบบทำได้ดีนัก! ยั่วยวนความอยากรู้ของนางได้อยู่หมัดที่เดียว นางจะต้องไปเขตแดนปีศาจให้ได้!
เพียงแต่ทางเข้าเขตแดนปีศาจถูกปิดตายมานานกว่าพันปีแล้ว หากต้องการผ่านเข้าไปก็ต้องพึ่งพาฮวนฮวนที่เป็นดอกไม้โลหิตปีศาจ
เมื่อนึกถึงฮวนฮวน หลิงเยว่ก็ฉุดหัวหน้าตะขาบมรกตไปยังจวนตระกูลเซี่ยทันที
ครั้นนายท่านตระกูลเซี่ยพบหลิงเยว่ก็ไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจอะไร ก่อนจะกล่าวคำสัญญาว่า “ตระกูลเซี่ยจะส่งคนคุ้มกันเจ้าอย่างปลอดภัย”
“นอกเหนือจากสิ่งนี้แล้ว ข้าอยากจะถามว่า หากต้องการเข้าไปในเขตแดนปีศาจต้องอาศัยเพียงฮวนฮวนเท่านั้นหรือ?”
นายท่านตระกูลเซี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
“ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือ ให้ประตูมิติของเขตแดนปีศาจถูกทำลายจากด้านใน แต่เสียดายที่สงครามระหว่างเทพกับปีศาจเมื่อพันปีก่อนทำให้จอมปีศาจได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหลับใหลไปนาน และยังไม่ฟื้นในเร็ววันนี้เป็นแน่”
“เจ้าต้องการให้ฮวนฮวนแฝงตัวเข้าไปในเขตแดนปีศาจแล้วลอบโจมตีจอมปีศาจหรือ?”
หลิงเยว่ “…”
ความทะเยอทะยานของนางไม่ได้กว้างไกลปานนั้น
หลิงเยว่เงียบงัน หวังในใจให้เขาพูดอะไรต่ออีกสักเล็กน้อย
นางย่อมรู้จักประตูสวรรค์ เหล่าผู้บำเพ็ญที่บรรลุขอบเขตพ้นโลกีย์จะอาศัยบ่อน้ำแห่งนั้นเป็นประตูเดินทางมายังโลกและไปดินแดนเบื้องบนได้
แต่เพื่อไม่ให้ผู้แข็งแกร่งในโลกมนุษย์เพิ่มจำนวนมากขึ้น จอมปีศาจจึงลากร่างที่บาดเจ็บสาหัสแล้วใช้วิชาปีศาจทมิฬสิบสองปิดผนึกประตูสวรรค์ไว้
หากอยากทำลายวิชาปีศาจทมิฬสิบสอง ต้องอาศัยผู้บำเพ็ญขอบเขตพ้นโลกีย์ถึงยี่สิบสี่คน แต่ถ้าพวกเขายังทำไม่ได้ แล้วจะมีระดับการบำเพ็ญขอบเขตใดทำได้อีก?
“ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่ามันเป็นแค่ความเพ้อฝัน!” นายท่านตระกูลเซี่ยหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
หลิงเยว่และหัวหน้าตะขาบมรกตมองนายท่านตระกูลเซี่ยด้วยสายตาราวกับมองคนบ้า เขาไม่ลองสำรวจดูบ้างหรือว่าเวลานี้ตนเองกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ใด? ที่นี่คือโลกมนุษย์! เชื่อเถิด หากเพียงนางร้องตะโกนออกไปเพียงคำเดียวว่ามีเศษซากของเผ่าปีศาจอยู่ ณ ที่แห่งนี้ รับรองได้เลยว่าเขาจะต้องถูกสังหารอย่างแน่นอน!
เมื่อรู้ตัวว่าตนเองเสียมารยาท นายท่านตระกูลเซี่ยจึงเม้มปากแน่น แล้วกลับมาเป็นบุรุษที่สุขุมลุ่มลึกดังเดิม
“เจ้าถามหาเรื่องของเขตแดนปีศาจเพื่ออะไร?”
หลิงเยว่ไม่ตอบ แต่กลับเบี่ยงประเด็นว่า “ฮวนฮวนต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะเติบโตพอที่จะทำลายประตูมิติของเขตแดนปีศาจหรือ?”
“อย่างเร็วที่สุดก็สองร้อยปี หรืออย่างช้าก็เป็นพันปี”
นานเพียงนั้นเลยหรือ?
หากมีนางผู้เป็นเมล็ดพันธุ์ครึ่งซีกคอยช่วยเหลืออยู่ คงใช้เวลาไม่นานถึงพันปีอย่างนั้นหรอกกระมัง? สองร้อยปีน่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?
สองร้อยปีนางก็น่าจะเข้าถึงขอบเขตปฐมวิญญาณแล้ว หลิงเยว่ลูบคางครุ่นคิดในใจอย่างเงียบงัน
“ข้าจะไปหาฮวนฮวน”
“ไม่ได้! นางกำลังอยู่ในยามวิกฤต”
นายท่านตระกูลเซี่ยปฏิเสธอย่างไม่ไยดี และราวกับรู้ตัวว่าคำพูดของตนแข็งกร้าวเกินไปจึงผ่อนปรนลง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดเสนอราคาหนึ่งพันล้านหินวิญญาณเพื่อซื้อหัวเจ้า”
หลิงเยว่เหลือบมองปีศาจแห่งตระกูลเซี่ย นางไม่อาจล่วงรู้แน่ชัดว่าเป็นผู้ใด แต่จะมีผู้ใดที่จะจ่ายหินวิญญาณพันล้านได้ในคราเดียว นอกจากหอหอจี้ซื่อผู้มั่งคั่งที่สุดในโลกผู้บำเพ็ญเซียน
การกลั่นโอสถชำระมารสักเม็ดหนึ่งก็เหมือนเอาครึ่งชีวิตของนักกลั่นโอสถไปเสี่ยง แต่บัดนี้ สุราปราบมารของนางไม่เพียงแต่จะต้านมารผจญได้แล้ว ยังเพิ่มพูนการบำเพ็ญของนางได้อีกด้วย…
เมื่อครุ่นคิดได้เช่นนี้แล้ว หลิงเยว่จึงรู้สึกว่าตนเองขาดทุนย่อยยับ นางควรขายไหละพันล้านหินวิญญาณ เพราะแต่ละไหล้วนแลกมาด้วยชีวิตอันมีค่าของนางเอง!
โธ่… เหตุใดท่านอาจารย์ใหญ่ไม่เตือนนางสักนิด!
แน่นอนว่าท่านอาจารย์ใหญ่ไม่สามารถเตือนนางได้ เพราะสุราปราบมารที่ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เพียงพอแล้วที่จะให้ทั้งเมืองฝู่ซาง หรือแม้แต่ทั้งดินแดนตะวันออกรับรู้ถึงตัวตนของหลิงเยว่ ผู้เป็นนักกลั่นโอสถระดับพิเศษและนักปรุงอาหารวิญญาณพิเศษได้เป็นอย่างดี การค้าครั้งนี้ถือว่าไม่ขาดทุนแม้แต่น้อย
จงดูเถิด หอจี้ซื่อผู้ไม่เคยสนใจอาหารวิญญาณพิเศษมาก่อน บัดนี้ได้ออกค่าหัวของนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หึ! พวกเขาผูกขาดและควบคุมนักกลั่นโอสถมานานเกินไป ถึงคราวที่ต้องทำลายนั้นไปเสียที!
“ท่านอาจารย์ใหญ่ หลิงเยว่เข้าไปในจวนตระกูลเซี่ยพักใหญ่แล้ว ท่านว่านางจะประสบเหตุร้ายใดหรือไม่?” เถาวั่งรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก
“ตระกูลเซี่ยคงไม่ลอบสังหารอาจารย์ของบุตรหลานตนเองเพื่อแลกกับพันล้านหินวิญญาณกระมัง?”
ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าววิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผล เมื่อเขาพูดจบ หลิงเยว่และหัวหน้าตะขาบมรกตใหญ่ก็เดินออกมาจากจวนตระกูลเซี่ยแล้ว ด้านหลังของนางยังมีนายท่านตระกูลเซี่ยและเหล่าผู้บำเพ็ญขั้นสูงของตระกูลตามมาด้วย ถือเป็นการปรากฏตัวที่ไม่ธรรมดาเลย
เมื่อได้รับใบประกาศรางวัลค่าหัวแล้ว เหล่าฆาตกรที่สอดแนมอยู่ในเงามืด “…”
ไม่แปลกใจเลยที่ค่าหัวของหลิงเยว่จะมีค่ามากขนาดนี้ ไม่เพียงแค่เหล่าอาจารย์และผู้อาวุโสของสำนักจะออกมารวมตัวกันต่อสู้ แม้แต่ตระกูลเซี่ยก็ยังเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย แต่ยังไม่นับว่าจบสิ้นเพียงเท่านี้ เพราะท่านชายแห่งตระกูลซีก็กำลังเดินทอดน่องไปยังถนนชิงเฟิงพร้อมกับซีหลินผู้เป็นหลานชายของตนเองอย่างไม่เกรงกลัว
ยอดฝีมือ +1
เหล่ายอดฝีมือมากมายล้วนหลบซ่อนตัวอยู่ในถนนชิงเฟิง หากต้องการตัดหัวหลิงเยว่บนถนนสายนี้คงยากยิ่งกว่าการขึ้นสวรรค์เสียอีก ทางที่ดีคือล่อลวงให้นางออกไปนอกเมือง!
ว่าแต่ควรใช้หนทางใดเล่า?
หลังจากที่ได้รับการคุ้มครองจากเหล่าผู้พิทักษ์จำนวนมากแล้ว หัวใจของหลิงเยว่พลันเบิกบาน ท่าทางการเดินของนางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าเด็กน้อยนี่ช่างไม่ซื่อตรงเสียเลย นางยังปิดบังของดีไว้อีกหรือ?” ชายชราแห่งตระกูลซีแสดงสีหน้าไม่พอใจ
หลิงเยว่รู้สึกสับสนเล็กน้อย ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงสุราสมุนไพรวิญญาณสองพันกว่าไหที่ขายให้กับชายชรา นางจึงพูดว่า “สุราปราบมาร เป็นสุราที่ข้าเพิ่งค้นพบหลังจากที่ท่านกลับไปแล้ว”
“มันยังมีอีกหรือไม่?” ดวงตาของท่านชายตระกูลซีเป็นประกายวาววับ สุรานั้นมีรสชาติที่วิเศษยิ่งกว่าเหล้าใด ๆ ที่เขาเคยดื่มมา
“ท่านปู่ ท่านยังคิดที่จะนำสุราปราบมารมาดื่มเหมือนสุราธรรมดาอยู่อีกหรือ?”
แม้ว่าซีหลินจะดูโง่เขลาไปบ้าง แต่เขาก็รู้ดีว่าสุราชนิดนั้นมีค่ามากเพียงใด หากท่านปู่คิดจะทำให้เสียเปล่า ผู้บำเพ็ญที่คอยจับจ้องอยู่บนถนนชิงเฟิงจะยอมหรือ!?
ปรากฏว่าเหล่าผู้บำเพ็ญที่ได้รับถุงหินวิญญาณแล้วก็ไม่ได้จากไปไหน แต่กลับมาพักอาศัยอยู่บนถนนชิงเฟิงเสียด้วยซ้ำ บรรดาเพื่อนบ้านต่างได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งการเฝ้าดูร้านต้องคำสาปแห่งนี้ก็ไม่ถือเป็นเรื่องน่ารำคาญเสียแล้ว
ร้านต้องคำสาปที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่นกลายเป็นร้านยอดนิยมในชั่วพริบตา พวกเขายังสามารถหารายได้ก้อนโตจากร้านแห่งนี้ได้อีกด้วย ถือเป็นสิ่งที่เพื่อนบ้านไม่คิดฝันเช่นนี้มาก่อน
หลิงเยว่พูดจาบ่ายเบี่ยงชายชราอยู่นานกว่าจะหลุดพ้นออกมาได้ หลังจากนั้น นางจึงคว้าตัวหัวหน้าตะขาบมรกตเข้าไปในห้องพักส่วนตัวทันที
“รีบพาข้าเข้าไปในมิติของเจ้าเดี๋ยวนี้!”
หัวหน้าตะขาบมรกตลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มันจะลองกลืนมนุษย์เข้าไปในมิติของมัน
“เจ้าเป็นคนพูดเองนะว่าจะเข้าไปข้างใน หากเกิดอะไรขึ้นก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน”
“หากข้าเป็นอะไรไปจริง ๆ ข้าอาจจะไม่โทษเจ้า แต่ผู้บำเพ็ญข้างนอกคงไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
หัวหน้าตะขาบมรกตและเหล่าบริวารที่อาศัยอยู่ในมิติก็มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย เหตุใดเมื่อนางเข้าไปถึงจะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นด้วยเล่า?
หัวหน้าตะขาบมรกตคงคิดจะกลับคำเสียแล้วกระมัง?
แต่เมื่อถูกข่มขู่เช่นนั้น หัวหน้าตะขาบมรกตก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า อ้าปากกว้างก่อนจะกลืนหลิงเยว่เข้าไปโดยไม่ลังเล
ท่านอาจารย์ใหญ่ที่แอบมองอยู่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจจนรีบพังประตูเข้ามา แต่สายเกินไปเสียแล้ว
หัวหน้าตะขาบมรกตเผชิญหน้ากับอาจารย์ใหญ่ที่ยังคงตกใจ มันก็ยิ้มเยาะ ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ พร้อมกับลูบท้องตัวเองไปด้วย
ท่านอาจารย์ใหญ่จ้องเขม็งไปที่ท้องของหัวหน้าตะขาบมรกต ด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะเอ่ยออกมาทีละคำอย่างเชื่องช้า “เจ้าไม่ได้บอกนางใช่หรือไม่? ว่ามิติในร่างกายของเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกหากการสืบทอดยังไม่สมบูรณ์และไม่ได้ผ่านการกลั่นมาอย่างดี มนุษย์ที่เข้าไปจะถูกกัดกร่อนจนละลายกลายเป็นของเหลวเพื่อบำรุงร่างกายในทันที!”
หัวหน้าตะขาบมรกต “!!!”
ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?
อย่างนี้ก็แปลว่าการสืบทอดของมันไม่สมบูรณ์อย่างนั้นหรือ?
หัวหน้าตะขาบมรกตคิดไปถึงหลิงเยว่ที่ถูกกินเข้าไป นางคงจะแย่แล้ว!
“อ้วก…”
หัวหน้าตะขาบมรกตอ้าปากสำรอกหลิงเยว่ออกมา ทว่าผู้ที่ถูกสำรอกกลับกลายเป็นฝูงตะขาบมรกตที่สับสนอลหม่าน