ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 226 บุญคุณที่ช่วยชีวิตครั้งนี้ ข้าจะตอบแทนท่านในวันหน้าแน่นอน!
- Home
- ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน
- บทที่ 226 บุญคุณที่ช่วยชีวิตครั้งนี้ ข้าจะตอบแทนท่านในวันหน้าแน่นอน!
บทที่ 226 บุญคุณที่ช่วยชีวิตครั้งนี้ ข้าจะตอบแทนท่านในวันหน้าแน่นอน!
เมื่อม่านป้องกันพังทลายลง เหล่าผู้บำเพ็ญจึงไหลทะลักเข้ามามากกว่าเดิม
ท่านอาจารย์ใหญ่เห็นดังนั้นพลันเกิดโทสะ “พวกตาเฒ่าไม่เจียมตัว กล้าดียิ่งนักที่มาทำให้ข้าโกรธ!”
นักกลั่นโอสถอาวุโสเหลือบตามองอย่างเหยียดหยาม พวกเขาไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของท่านอาจารย์ใหญ่เลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเดินมาตรงหน้าเถาวั่งอย่างไม่รีบร้อนพร้อมโยนถุงหินวิญญาณลงกับพื้น
ท่าทางการแทรกแถวของท่านช่างดูเชี่ยวชาญเหลือเกิน แม้ผู้บำเพ็ญที่ถูกแซงหน้าอยากด่าทอออกไป แต่เมื่อเห็นใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นก็รีบเม้มปากเงียบสนิท แล้วหลีกทางให้อย่างว่าง่าย
“เอาสิบไห เจ้าจดไว้ด้วย”
เถาวั่งอึกอักลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายต้องยอมจำนนต่อแววตาข่มขู่ของท่านอาจารย์ใหญ่คนเก่า พลางเขียนตัวเลขลงไปด้วยมือที่สั่นเทาและเปียกชุ่ม
“พอหมักสุราปราบมารชุดต่อไปเสร็จแล้ว อย่าลืมแจ้งข้าด้วย”
ไม่เพียงแค่แทรกแถวเท่านั้น เขายังทำลายกฎที่จำกัดคนละหนึ่งไห และยังต้องการเป็นคนแรกที่จะได้สุราปราบมารอีกต่างหาก!
ช่างไม่มีความยุติธรรมเอาเสียเลย!
ภายในใจของเถาวั่งยังคงบ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ แต่ภายนอกเขายังคงยิ้มและพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ผู้ใดจะไปทำอะไรได้ ในเมื่อเขาเป็นถึงอดีตอาจารย์ใหญ่ของสำนัก และเป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองฝู่ซางที่การบำเพ็ญอยู่ในขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ ในเมื่อเขา…
เพียงแค่แทรกคำสั่งซื้อให้เขาเพียงเล็กน้อย เชื่อว่าผู้บำเพ็ญที่ถูกแซงหน้าเหล่านั้นคงไม่ว่าอะไรอย่างแน่นอน
อดีตอาจารย์ใหญ่ของสำนักกลั่นโอสถไม่ได้จากไปในทันที แต่กลับเดินตรงเข้าไปในสำนักโดยกระจายพลังวิญญาณตรวจหาเป้าหมายของตนเอง
ท่านอาจารย์ใหญ่คนปัจจุบันอย่างจานโจว มองตามหลังที่หายลับไปด้วยความเคียดแค้น แต่เพราะสู้ไม่ได้ จึงทำได้เพียงอัดอั้นตันใจแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมสร้างม่านป้องกันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
คราวนี้ท่านอาจารย์ใหญ่ตั้งม่านป้องกันไว้แน่นหนากว่าเดิม ผู้บำเพ็ญที่ตามมาทีหลังพยายามฝ่ากันเข้ามาอย่างหนักหน่วง แต่ก็ต้องกระเด็นจนร่างกระเด็นข้ามศีรษะผู้คนแล้วหายลับกลายเป็นแสงพุ่งไปยังขอบฟ้า
ภาพนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญที่กำลังคิดจะฝ่าเข้าไปต้องละทิ้งความตั้งใจ พลันรู้สึกเจ็บปวดอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจับใจ
“ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะได้สั่งอีกเมื่อใด?”
“อีกหลายร้อยปีกระมัง”
“ถ้าไม่ใช่ว่าต้องรวบรวมหินวิญญาณหนึ่งพันล้านระดับกลาง ข้าคงไม่มาช้าเช่นนี้!”
“ท่านอาจารย์ใหญ่ช่วยเมตตาข้าด้วยเถิด!”
…
ท่านอาจารย์ใหญ่อารมณ์ไม่ดีนัก จึงไม่ได้เมตตาแต่อย่างใด เขาหันกลับไปมองอย่างเย็นชา แล้วตามไปดูว่าตาเฒ่านั่นคิดจะกระทำสิ่งใด!
ถนนในสำนักเต็มไปด้วยฝูงชน ม่านป้องกันขวางกั้นผู้คนออกไปได้อีกมาก
เซี่ยซิ่นรุ่ยรู้ว่าเมืองฝู่ซางมีผู้คนมากมาย ผู้ที่มั่งคั่งก็มีอยู่ไม่น้อย แต่เขาไม่คาดคิดว่าผู้คนในเมืองส่วนใหญ่จะมีหินวิญญาณพันล้านระดับกลางกันแทบทุกคน
หลังจากคำนวณทรัพย์สินของตัวเองคร่าว ๆ แล้ว ดูเหมือนเขาจะดึงค่าเฉลี่ยของคนทั้งเมืองให้ต่ำลงเป็นแน่
“ข้า… ข้าไม่มีหินวิญญาณหนึ่งพันล้านระดับกลาง จะใช้สิ่งอื่นทดแทนได้หรือไม่?”
น้ำเสียงของผู้พูดสั่นเครือ ทำให้เซี่ยซิ่นรุ่ยซึ่งยังจมอยู่กับความเศร้าเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว แล้วพบว่านางกำลังจ้องมองเขาด้วยความร้อนรนและมีความปรารถนาอันแรงกล้า เขาจึงปฏิเสธนางไม่ลง
“เจ้าจะใช้สิ่งใดทดแทนหรือ?”
หินวิญญาณระดับกลางหนึ่งพันล้านไม่ใช่ของธรรมดาที่จะใช้ทดแทนได้โดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้นท่านอาจารย์หลิงยังสนใจเพียงหินวิญญาณเท่านั้น
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนำกล่องหยกขนาดเล็กซึ่งแผ่ความเย็นออกมาอย่างระมัดระวัง กล่องหยกลักษณะนี้มักใช้บรรจุสมุนไพรวิญญาณ
“ดอกบัวเพลิงเก้ากลีบ…”
ท่านอาจารย์ใหญ่ซึ่งเดินผ่านมาเผลอได้ยินเข้า รีบรุดกายเข้ามาคว้าเอากล่องหยกนั้นไปทันที พร้อมกับพาตัวนางผู้นั้นไปด้วย
เซี่ยซิ่นรุ่ย “…”
ไม่น่าเป็นไปได้ ผู้บำเพ็ญที่เข้าไปในเขตแดนลับสมุนไพรวิญญาณยังไม่มีผู้ใดออกมาเลย แล้วหญิงสาวผู้นี้จะมีดอกบัวเพลิงเก้ากลีบได้อย่างไร?
ทว่าความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเซี่ยซิ่นรุ่ยนั้นคิดผิด
สิ่งที่หญิงสาวผู้นั้นนำมาเป็นดอกบัวเพลิงเก้ากลีบจริง แต่น่าเสียดาย… เพราะมันเป็นเพียงแค่เมล็ดบัวเท่านั้น หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าเมล็ดพันธุ์
สีหน้าเคร่งขรึมของท่านอาจารย์ใหญ่แทบจะกลั้นไม่อยู่ หญิงสาวผู้นี้รู้หรือไม่ว่าการที่จะบ่มเพาะดอกบัวขั้นสูงนี้ให้เติบโตจะต้องใช้เวลานานนับพันปีเลยทีเดียว
ตัวเขาเองก็ไม่อาจจะอยู่ไปจนถึงอีกพันปีได้อย่างแน่นอน
“นี่มันคือ… เมล็ดบัวหรือ?”
หลิงเยว่ไม่เคยเห็นเมล็ดบัวสีทองปนแดงเช่นนี้มาก่อน ยามที่นางหยิบมันขึ้นมาพิจารณาดูอย่างละเอียด ยิ่งมองยิ่งรู้สึกผูกพันกับมันอย่างน่าประหลาด
“ต้องใช้หินวิญญาณเท่าใด? ข้าจะขอซื้อ”
หญิงสาวผู้นั้นจำหลิงเยว่ได้ จึงรีบกล่าวด้วยความยินดี “สุราปราบมารหนึ่งไห ข้าขอตอนนี้เลย… ได้หรือไม่?”
“ย่อมได้”
บังเอิญยิ่งนักที่หลิงเยว่มีสุราปราบมารเหลืออยู่ไม่กี่ไห นางช่างมีวิสัยทัศน์ยิ่งนักที่ได้เก็บรักษาไว้เผื่อใช้ในยามนี้ แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้!
หญิงสาวคนนั้นไม่ได้คาดคิดว่าทุกอย่างจะราบรื่น ตอนที่นางรับไหสุราปราบมาร มือของนางสั่นเทา แต่ยังสามารถรักษาไม่ให้สุราหกออกมาได้
“บุญคุณที่ช่วยชีวิตครั้งนี้ ข้าจะตอบแทนท่านในวันหน้าแน่นอน!” หญิงสาวคำนับหลิงเยว่ด้วยความเคารพ เช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความซาบซึ้ง แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หลิงเยว่รู้สึกงุนงงเล็กน้อย เพียงแค่สุราสร้างรากฐานไหเดียว เหตุใดจึงกลายเป็นบุญคุณช่วยชีวิตไปได้?
ท่านอาจารย์ใหญ่และนักกลั่นโอสถอาวุโสมองหลิงเยว่ราวกับมองคนโง่เขลา
“ข้าขาดทุนหรือ?”
ท่านอาจารย์ใหญ่ส่ายศีรษะพร้อมกับรอยยิ้ม “ไม่ขาดทุน อีกพันปีข้างหน้า เจ้ายังสามารถใช้มันแลกหินวิญญาณได้ไม่น้อย”
หลิงเยว่ “…”
อายุขัยที่นางมีอยู่ตอนนี้ยังไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ!
“ท่านเพิ่งจะบอกไปไม่ใช่หรือว่าสุราปราบมารนั้นหมดแล้ว เหตุใดจึงมีเหลืออีกเล่า?”
นักกลั่นโอสถอาวุโสยิ้มอย่างใจดี แต่กลับทำให้หลิงเยว่รู้สึกขนลุกขนพอง นางหยิบสุราปราบมารออกมาอีกหนึ่งไหก่อนจะยื่นให้นักกลั่นโอสถอาวุโสท่านั้นอย่างหวาดกลัว
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขากว้างขึ้น ทว่าเขากลับไม่ยอมรับ
ยังน้อยไปอีกอย่างนั้นหรือ?
หลิงเยว่จำใจควักออกมาอีกไห “หมดแล้วจริง ๆ นี่เป็นสองไหสุดท้ายแล้ว!”
นักกลั่นโอสถอาวุโสพึงพอใจ แล้วเก็บสุราปราบมารไปทันที จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองไปยังสมุนไพรวิญญาณที่วางอยู่บนโต๊ะด้านหลังของหลิงเยว่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “สมุนไพรจูมั่วที่เจ้าปลูกนั้น ช่างมีชีวิตชีวายิ่งนัก”
หลิงเยว่ “!!!”
เขามองออกได้อย่างไรกัน!
ครั้นคนอื่นออกไปหมดแล้ว หลิงเยว่จึงถามท่านอาจารย์ใหญ่ “นักกลั่นโอสถอาวุโสมีระดับการบำเพ็ญอยู่ขอบเขตใดหรือ?”
“ฝ่าทัณฑ์สวรรค์” อาจารย์ใหญ่ตอบกลับอย่างหมั่นไส้ เหล่าปีศาจผู้ชั่วช้าพวกนั้น เหตุใดจึงต้องรีบปิดผนึกประตูสวรรค์ไว้ด้วย ทำให้ผู้บำเพ็ญที่น่าชังอย่างพวกเขาต้องตกค้างอยู่ในโลกผู้บำเพ็ญเซียนเช่นนี้!
เมื่อบำเพ็ญอย่างหนักหน่วงแล้ว แต่ยังต้องถูกกดขี่อยู่เบื้องล่าง ช่างน่าขัดเคืองยิ่งนัก!
หลิงเยว่หยิบสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์พรางตัวทั้งยี่สิบสี่ชนิดที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาพิจารณาอย่างระวัง อีกทั้งยังได้ยืนยันกับระบบอีกนับครั้งไม่ถ้วน จนมั่นใจได้ว่านักกลั่นโอสถอาวุโสนั้นเพียงรับรู้ถึงความแปลกประหลาดของพลังชีวิตในสมุนไพรเท่านั้น แต่ไม่ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในคุณสมบัติที่แท้จริงของสมุนไพร
“การหมักสุราปราบมาร ใช้เพียงสมุนไพรวิญญาณทั้งยี่สิบสี่ชนิดนี้เท่านั้นหรือ?” ท่านอาจารย์ใหญ่อดทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามออกมา
“แน่นอนว่าไม่ใช่” หลิงเยว่แบ่งปันวิธีการหมักสุราอย่างไม่ปิดบัง เมื่ออาจารย์ใหญ่ทราบว่ายังต้องใช้ชาแปลงกายลงไปอีกหนึ่งหยด เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
“เพียงหยดเดียวก็หมักสุราปราบมารได้หนึ่งไหแล้วหรือ?”
บัดนี้ในชั้นเรียนพิเศษมีเพียงหลิงเยว่และท่านอาจารย์ใหญ่เท่านั้น เหล่าลูกศิษย์ของนางถูกเรียกไปปฏิบัติงานที่หน้าประตูสำนักกันหมดแล้ว หลิงเยว่จึงไม่จำเป็นต้องซ่อนเร้นอีก
หลิงเยว่ไม่เพียงแค่อธิบายขั้นตอนการกลั่นชาแปลงกายอย่างครบถ้วน แต่ยังบอกวิธีการหมักสุราปราบมารหนึ่งไหโดยใช้วัตถุดิบที่เหลืออยู่ให้กับท่านอาจารย์ใหญ่ได้เห็นทันที
“เพียงเท่านั้น… ก็เสร็จแล้วหรือ!?”
ความเรียบง่ายเช่นนั้น ทำให้อาจารย์ใหญ่หงุดหงิดขึ้นมา เขารู้สึกราวกับว่าตนเองบำเพ็ญเพียรมาหลายปีขนาดนี้ ทั้งยังกลั่นโอสถจนสามารถนำไปพันรอบโลกผู้บำเพ็ญเซียนได้หลายสิบรอบ แต่กลับยังเป็นเพียงคนโง่เขลาคนหนึ่ง
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” หลิงเยว่ชื่นชอบนักเมื่อได้เห็นอาจารย์ใหญ่ตกใจ ขั้นตอนอันเรียบง่ายเช่นนี้ เขาไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่านางต้องเผชิญความยากลำบากเพียงใดในการเร่งการเจริญเติบโตของสมุนไพรวิญญาณ
การกลั่นสมุนไพรเหล่านี้และปี้สุ่ยเย่นั้นยากกว่าการกลั่นสมุนไพรวิญญาณทั่วไปอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นตอนสุดท้ายในการใช้วิชาพรางตัวอีก หากการปลดคาถาล้มเหลว สุราปราบมารก็จะสูญสิ้นไปด้วย
การปลดคาถาพรางตัวทีละต้นนั้นเป็นวิธีที่ง่ายกว่า แต่ก่อนหน้านี้ที่นางไม่สามารถปลดคาถาได้ เป็นเพราะว่าการร่ายคาถาสะกดจิตของนางยังไม่ดีพอ!
หากสามารถควบคุมเคล็ดลับนี้ได้แล้ว ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายแล้ว