ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 22 เจ้าควรพยายามสู้ก่อน
บทที่ 22 เจ้าควรพยายามสู้ก่อน
บทที่ 22 เจ้าควรพยายามสู้ก่อน
อาหารมื้อดึกนี้ทุกคนกินกันจนจันทร์ลับฟ้าทิวาเริ่มต้น
แสงสีทองอบอุ่นอาบคลุมผู้คนที่ลูบท้องด้วยความอิ่ม
อาหารช่วยบรรเทาความกังวลของหลิงเยว่ได้
เดือนนี้นางไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ รู้สึกเหมือนตนกำลังพยายามอย่างหนักเสียยิ่งกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อชีวิตที่แล้วอีก ซึ่งก็แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่ต้องทำในงานประลองชี้ชะตาคือทุ่มเทอย่างเต็มที่!
“ศิษย์น้องห้า เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าจะมาเรียกเจ้าเมื่อถึงเวลา”
ดวงตาที่เย็นชาของหลงหว่านโหรวอ่อนลง
“เจ้าค่ะ”
หลิงเยว่ไม่ปฏิเสธและกลับไปที่หอกลั่นโอสถเพื่อนอนพักผ่อน
คนที่เหลืออีกห้าคนกำลังนั่งอยู่ข้างนอก และบรรยากาศก็มืดมนอีกครา
ด้วยหากไม่มีหลิงเยว่พวกเขาทั้งห้าคงไม่สามารถนั่งกินอย่างมีความสุขตลอดทั้งคืนได้เช่นนี้
“ในการประลอง เจ้าสำนักไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้จริงหรือ?”
น้ำเสียงของอวี้เจินเศร้าโศก
แน่นอนว่าเล่อเหอทำได้ แต่ราคาที่เขาต้องจ่ายนั้นมหาศาล
โม่จวินเจ๋อไม่ตอบ
“ผาวฮุยออกจากการปิดด่านแล้วใช่หรือไม่ เราไปจับไอ้เจ้านั่นมาขังได้หรือเปล่า?”
ทันทีที่ลู่เป่ยเหยียนพูดประโยคนี้ อวี้เจินก็มองเขาทันทีและแม้แต่หลงหว่านโหรวก็รู้สึกลังเลนึกอยากจะทำเช่นเดียวกัน
ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงเวลา ดังนั้นจึงมีเวลาเพียงพอแน่นอน!
“ข้าเชื่อในตัวศิษย์น้องห้า”
ว่านอวี้เฟิงเคยมีความคิดจะไปจับกุมตัวผาวฮุยมาก่อน เขาวางแผนไว้แล้วด้วยซ้ำแต่ผาวฮุยไม่โผล่หัวออกมาเลย
เมื่อพิจารณาถึงความพยายามของศิษย์น้องห้าที่ทุ่มเทในเดือนนี้แล้ว มันไม่มีเหตุผลใดที่นางจะไม่สามารถเอาชนะศิษย์สายนอกสักคนได้เลย
ดูเหมือนพวกเขาจะคิดกังวลมากเกินไปเอง
“พวกเจ้าแค่กลัวว่าจะไม่สามารถกินอาหารวิญญาณที่ศิษย์น้องห้าทำในอนาคตอีกต่างหาก!”
ว่านอวี้เฟิงรู้สึกว่าเขาได้ค้นพบความจริงแล้ว!
นี่คือหนึ่งในเหตุผล แต่หลังจากได้รู้จักกันในช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกเขาไม่เพียงแต่ถือว่าหลิงเยว่เป็นศิษย์น้องเท่านั้น แต่ยังเป็นสหายด้วย!
ไม่อย่างนั้นทำไมทุกคนถึงมาที่นี่ทุกวันเพื่อช่วยฝึกหรือสั่งให้ศิษย์น้องของตัวเองมาเป็นคู่ฝึกของหลิงเยว่อยู่ตลอดเวลาเล่า?
พวกเขาทุกคนหวังให้นางรอดชีวิต ได้เข้าร่วมในการแข่งขันประจำสำนักกับพวกเขา ได้แข็งแกร่งขึ้นด้วยกัน และได้บรรลุไปสู่ความเป็นอมตะไปด้วยกัน!
“เราไม่ได้คิดตื้นเขินเช่นนั้นสักหน่อย” อวี้เจินกลอกตาไปที่ว่านอวี้เฟิง
โม่จวินเจ๋อมองดูดวงอาทิตย์ เขาเชื่อในตัวหลิงเยว่เช่นกัน
ในเวลาเดียวกันนั้น ผาวฮุยซึ่งปิดด่านฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งเดือนก็ออกมาแล้ว
“ท่านพ่อ ข้าได้บรรลุขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ดแล้ว!”
ผาวฮุยวิ่งไปหาผาวซ่านอย่างตื่นเต้น พร้อมความมั่นใจบนใบหน้าพร่างพราว
“ดี!”
ผาวซ่านตบไหล่ลูกชายด้วยความโล่งใจ ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ดกับขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสี่ หลิงเยว่ผู้นั้นย่อมไม่มีแม้แต่โอกาส!
ลูกชายของข้าจะต้องชนะอย่างแน่นอน!
ลานประลองของสำนักหลานเทียนคึกคักไปด้วยผู้คนทุกวันอยู่แล้ว ทว่าวันนี้มันกลับคึกคักยิ่งกว่าเดิมมาก
ผู้บำเพ็ญหลายคนเดินรวมกลุ่มกันไปที่ลานประลองหมายเลขเก้าสิบเจ็ด
งานประลองชี้ชะตานี้ได้แพร่กระจายไปทั่วสำนัก มันยากที่จะมีคนที่ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
“เอ๊ะ! ตัวเอกของวันนี้ยังมาไม่ถึงหรือ?”
“ทำไมเจ้าถึงกังวลเช่นนี้ เรามีเวลาอีกตั้งหนึ่งก้านธูป*[1] ทำไม เจ้าจะรีบกลับไปฝึกฝนให้มากขึ้นหรือ?”
ประโยคนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญหัวเราะกันใหญ่
แม้ว่างานประลองชี้ชะตาระหว่างศิษย์สองคนที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณของสำนักสายนอกนั้น คงไม่รุนแรงน่าตื่นตามากนัก แต่หลายคนก็ชื่นชมในความกล้าหาญของคู่ประลองทั้งสอง ดังนั้นพวกเขาจึงอยากมาเพื่อรับชมความสนุก
หนึ่งในตัวละครเอกของวันนี้ผาวฮุยมาที่ลานประลองหมายเลขเก้าสิบเจ็ดเป็นคนแรก ทันทีที่เขาเข้ามาใกล้ แสงสีแดงจาง ๆ ก็เปล่งออกมาจากตัว และแสงสีแดงก็ดึงเขาเข้าสู่ลานประลอง
“ผาวฮุยศิษย์สายนอกของยอดเขาจุตรเทพมาถึงแล้ว!!”
เสียงอันน่าเกรงขามของศิลาชี้ชะตาดังก้องไปทั่วบริเวณ
ผาวฮุยยืนอยู่บนลานมองดูผู้ชม รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังก้มมองดูโลก
งานประลองชี้ชะตานี้ไม่เพียงแต่ดึงดูดเหล่าศิษย์ในสำนักเท่านั้น แต่ยังมีผู้อาวุโสในสำนักหลายคนปรากฏตัวขึ้นด้วย
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีบุคคลสำคัญของสำนักสามคนนั่งอยู่บนก้อนเมฆ
ทว่าหลิงเยว่รู้จักพวกเขาทั้งสามคน
“หลิงเยว่กำลังตกอยู่ในอันตราย ไอ้เจ้าศิษย์สายนอกแซ่ผาวคนนั้นบรรลุถึงขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ดแล้ว”
เล่อเหอมองดูชิงยวนที่สงบด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ก็แค่สำเร็จด้วยการกินโอสถกลั่นลมปราณ ท่านเจ้าสำนักไม่เชื่อในตัวหลิงเยว่หรอกหรือ?” ชิงยวนยิ้มเบา ๆ
สยงฉีเลวี่ยซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ คิดถึงเหล่าศิษย์ที่ถูกอวี้เจินลากไปเป็นคู่ซ้อมให้หลิงเยว่ ในหมู่ศิษย์เหล่านั้นมีบางคนที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ดด้วย เขาได้ยินมาว่าหลิงเยว่สามารถปั่นหัวศิษย์ผู้นั้นได้อย่างไม่ยากเย็นอยู่พักใหญ่ ๆ ในช่วงเริ่มฝึกซ้อมกัน
ผ่านก้อนเมฆ เล่อเหอเห็นศิษย์โง่ของเขาจากระยะไกล และผู้ที่เดินข้างศิษย์โง่ของเขาคือตัวละครเอกคนที่สองของวันนี้
ทันทีที่หลิงเยว่และคนอื่น ๆ มาถึงใกล้ลานประลอง พวกเขาก็ตกใจกับฝูงชนจำนวนมากที่รอชมการประลองอยู่
ไม่สิ เป็นหลิงเยว่คนเดียวที่ตกใจ
ยังมีเวลาอีกราวหนึ่งถ้วยชา*[2] ก่อนถึงเส้นตายเวลาประลอง
ผู้ชมที่รอให้หลิงเยว่ปรากฏตัวเริ่มคาดเดา
“ทำไมอีกคนยังไม่มาล่ะ หรือว่าคงจะกลัวใช่หรือไม่?”
“อาจไม่ใช่เพราะว่านางขี้ขลาด แต่บางทีนางอาจโดนผู้ดูแลสำนักสายนอกลักพาตัวไปหรือเปล่า?”
“เฮ้อ… เป็นไปได้ ท้ายที่สุดแล้วศิษย์สายนอกคนนั้นก็มีพ่อที่ดีเสียจริง”
ผาวซ่านที่นั่งอยู่ในที่นั่งผู้ชมมีสีหน้าดูน่ากลัว เขาอยากจะจับเด็กสาวนั่นมาจริง ๆ ทว่านางนั้นซ่อนตัวเก่งอย่างเหลือเชื่อ ถึงขนาดส่งคนของตัวเองไปตามหาตั้งมากมายก็ยังหาตัวไม่พบ
ท่ามกลางการสนทนาของทุกคน หลิงเยว่ก็เหมือนกับผาวฮุย นางถูกส่งขึ้นไปบนลานประลองหมายเลขเก้าสิบเจ็ดในชั่วพริบตา
วันนี้หลิงเยว่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าของศิษย์สายในของยอดเขาโอสถ แต่เป็นชุดคลุมสีพื้นหยาบของศิษย์สายนอก
“ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้างั้นหรือ?”
ผาวฮุยมองเห็นระดับการฝึกตนของหลิงเยว่ได้อย่างง่ายดาย ดวงตาพลันแสดงความดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบัง
“เจ้าคนยากจน ทำไมเจ้าไม่ฆ่าตัวตายให้จบ ๆ ไปเสีย จะได้ไม่ต้องทรมานก่อนตาย”
“เจ้าอยู่ในระดับไหนล่ะ?”
หลิงเยว่ถามอย่างสงสัย นางไม่สามารถมองเห็นระดับการฝึกตนของผาวฮุยได้
“ขั้นเจ็ด!” ผาวฮุยเชิดหน้าขึ้น
“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวข้าจะฆ่าตัวตายตอนนี้เลย” สิ่งที่หลิงเยว่พูดนั้นดูจริงจังมากและพวกผู้ชมก็เชื่อเช่นนั้น
“ไม่เอาสิ! เจ้าควรพยายามสู้ก่อน บางทีอาจมีโอกาสก็ได้!”
“เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูเจ้าฆ่าตัวตายนะ จงแสดงความกล้าหาญของเจ้าแล้วสู้กับศัตรูอย่างเต็มความสามารถเสีย!”
“ขั้นห้ากับขั้นเจ็ด เว้นแต่จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ความเป็นไปได้ในการเอาชนะข้ามขั้นนั้นต่ำเกินไป”
ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีกับหลิงเยว่นัก โดยเฉพาะผู้ที่รู้ข้อมูลพื้นฐานของฝ่ายหญิงแล้ว นางไม่มีอาจารย์ ไม่มีพ่อที่ดี และไม่มีทรัพยากรอะไรเลย เห็นได้ชัดว่านางต้องทนทุกข์ทรมานมากมายในการฝ่าฟันจากขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสามมาจนถึงขั้นห้าในหนึ่งเดือน ทว่าเพียงเท่านี้มันยังไม่พอ
การประลองยังไม่เริ่ม แต่มีผู้บำเพ็ญจำนวนมากหันหลังเดินจากไปแล้ว
พวกเขาทนไม่ได้ที่จะเห็นหลิงเยว่ผู้อ่อนแอถูกผาวฮุยทรมานจนตาย
โดยเฉพาะศิษย์จากยอดเขาฝึกตนที่รู้ว่าผาวฮุยเป็นเช่นไร พวกเขามองหลิงเยว่ด้วยสายตาเวทนา
บางทีการฆ่าตัวตายอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เหลือเวลาเพียงสองเฟินก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น
คงเป็นการโกหกที่จะบอกว่านางไม่ประหม่า ความสงบภายนอกของหลิงเยว่ล้วนเป็นการเสแสร้งทั้งสิ้น นางไม่รู้ว่ามันเป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของร่างเดิมหรือไม่ เมื่อตนเห็นผาวฮุยก็พลันรู้สึกหวาดกลัวจริง ๆ และถึงกับอยากจะหันหลังวิ่งหนีทันที
โชคดีที่นางรั้งตัวเองไว้
ได้แต่พยายามปลอบใจตัวเอง และอารมณ์ด้านลบเหล่านั้นก็ค่อย ๆ หายไป
มีเพียงการกำจัดผาวฮุยเท่านั้น ร่างเดิมจึงจะได้จากไปอย่างสงบสุขใช่หรือไม่?
ดวงตาของหลิงเยว่ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น
“หลิงเยว่ศิษย์สายนอกแห่งยอดเขาโอสถ และผาวฮุยศิษย์สายนอกแห่งยอดเขาจุตรเทพ เริ่มต้นสู้ได้!”
ก่อนที่เสียงประกาศของศิลาชี้ชะตาจะจางหายไป ลูกไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้าใส่หัวของหลิงเยว่แล้ว!
ลูกไฟนั้นร้อนแรงมากจนทำให้อากาศที่มันพุ่งผ่านคล้ายกับบิดเบี้ยว!
[1] ก้านธูป คือ หน่วยนับเวลา เทียบเท่าประมาณ 20-30 นาที
[2] ถ้วยชา ในที่นี้คือ หน่วยนับเวลา เทียบเท่าประมาณ 15 นาที