ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 235 ตอนนี้เจ้าสังหารข้าได้หรือยัง?
หัวหน้าตะขาบมรกตนำฝูงของมันพาเหล่าลูกศิษย์ที่บาดเจ็บหนักทั้งยี่สิบสี่คนออกไป และสั่งให้พาคนเหล่านั้นกลับไปที่สำนัก ส่วนตัวมันนั้นบินมุ่งหน้าไปยังหอจี้ซื่อ
หากเจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยหายไป เช่นนั้นความหวังของทั้งเผ่าที่จะแปลงกายจะเป็นจริงได้อย่างไร? แล้วจะให้ผู้ใดมาทำเล่า!?
หลิงเยว่ได้เปิดใช้งานโล่ป้องกันระดับเทพครอบคลุมไปทั่วเมือง แต่แน่นอนว่าหอจี้ซื่อไม่ได้อยู่ในโล่ป้องกันนั้นด้วย
ตอนที่หัวหน้าตะขาบมรกตเพิ่งจะบินมาถึงบริเวณหอจี้ซื่อ มันก็โดนแสงโปร่งใสซัดกระเด็นกลับมา ส่วนท่านอาจารย์ใหญ่และคนอื่น ๆ ได้รับการต้อนรับเช่นเดียวกัน
ที่นี่มีโล่ป้องกันตั้งแต่เมื่อไหร่!?
แม้จะอยู่ห่างจากหอจี้ซื่อไม่ไกลนัก แต่รู้สึกราวกับว่ามีทะเลขวางกั้นพวกเขาอยู่
พวกเขาใจร้อนแต่ไม่อาจทำอะไรได้ โล่ป้องกันตรงหน้านั้น… ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน!
“ในเมื่อกันทุกคนออกไปหมดแล้ว ตอนนี้เจ้าสังหารข้าได้แล้วหรือยัง?” เซี่ยงหยางพูดพลางหัวเราะ เด็กน้อยเพิ่งจะอยู่ขอบเขตสร้างรากฐานจะมาสังหารเขาได้อย่างไร? ถือเป็นเรื่องตลกที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาตลอดสองพันปี แม้แต่เล่อเหอคนนั้นยังฆ่าเขาไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับนางเล่า?
เว้นเสียแต่จะมีสามคนจากสำนักหลานเทียนที่อยู่ขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ลงมือพร้อมกัน ไม่เช่นนั้นต่อให้หลิงเยว่มีเวลาอีกสองพันปีก็ยังเป็นไปไม่ได้!
“ได้แล้ว! เจ้ากล้าอยู่นิ่ง ๆ ให้ข้าจัดการหรือไม่?” หลิงเยว่พยักหน้า ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและจริงจัง
เซี่ยงหยางหัวเราะอย่างร่าเริง “แน่นอน รีบ ๆ ลงมือเถิด ถ้าชักช้าเจ้าอาจจะแย่…”
เขาพูดยังไม่ทันจบประโยค และรอยยิ้มยังไม่ทันจางหาย เซี่ยงหยางกลับกลืนคำพูดตนเองพลันลุกขึ้น!
แต่ช้าเกินไปเสียแล้ว…
ในชั่วพริบตายันต์ระเบิดก็เริ่มทำงาน แสงสว่างพาตัวหลิงเยว่เข้าไปในโล่ป้องกันทันที
ระเบิดรุนแรงจนทำให้เกิดเป็นรูปเห็ดสีดำขนาดมหึมาระเบิดออกมาจากด้านหลังของหลิงเยว่ เมื่อควันดำกลืนกินร่างที่สวมชุดดำของเซี่ยงหยาง…
เหล่านักกลั่นโอสถซึ่งปรากฏตัวออกมาจากห้วงมิติต่างพากันตกใจกลัว
แรงระเบิดนั้นสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั้งเมือง แต่โชคดีที่มีโล่ป้องกันอยู่ ไม่เช่นนั้นเมืองฝู่ซางคงไม่เหลืออยู่แล้ว!
ช่างน่าตกใจเหลือเกิน!
“หลิงเยว่พูดจริงหรือ?” เมื่อมองไปยังหอจี้ซื่อที่ถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มควันสีดำ ท่านอาจารย์ ใหญ่ก็พึมพำกับตนเอง
“เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยเล่า!” หัวหน้าตะขาบมรกตเห็นลำแสงนั้นแล่นผ่านไป แต่คนหายไปไหนเล่า!? เหตุใดถึงไม่ส่งมาที่นี่!?
ชีวิตของหลิงเยว่ยังคงอยู่ แต่เหลือเพียงลมหายใจรวยรินเท่านั้น ผลข้างเคียงของยันต์ระเบิดร้ายแรงเกินไป บัดนี้สายตานางมืดมัวราวกับสูญเสียการมองเห็น…
“ระบบ เจ้าไม่ได้บอกว่าใช้สิ่งนั้นแล้วจะทำให้ตาบอดไม่ใช่หรือ!?”
[เจ้าก็พูดเองว่านั่นคือผลข้างเคียง มันจะฟื้นฟูภายในสองสามเดือน]
น้ำเสียงของระบบดูจะไม่ใส่ใจมากนัก
ไม่นะ! หากมองไม่เห็นร่างของชายผู้นั้น หลิงเยว่จะวางใจได้อย่างไร!
“หลิงเยว่!” เมื่อเถาวั่งเห็นหลิงเยว่ที่นอนอยู่ตรงมุมห้อง น้ำตาพลันไหลอาบแก้ม เขาเป็นคนพานางมาที่นี่ หากแม้แต่ศพยังนำกลับไปยังดินแดนทางเหนือไม่ได้ ชิงยวนคงฉีกร่างของเขาเป็นชิ้น ๆ แน่!
“ข้ายังมีลมหายใจอยู่…” เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคย หลิงเยว่จึงวางใจ ตอนนี้นางไม่เพียงตาบอด ทั้งยังปล่อยพลังวิญญาณออกไปไม่ได้อีกด้วย แม้แต่เด็กสามขวบก็สามารถสังหารนางได้
“ยังมีลมหายใจอยู่!” เถาวั่งรีบตรวจสอบ แล้วพบว่าชุดกระโปรงของหลิงเยว่ขาดรุ่งริ่ง เผยให้เห็นผิวหนังที่ดำคล้ำและดวงตาไร้แวว แต่ดีที่ยังมีลมหายใจอยู่
จากนั้นเขาจึงรีบแบกร่างของนาง แล้วใช้ความเร็วสูงสุดมุ่งหน้าสู่สำนักทันที ในที่แห่งนั้นมีเหล่านักกลั่นโอสถอยู่เป็นจำนวนมาก เพียงแค่ตาบอดและผิวดำคล้ำเท่านั้น ย่อมเยียวยาได้!
หมอกดำในบริเวณหอจี้ซื่อยังไม่จางหายไป และร่างของเซี่ยงหยางก็ไม่ได้ปรากฏ
เหล่านักกลั่นโอสถตกใจยิ่งนัก หรือว่าถูกระเบิดจนร่างกายแหลกเหลวไปแล้ว?
อย่างไรก็ตาม เขาเป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งห่างจากขอบเขตพ้นโลกีย์เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่ถูกระเบิดจนตายได้ง่ายดายเช่นนั้น?
“พบร่างหลิงเยว่แล้ว! ท่านรีบไปดูเถิด นางแปลกประหลาดนัก!”
หากไม่ใช่ยามคับขัน ท่านอาจารย์ใหญ่ไม่ต้องการมาหานักกลั่นโอสถอาวุโสสักเท่าไหร่นัก
หลิงเยว่ยังมีลมหายใจอยู่?!
เช่นนั้นเซี่ยงหยางก็ยังไม่ตายหรือ?
ไม่รู้เหตุใด จิตใจของนักกลั่นโอสถอาวุโสจึงรู้สึกเสียดายยิ่งนัก…
เมื่อพบกับหลิงเยว่ที่ร่างกายดำสนิทและดวงตามืดบอด นักกลั่นโอสถอาวุโสพลันเงียบงัน
คนอื่น ๆ จึงรู้สึกกังวลยิ่งนัก หัวหน้าตะขาบมรกตถามด้วยเสียงสั่นเครือ “ไม่… ไม่อาจเยียวยาได้แล้วหรือ?”
นักกลั่นโอสถอาวุโสส่ายหน้า “ให้ข้าตรวจดูสักหน่อย”
“อย่ามาแตะข้า” หลิงเยว่ถอยหลังอย่างตกใจ “อย่ามาแตะต้องข้าเป็นอันขาด!”
แปลกประหลาดดังเช่นที่จานโจวกล่าว
หากนักกลั่นโอสถอาวุโสต้องการสัมผัสตัวของหญิงสาวผู้สร้างรากฐาน นับเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก เขาไม่สนใจการขัดขืนของหลิงเยว่ แล้วทำการจับชีพจรให้นางทันที
“อย่าใช้พลังปราณ ไม่เช่นนั้นท่านจะโชคร้าย!”
หากไม่ใช้พลังปราณแล้วจะตรวจสอบได้อย่างไรว่านางได้รับบาดเจ็บส่วนใดบ้าง?
“ผู้อาวุโสเถา มือของท่านเริ่มดำแล้ว!” เสียงร้องตกใจดังขึ้น ทำให้พลังปราณของนักกลั่นโอสถอาวุโสสะดุดลง เขาหันกลับไปมองเถาวั่งที่อยู่ด้านหลัง เห็นคนผิวขาวเมื่อครู่กลายเป็นสีดำสนิทต่อหน้าต่อตา แม้แต่ริมฝีปากก็ไม่เว้น ทั้งยังเป็นสีดำแบบเดียวกับหลิงเยว่ไม่ผิดเพี้ยน
ดีที่ดวงตายังคงมองเห็น และดวงตาสีขาวก็ไม่ได้กลายเป็นสีดำเช่นเดียวกับหลิงเยว่
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่าน…”
ท่านอาจารย์ใหญ่ตรวจดูหลิงเยว่ตอนที่นางสลบ และบัดนี้ก็ได้เดินตามรอยของเถาวั่งไปเรียบร้อย
เวลาผ่านไปครู่เดียว ผิวของทั้งห้าคนที่อยู่ตรงนั้นจึงกลายเป็นสีดำเช่นเดียวกับหลิงเยว่
แม้จะน่าสังเวชยิ่งนัก แต่เมื่อเห็นคนผิวดำทั้งห้าที่แสดงท่าทีมึนงง เหล่าอาจารย์ที่ยับยั้งชั่งใจไม่ได้พลันหลุดหัวเราะออกมา
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” ท่านอาจารย์ใหญ่จ้องมองมือที่ดำสนิทของตนเอง กะพริบตาสองที แล้วพยายามนึกถึงตำราที่เคยอ่าน ว่ามีเรื่องราวที่เกี่ยวกับบ้างหรือไม่?
“เจ้าใช้สิ่งใดโจมตีเซี่ยงหยาง?” ราวกับว่านักกลั่นโอสถอาวุโสถได้ค้นพบคำตอบแล้ว แต่ถึงอย่างไร เขายังคงเอ่ยถาม เพื่อยืนยันกับหลิงเยว่อีกครั้ง
“ยันต์เภทภัย”
“ยันต์เภทภัยอย่างนั้นหรือ?” ท่านอาจารย์ใหญ่พลันนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ ทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น “เจ้าหมายถึงยันต์เภทภัยที่หายสาบสูญ หากได้สัมผัสก็จะต้องเผชิญกับโชคร้ายและตายในที่สุดน่ะหรือ?”
“เอ่อ…”
หลิงเยว่รู้สึกกลัว ยามนั้นความโกรธทำให้นางสูญสิ้นสติ จึงไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนว่า เภทภัยนั้นมีความหมายเช่นไร และเมื่อตอนนี้พิจารณาถึงคุณสมบัติของยันต์โดยละเอียดอีกครั้ง จึงได้ประจักษ์แล้วว่าของชิ้นนี้คือดาบสองคมที่ทำร้ายศัตรูได้พันหนึ่งย่อมทำร้ายตนเองไปด้วยถึงแปดร้อย!
[ด้วยพลังในยามนี้ เจ้าสามารถใช้เพียงยันต์เภทภัยได้ ส่วนยันต์ศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ นั้นถูกจำกัดด้วยระดับการบำเพ็ญของเจ้า]
จะกล่าวอย่างไรดี สิ่งที่ต้องการก็คือให้ข้าซื้อระดับการบำเพ็ญ มิใช่หรือ?
เมื่อข้าถูกสูบหินวิญญาณไปจนหมด แล้วจะเหลือสิ่งใดไว้ซื้อเล่า!?
“วางใจเถิด แตะข้าเพียงเล็กน้อย พวกท่านคงจะติดโชคร้ายจากข้าเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น หากพวกท่านสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ในระหว่างเดือนนี้ คงไม่เป็นไรแล้ว”
เหล่าผู้คุ้มกันทั้งห้า “…”
นี่สิคือปัญหาใหญ่ที่สุด!
ทันทีที่หลิงเยว่กล่าวจบประโยค หินเพลิงขนาดใหญ่ก็พุ่งทะลุหลังคาลงมายังร่างของหลิงเยว่ทันที
โชคยังดีที่นักกลั่นโอสถอาวุโสคว้าไว้ทัน นางจึงไม่กลายเป็นเนื้อสุกเสียก่อน
“ม่านป้องกันของสำนักก็เปิดอยู่ตลอด!” ท่านอาจารย์ใหญ่เงยหน้ามองไปที่โพรงด้านบน ทว่า… มันฝ่าม่านป้องกันลงมาได้อย่างไร?
นี่มันยันต์เภทภัยระดับใดถึงได้ร้ายกาจเช่นนี้?
เหตุใดจึงไม่ทำลายให้สิ้นซากไปเลยเล่า!?
ความโชคร้าย… ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
หลิงเยว่กังวลในโชคชะตาของตนเองในอีกสองเดือนข้างหน้า ตอนนี้นางเป็นเพียงคนตาบอดธรรมดา จะหลบหลีกโชคร้ายที่ถาโถมเข้ามาได้อย่างไร!?
แค่ดื่มน้ำ กินข้าว อาจจะสำลักหรือถูกวางยาพิษตายได้ง่าย ๆ!
“พวกท่านต้องคอยคุ้มกันข้านะ!”
หลิงเยว่ร้องไห้แทบขาดใจ เหล่าผู้คุ้มกันทั้งห้าก็ได้รับเคราะห์จากนางเช่นกัน ทำให้ยิ่งอยากร้องไห้มากกว่าเดิมเสียอีก!
นักกลั่นโอสถอาวุโสรับเอาหินเพลิงคืนไปด้วยความยินดี และโชคดีที่เขาชักมือกลับทัน ไม่เช่นนั้นในบรรดาเหล่าคนผิวดำคงมีเขารวมอยู่ในกลุ่มด้วยแล้ว
พวกเขาเพียงแค่สัมผัสกับนางเพียงเล็กน้อยก็แย่ขนาดนี้แล้ว เช่นนั้น… เซี่ยงหยางผู้อยู่ภายใต้หมอกดำแห่งเคราะห์ร้ายเล่า?
ใบหน้าของนักกลั่นโอสถอาวุโสเผยรอยยิ้มกว้างขึ้นทันที