ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 232 เห็นเช่นนี้แล้ว ยังมีผู้ใดสู้ได้อีก!
บทที่ 232 เห็นเช่นนี้แล้ว ยังมีผู้ใดสู้ได้อีก!
กว่าจะหาหลิงเยว่เจอช่างยากเย็นแสนเข็ญ เมื่อจะเตรียมการซื้อขายที่ดินกัน ท่านเจ้าเมืองกลับมาบอกว่าไม่ให้ขายโฉนดที่ดินเสียอย่างนั้น ก่อนหน้านี้ห้ามให้คนต่างถิ่นเช่าพื้นที่ พวกเขายังพอทนได้ แต่ตอนนี้ยังจะมาควบคุมการขายที่อีกหรือ? อุตส่าห์อดทนมาโดยตลอด หากไม่สั่งสอนคนป่าเถื่อนพวกนี้สักหน่อย จะได้รู้สำนึกว่าดอกไม้สีแดงนั้นมีที่มาอย่างไร!
ซ้ำยังเป็นสีแดงดุจเลือด!
เจ้าเมืองฝู่ซางถูกฝูงชนรุมล้อมไว้แน่นหนา ส่วนหลิงเยว่ตัวเอกของเรื่องกลับถูกเบียดออกไป จนกลายเป็นตัวประกอบเสียแล้ว
“เจ้าของร้านหลิง เดี๋ยวจะเกิดเรื่องนองเลือดขึ้น ท่านรอตรงนี้ก่อนเถิด ร้านนี้พวกเราจะขายให้ท่านแน่นอน!”
“ถูกต้อง ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้!”
เหล่าเจ้าของร้านต่างหันกลับมาพร้อมแววตาดุดัน ทุกคนชักศาสตราวุธประจำกายออกมา ทำให้พลังปราณในบริเวณนั้นปั่นป่วนไปหมด
เจ้าเมืองฝู่ซางมีผู้คุ้มกันติดตามมาเพียงสิบกว่าคน ภายในใจร้อนรนแทบสิ้นสติ แต่เขายังคงพยายามรักษาสีหน้าให้สงบนิ่ง ชาวเมืองย่อมไม่กล้าลงมือกระทำการใด ดั่งสำนวนที่กล่าวว่าตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของ* [1]
หึ! แต่เขาไม่ใช่สุนัขเสียหน่อย
“พวกเจ้ากล้าทำจริงหรือ แล้วคิดถึงผลที่จะตามมาบ้างหรือไม่!?”
เจ้าเมืองฝู่ซางจ้องเขม็งไปยังผู้บำเพ็ญหญิง ซึ่งยืนอยู่ด้านหน้า ทว่าทันทีที่มือของเขาเพิ่งชี้ออกไป ผู้บำเพ็ญหญิงผู้อ่อนโยนราวกับจะหักแขนเขาได้อย่างง่ายดาย พร้อมชักกระบี่ออกมา สายตาของนางแน่วแน่ กระบี่ในมือพลิ้วไหวดุจงูเพลิงพุ่งเข้าหาท่านเจ้าเมืองทันที
ราวกับเป็นสัญญาณเริ่มการจู่โจม ผู้บำเพ็ญทุกคนต่างเคลื่อนไหวทันที!
“วันนี้พวกเราจะต้องรู้ให้ได้ว่าหากขายที่ดินแล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไร!”
ในเวลานี้มีทั้งกระบี่ที่โบยบินอยู่กลางเวหา ลูกไฟที่ลุกโชนไปทั่ว เถาวัลย์ที่ผุดขึ้นจากพื้นดิน พร้อมกับคลื่นน้ำที่ปะทุขึ้นมา แก่นปราณปฐพีที่กลายเป็นอสูรร้าย ลูกศรสีทอง และสายฟ้าคำราม…
“พวกเจ้ามันกบฏ!”
ท่านเจ้าเมืองที่ถูกโจมตีถาโถมเข้าใส่จนแทบจมดิน พยายามเคลื่อนไหวหลบหลีกอย่างว่องไว แต่ไม่อาจต้านทานการโจมตีจากทุกสารทิศได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีศาสตราวุธอีกนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าใส่เขา…
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น มันช่างคุ้นหูเหลือเกิน…
หลิงเยว่ถอยแล้วถอยอีก กลัวว่าจะถูกลูกหลงไปด้วย เพราะร้านใหม่ที่นางเพิ่งทุ่มเงินก้อนโตสร้างขึ้นมากำลังจะกลายเป็นเศษซากอีกครั้ง
หลิงเยว่ “…”
ร้านต้องคำสาปกับตัวนางที่แสนจะโชคร้าย
“ดี จดจำพวกมันไว้ให้หมด!”
แผ่นป้ายสัญลักษณ์สีทองหนึ่งแผ่นพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ปลดปล่อยแสงสีทองเจิดจ้า!
เมื่อมีคำสั่งเรียกตัวจากท่านเจ้าเมือง เหล่าผู้คุ้มกันทั่วทั้งเมืองไม่ว่าจะอยู่ที่ใดล้วนต้องตอบรับคำเรียกทันที
ด้วยเหตุนี้ ท้องฟ้าเหนือเมืองฝู่ซางจึงมีผู้คนจำนวนมากบินมุ่งหน้าไปยังถนนชิงเฟิงราวกับฝูงตั๊กแตน…
หลิงเยว่ “…”
ดูท่าจะยุ่งยากแล้ว
หรือว่านางควรจะหนีไปก่อน ถึงอย่างไร นางก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐานที่อ่อนแอเท่านั้น หากยังคงอยู่ที่นี่ต่อ คงจะอันตรายเกินไป!
“เจ้าของร้านหลิง รอข้าก่อนเถิด ท่านต้องการเพียงร้านที่ถนนชิงเฟิงเท่านั้นหรือ?”
หลิงเยว่ที่กำลังจะพาหัวหน้าตะขาบมรกตหนีไป ทว่ากลับถูกหญิงสาวคนหนึ่งขวางไว้เสียก่อน หญิงสาวผู้ที่เข้ามาขวางนั้น มองนางด้วยแววตาเขินอายและเต็มไปด้วยความปรารถนา
“ท่านสนใจที่ดินบนถนนถัดไปหรือไม่เล่า? ข้าเสนอให้สุราหนึ่งไหแลกกับโฉนดที่ดินหนึ่งฉบับ!”
หลิงเยว่ยังไม่ทันได้ตอบ ก็มีโฉนดที่ดินยื่นมาตรงหน้า พร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของคนผู้นั้น
โฉนดที่ดินในยามนี้ไม่อาจล่อตาล่อใจหลิงเยว่ได้แล้ว เพราะกลุ่มคนบนท้องฟ้ายิ่งขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ หากยังไม่รีบหนีไปตอนนี้ เกรงว่าคงไม่อาจหลบหนีได้!
หลิงเยว่รีบฝ่าฝูงชนออกไปทันที แต่ครู่เดียวกลับมีผู้คนรายล้อมนางไม่ต่างจากที่พวกเขาได้ล้อมท่านเจ้าเมืองไว้ สายตาทุกคู่มองนางด้วยอย่างไม่เป็นมิตรและดูโลภมาก
หลิงเยว่จึงยอมแพ้
“แท้จริงแล้วพวกท่านวางแผนที่จะใช้โฉนดที่ดินหลอกเอาสุราปราบมารจากข้าไปก่อน แล้วอาศัยยืมมือท่านเจ้าเมืองมาริบคืนใช่หรือไม่?”
คิดจะปล้นชิงด้วยหรือ?
หึ!
ฝันไปเถิด!
“ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแค่ท่านยินยอมทำการค้าขาย พวกเราจะร่วมมือกันทันที…” ชายหนุ่มลากนิ้วอีกข้างไปที่ลำคอพร้อมกับหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์
“ถูกต้อง พวกเราซื่อตรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก” รอยยิ้มของนางผู้นั้นช่างน่าเอ็นดูและรอยบุ๋มบนแก้มนั้นช่างดึงดูดใจนัก
“เพียงไหละหนึ่งพันล้านหินวิญญาณระดับกลาง พวกท่านไม่ได้ขาดทุนไม่ใช่หรือที่ขายโฉนดที่ดินให้ข้า?”
หลิงเยว่ถ่วงเวลาพลางส่งสัญญาณอย่างบ้าคลั่ง นางก็มีพวกพ้องอยู่เช่นกัน!
“ท่านต่างหากที่จะขาดทุน ท่านทราบหรือไม่ว่าราคาประมูลสุราปราบมารของหอประมูลตระกูลโจวคือสิ่งใด? ศาสตราวุธระดับสุดยอด!”
เมื่อกล่าวถึงศาสตราวุธระดับสุดยอด ดวงตาของเหล่าผู้บำเพ็ญเต็มไปด้วยความปรารถนา พวกเขาล้วนมองข้ามคุณค่าของการปราบมารผจญไปสิ้นเชิง จะวัดค่ามันด้วยหินวิญญาณระดับกลางพันล้านก้อนได้อย่างไร?
มันต้องเป็นศาสตราวุธระดับสุดยอดที่ทุกคนต่างปรารถนาอย่างแน่นอน!
ศาสตราวุธระดับสุดยอดนั้นมีราคาสูงถึงหนึ่งพันล้านหินวิญญาณระดับสูงขึ้นไป พวกเขาจึงรีบนำมันไปประมูลขายก่อนที่สุราปราบมารจะแพร่หลายไปยังที่อื่น แน่นอนว่าพวกเขาต้องได้ศาสตราวุธระดับสุดยอดนั้นมาครอบครอง เมื่อเปรียบเทียบกับที่ดินในเมืองฝู่ซางแล้ว ช่างเล็กน้อยนัก! แม้แต่หลิงเยว่จะสั่งให้พวกเขาขุดหลุมศพบรรพบุรุษ แล้วนำเอาเถ้ากระดูกบรรพบุรุษมาโปรยเล่น พวกเขาก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
“ตกลง! ข้าขอซื้อที่ดินในเมืองฝู่ซางทุกแปลงที่มีโฉนดถูกต้อง แต่พวกเจ้าต้องหาทางทำลายกฎระเบียบอะไรก็ตามที่ขัดขวางข้าให้ได้”
เกรงว่าพวกเขาจะไม่เชื่อ หลิงเยว่จึงหยิบสุราปราบมารหนึ่งไหขึ้นมาเปิดทันที กลิ่นหอมกรุ่นของสุราลอยฟุ้ง ทำให้ผู้บำเพ็ญต่างมีแววตาที่ร้อนแรงยิ่งขึ้น ถูกต้องแล้วกลิ่นนี้แหละสุราปราบมารอย่างแน่นอน!
“ไหสุราแบบนี้ ข้ายังมีอีกกว่าร้อยไห”
กว่าร้อยไห!
เมื่อเหล่าผู้บำเพ็ญได้ยินจำนวนที่หลิงเยว่เอ่ยขึ้นมา ดวงตาพวกเขาต่างเบิกกว้าง
“เจ้าของร้านหลิงโปรดรอสักครู่ พวกเราจะนำหัวท่านเจ้าเมืองมาให้ทันที!”
หญิงสาวแบกกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้าไปในฝูงชน
ทันทีที่นางพุ่งเข้าไป หลายคนก็กรูเข้าไปสมทบ จนกระทั่งผู้คุ้มกันที่เพิ่งมาถึงถูกโจมตีไปด้วย พวกเขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ด้วยซ้ำ แต่ศัตรูบุกเข้ามาจู่โจมแล้วไม่สู้ตอบโต้ก็ไม่สมกับเป็นพวกเขา!
“เอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
นิ้วมือทั้งห้าแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บพุ่งโจมตีหลิงเยว่ทันที
เมื่อเทียบกับเหล่าผู้บำเพ็ญที่ช่วยกันรุมโจมตีท่านเจ้าเมืองราวกับคนโง่เขลาแล้ว การแย่งชิงย่อมได้สุราปราบมารมาครอบครองคงง่ายกว่า!
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือพวกเขาไม่มีโฉนดที่ดินและหินวิญญาณ พวกเขามีเพียงชีวิตเดียวเท่านั้น หากแย่งชิงมาได้เพียงไหเดียวก็จะร่ำรวยในชั่วข้ามคืนแล้ว!
หัวหน้าตะขาบมรกตรีบคว้ากรงเล็บที่ยื่นเข้ามา แล้วออกแรงบีบเบา ๆ ก็เกิดเสียงกระดูกแตกดังกร๊อบ พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนน่าสยดสยอง
ผู้บำเพ็ญเหล่านี้มีเพียงชีวิตเดียว แต่พวกเขาไม่หวั่นเกรง แม้จะล้มตายไปก็ยังมีคนอื่นขึ้นมาแทนได้ บัดนี้รอบกายของหลิงเยว่จึงเหลือเพียงหัวหน้าตะขาบมรกตเพียงคนเดียวเท่านั้น หากพวกเขาสามารถร่วมมือกันเอาชนะหัวหน้าตะขาบมรกตได้ หลิงเยว่ที่อยู่แค่ขอบเขตสร้างรากฐานคงจัดการได้ง่ายดายยิ่งนัก!
บนท้องฟ้าเกิดความโกลาหล บนพื้นดินก็เช่นกัน สถานการณ์ของหลิงเยว่ในตอนนี้เหมือนกับท่านเจ้าเมืองทุกประการ
แน่นอนว่านางไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงแม้แต่น้อย เพราะคนที่นางเรียกได้มาถึงแล้ว!
เพื่อเรียกความมั่นใจยิ่งขึ้น หลิงเยว่ได้ใช้วิชาอัญเชิญนักกลั่นโอสถอาวุโสให้มาร่วมด้วย
ท่านอาจารย์ใหญ่และนักกลั่นโอสถอาวุโสยืนประจันหน้า ส่วนนายท่านตระกูลเซี่ยและบรรพบุรุษตระกูลซียืนประกบอยู่ซ้ายขวาของหลิงเยว่ บรรพบุรุษตระกูลหมิงยืนอยู่ด้านหลัง บรรดาผู้อาวุโสและอาจารย์ในสำนักรวมทั้งผู้คนจากตระกูลอื่น ๆ ปรากฏตัวกันถ้วนหน้า ช่วยกันปราบปรามผู้บำเพ็ญเหล่านั้นที่มัวเมาด้วยความละโมบได้ในพริบตา
ส่วนพวกที่ยังดิ้นรนต่อต้าน เหล่าลูกศิษย์ของนางจึงเข้าร่วมต่อสู้ด้วย
หลิงเยว่รู้สึกปลอดภัยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จงดูเถิด เหล่าผู้คุ้มกันของนาง ช่างไม่ด้อยไปกว่าท่านเจ้าเมืองเลยแม้แต่น้อย!
ด้วยความปลาบปลื้มใจ นางจึงมอบสุราปราบมารให้คนละหนึ่งไห
เป็นหนึ่งไห ไม่ใช่จอกเล็ก ๆ แต่อย่างใด!
ผู้คุ้มกันทั้งห้ารู้สึกสับสนยิ่งนัก หลิงเยว่ช่างดูหมิ่นสุราปราบมารราวกับเป็นสิ่งไร้ค่า ทั้งที่ความโกลาหลทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะสุราชนิดนั้นแท้ ๆ!
“เจ้าก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก?” ท่านอาจารย์ใหญ่เงยหน้ามองท้องฟ้า ยามนี้ทหารทั่วทั้งเมืองคงมาถึงแล้วกระมัง
หลิงเยว่กะพริบตาอย่างไร้เดียงสา “ข้าเพียงต้องการซื้อที่ดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ท่านเจ้าเมืองไม่ยินยอมและยังไปจุดชนวนความโกรธของผู้คนโดยไม่ตั้งใจอีก จึงกลายเป็นเช่นนี้…”
เพียงเท่านี้จริงหรือ?
ผู้คุ้มกันทั้งห้าไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่ หรือต่อให้เป็นจริง หลิงเยว่ต้องคอยยุยงอยู่ข้าง ๆ แน่นอน ไม่เช่นนั้นเรื่องราวคงไม่บานปลายใหญ่โตถึงเพียงนี้
*[1] ตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของ เป็นสำนวนจีนมีความหมายว่า ก่อนลงโทษหรือตอบโต้ใครต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นอันดับแรก ต้องคำนึงถึงผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังคนนั้นด้วย