ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 238 เหตุใดยังเลือกปฏิบัติอยู่อีก?
บทที่ 238 เหตุใดยังเลือกปฏิบัติอยู่อีก?
หลังจากที่กลุ่มคนผิวดำเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันเอง อาจารย์ใหญ่จึงออกคำสั่งห้ามพวกเขารวมตัวกัน รวมถึงตัวท่านเองด้วย เพราะหากพลาดท่าถูกพวกเดียวกันฆ่าตาย คงเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้านัก!
ยิ่งมีตัวอย่างของผู้อาวุโสเซี่ยงหยางอยู่ตรงหน้า แม้แต่ผู้ที่อยู่ขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ขั้นปลายเช่นนั้นยังไม่รอด แล้วพวกเขาที่เปราะบางราวกับไข่ไก่คงต้องโดนหนักกว่าแน่!
ทั้งหกคนมีคนคอยอยู่ข้างกาย เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกควบคุมให้ทำเรื่องบ้า ๆ อย่างทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย ส่วนหลิงเยว่มีผู้พิทักษ์มากที่สุด นางมีทั้งนายท่านตระกูลเซี่ย หัวหน้าตะขาบมรกตและนักกลั่นโอสถอาวุโส เพื่อให้แน่ใจว่านางจะรอดพ้นเคราะห์กรรมนี้ไปได้
บรรพชนตระกูลซีเดินเข้าไปในห้องของหลิงเยว่อย่างหยิ่งผยอง พอเห็นนางผิวดำเป็นมันปลาบและตาบอด เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างไม่มีความเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย
หลิงเยว่ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างไม่ปิดบัง พลางมองเพดานอย่างไม่สะทกสะท้าน นางชินชากับมันไปเสียแล้ว…
เมื่อบรรพชนตระกูลซีหัวเราะจนพอใจแล้ว จึงกล่าวว่า “หลิงเยว่เอ๋ย หลิงเยว่ ขอแสดงความยินดีที่เจ้าได้รับคำสั่งไล่ล่าจากหอจี้ซื่อ”
หลิงเยว่ได้ยินคำสั่งไล่ล่าพลันรู้สึกไม่ดี ในที่สุดเหตุการณ์นี้ก็มาถึง
“เจ้า” บรรพชนตระกูลซีมองไปที่นักกลั่นโอสถอาวุโส “ถูกขึ้นบัญชีเป็นคนทรยศอันดับหนึ่งของหอจี้ซื่อ ใครที่สามารถฆ่าเจ้าจะได้เป็นเจ้าของหอจี้ซื่อแห่งเมืองฝู่ซาง”
ซึ่งเป็นสิ่งที่นักกลั่นโอสถอาวุโสคาดการณ์ไว้แล้ว ถ้าอยากจะฆ่าเขา… แล้วไม่ส่งผู้บำเพ็ญขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ขั้นกลางมาย่อมไม่เป็นปัญหา
บรรพชนตระกูลหมิงตั้งใจจะมาบอกข่าวนี้เช่นกัน แต่กลับโดนแย่งพูดไปเสียก่อน ไม่ใช่แค่หลิงเยว่เท่านั้น ทุกคนที่ยืนอยู่ข้างนางล้วนติดอยู่ในรายชื่อคำสั่งไล่ล่าทั้งหมด ไม่มีใครหลุดรอด รวมถึง… ฮวนฮวนวัยแปดขวบด้วยเช่นกัน
ช่างโหดร้ายนัก!
“เหตุใดหอจี้ซื่อยังเลือกปฏิบัติอยู่อีก?”
นายท่านตระกูลเซี่ยอ่านรายชื่อคำสั่งไล่ล่าจบแล้วรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง หลิงเยว่เป็นเพียงผู้บำเบ็ญขอบเขตสร้างรากฐานตัวเล็ก ๆ กลับมีค่าเท่ากับศาสตราวุธกึ่งเทพ ส่วนพวกข้าที่เป็นคนแก่ มีค่าแค่ศาสตราวุธชั้นเลิศงเท่านั้น ดูถูกคนเกินไปแล้ว!
จากมูลค่าสิบล้านหินวิญญาณขั้นสูงเพิ่มขึ้นเป็นศาสตราวุธกึ่งเทพ หลิงเยว่คงเอาออกไปโม้ได้ทั้งชีวิต!
แต่ตอนนี้นางไม่มีใจจะโม้แล้ว หลังจากตาบอด นางรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
“ที่สำนักยังปลอดภัยอยู่หรือไม่?”
หากไม่ปลอดภัย นางคิดจะกลับสำนักหลานเทียนเพื่อรักษาบาดแผลให้หายดีก่อนจะออกจากภูเขา เพราะคนรอบตัวนางกลายเป็นผู้ร้ายที่ถูกประกาศจับหมดแล้ว ช่างไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย!
“สำนักยังปลอดภัยดี แต่เจ้าไม่ปลอดภัย” อาจารย์ใหญ่ที่เพิ่งประสบเคราะห์กรรมมาหน้าตาพลันหมองคล้ำ บางทีอาจไม่จำเป็นต้องใช้มือสังหาร พวกเขาอาจจะถูกเคราะห์กรรมเล่นงานจนตายไปก่อนแล้วก็ได้!
หมายความว่าอย่างไร?
หลิงเยว่ที่กำลังจะเอ่ยปากถาม กลับรู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวและกำลังร่วงหล่นลงไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่หัวหน้าตะขาบมรกตได้ติดตามนางอย่างใกล้ชิด พลันคว้าปกเสื้อด้านหลังของนางไว้ได้ทันแล้วบินขึ้นมา
ทุกคนที่บินขึ้นไปบนท้องฟ้ามองพื้นดินที่แยกออกและตึกที่พังทลายด้วยความเงียบงัน
นี่มันเป็นคำสาประดับใดกัน? ช่างโหดร้ายป่าเถื่อนเสียจริง!
รอยแยกใหญ่ที่ไม่ได้ทำให้ใครตายค่อย ๆ ปิดลงอีกครั้ง เมื่อมันขยับ ตึกทั้งหมดของสำนักพลันสั่นสะเทือน
“มังกรใต้พิภพขยับกายแล้ว ทุกท่านรีบหนีเร็วเข้า!”
“ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่! เหตุใดถึงมีมังกรใต้พิภพขยับกายบ่อยเช่นนี้!?”
“เหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ จะมีของวิเศษปรากฏขึ้นหรือไม่?”
เหล่าศิษย์ผู้ไร้เดียงสาต่างคาดเดาว่าของวิเศษนั้นจะเป็นสิ่งใดกัน
ไม่มีของวิเศษอะไรนั่นหรอก แต่พวกโชคร้ายนี่สิมีถึงหกคน!
ในฐานะหัวหน้าทีมคนดำตัวน้อยอย่างหลิงเยว่ ตอนนี้นางรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตเสียเหลือเกิน
เพียงครึ่งเดือน นางได้ประสบกับวิธีลอบสังหารหลากหลายรูปแบบ และยังต้องเผชิญเหตุการณ์เช่นนั้นอีกเดือนครึ่ง!
“ระบบ ข้าทนไม่ไหวแล้ว เจ้ามียาแก้พิษบ้างหรือไม่?”
[ไม่มี แต่มีโอสถชั้นเลิศที่ทำให้ดวงตาและพลังวิญญาณของเจ้ากลับมาได้ ราคาหนึ่งพันล้าน]
หนึ่งพันล้านหรือ? หลิงเยว่ไม่มีหรอก แต่นางยังมีหินวิญญาณที่ฝากไว้ที่หอประมูลตระกูลเซี่ย อีกทั้งหัวหน้าตะขาบมรกตยังเก็บซ่อนไว้อีกไม่ใช่น้อย ซึ่งน่าจะเพียงพอ
หลิงเยว่จึงให้หัวหน้าตะขาบมรกตไปเอาหินวิญญาณกลับมาจ่ายค่าโอสถ ก่อนจะฉวยโอกาสตอนที่บรรดาผู้พิทักษ์ไม่ทันสังเกต กินมันเข้าไป โอสถละลายกลายเป็นฟองอยู่ภายในปากแล้วแพร่กระจายไปทั่วร่าง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเหมือนกับมันถูกกีดขวางไว้ จึงไม่สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างราบรื่น
ใบหน้าของหลิงเยว่เขียวคล้ำ ความโชคร้ายนี่จบสักทีได้หรือไม่!?
หลิงเยว่พยายามกลืนลงไป แต่กลับสำลักขึ้นมาทันที หัวหน้าตะขาบมรกตเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติของนาง “เจ้าแอบกินอะไรอีกแล้ว!”
บทเรียนจากอดีตมีอยู่หลายครั้ง ยังกล้าฝ่าฝืนอีก เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยช่างเป็นแบบอย่างที่ดีของเหล่าแมลงเสียจริง!
หลังจากการช่วยเหลือหลิงเยว่อีกครั้ง นางจึงรอดชีวิตมาได้ ฟองโอสถไหลเวียนไปยังตันเถียนและดวงตาทั้งสองข้างได้อย่างราบรื่น
ร่างที่เลือนรางเดินไปมาอยู่ตรงหน้านาง เสียงอึกทึกดังอยู่ข้างหู ล้วนเป็นการต่อว่าที่นางไม่ควรแอบกินอะไรเรื่อยเปื่อย
หลิงเยว่รู้สึกผิดและน้อยใจยิ่งนัก แต่นางไม่สามารถบอกได้ จึงพาเปลี่ยนเรื่อง
“ดวงตาของข้ากลับมาแล้ว!” หลิงเยว่ลองใช้พลังวิญญาณ ในช่วงแรกค่อนข้างยากลำบากและเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่หลังจากลองสักสองสามครั้งก็ราบรื่นขึ้น
ความรู้สึกที่ได้พลังวิญญาณกลับมานี่ดีจริง ๆ…
“พลังวิญญาณก็ใช้งานได้แล้วเช่นกัน!”
เมื่อนางพูดจบ เสียงดุด่าข้างหูพลันหายไป หลิงเยว่ตื่นเต้นจนสมองร้อนผ่าว นักกลั่นโอสถอาวุโสกำลังจะใช้พลังวิญญาณตรวจสอบร่างกายของนาง แต่ทันใดนั้นเอง เมื่อกำลังจะสัมผัสโดนตัวนางก็สะดุ้งตื่นขึ้น นักกลั่นโอสถอาวุโสจึงรีบชักมือกลับทัน
นักกลั่นโอสถอาวุโสเหงื่อไหลท่วมตัว เขาเกือบจะติดเชื้อไปด้วยเสียแล้ว! เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น!
หลิงเยว่ที่ฟื้นคืนแล้วกำลังจะไปดูอาการบาดเจ็บของศิษย์ที่ช่วยมาได้ แต่เพิ่งจะก้าวออกจากประตู นางก็ถอยกลับมา แม้จะฟื้นแล้ว แต่โชคร้ายยังคงอยู่ หากนางไปหาเหล่าลูกศิษย์จะไม่ยิ่งเป็นการทำร้ายพวกเขาหรอกหรือ?
ลูกศิษย์นางตายไปแล้ว… คนหนึ่ง
หลิงเยว่หมดกำลังใจ ถึงแม้จะให้เซี่ยงหยางตายตามไป ศิษย์คนนั้นของนางก็กลับมาไม่ได้แล้ว…
ซ้ำยังมีคำสั่งไล่ล่าอะไรนั่นอีก นางต้องการหินวิญญาณอีกมาก เพื่อที่จะได้ซื้อยันต์หลบหนีให้พวกเขา!
และสิ่งที่ทำเงินได้มากที่สุดคือสุราปราบมาร!
หลิงเยว่เรียกศิษย์ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมา แล้วให้หัวหน้าตะขาบมรกตส่งฝูงแมลงไปขุดพืชวิญญาณกลายพันธุ์ เพื่อนำมาผลิตสุราปราบมารทั้งวันทั้งคืน
แน่นอนว่าเพื่อความปลอดภัย นางจึงอยู่ห่างจากศิษย์ให้มากที่สุด
“เจ้ายังขาดหินวิญญาณอีกหรือ?” หัวหน้าตะขาบมรกตแทบไม่อยากเชื่อ หินวิญญาณมากมายที่เอากลับมายังไม่พออีกหรือ?
“ขาดอีกเยอะมาก!”
หากไม่ใช่ว่าหัวหน้าตะขาบมรกตและฝูงแมลงทำสุราปราบมารไม่ได้ หลิงเยว่คงขอให้พวกมันช่วยทำไปแล้ว
หนึ่งเดือนต่อมา ผิวของคนดำทั้งห้าคนกลับมาเป็นปกติ อาจารย์ใหญ่และเถาวั่งหลายคนรู้สึกราวกับหนีรอดเคราะห์ร้ายมาได้ ในที่สุดก็ไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากทุกวันอีกแล้ว!
สองเดือนต่อมา ผิวดำขลับของหลิงเยว่เปลี่ยนเป็นสีดำอ่อน พลังทำลายล้างของโชคร้ายนั้นอ่อนแอลง นางสามารถรับมือกับโชคร้ายโดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นอีกต่อไป
ปริมาณสุราปราบมารก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง!
ท้ายที่สุดแล้ว ความชำนาญย่อมเกิดจากการฝึกฝน เพียงรู้จักพูดและมีทักษะการกลั่นที่ชำนาญก็จะสามารถทำสุราปราบมารได้หนึ่งไหในเวลาอย่างมากครึ่งเดือน ส่วนผู้ที่เก่งกาจอย่างเช่นนักกลั่นโอสถอาวุโสจะสามารถทำได้วันละสองไห!
สุราปราบมารนับพันไหดูยิ่งใหญ่ตระการตานัก!
“สวรรค์! นี่มันต้องมีค่าเท่ากับหินวิญญาณเท่าไหร่กัน!” ซีหลินตาเป็นประกาย เขาไม่จำเป็นต้องเรียนวิชาปรุงอาหารวิญญาณพิเศษอะไรแล้ว เพียงแค่ทำสุราปราบมารเป็นย่อมนำพาพวกเขาไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้แล้ว!
หลิงเยว่มองสุราปราบมารราวกับมองภูเขาหินวิญญาณ แววตาของนางพลันเปล่งประกายอย่างน่ากลัว