ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 246 เหตุใดถึงมองข้าแบบนั้น?
บทที่ 246 เหตุใดถึงมองข้าแบบนั้น?
สนามรบโบราณเฉียนซี อสุรกายที่หลับใหลมานานได้ตื่นขึ้นแล้ว!
ผู้บำเพ็ญที่ได้รับข่าวการเปิดก่อนกำหนดของวิหารเสินโม่ต่างพากันบินด้วยความเร็วสูงสุดมุ่งหน้าสู่สนามรบ บนท้องฟ้ามีแสงระยิบระยับนับไม่ถ้วนวาบผ่านอย่างรวดเร็ว…
ผู้บำเพ็ญทุกคนที่รออยู่ด้านนอกต่างใจหายใจคว่ำ มีทั้งความคาดหวัง ความกลัว และความตื่นเต้นที่บรรยายไม่ถูก ราวกับโอกาสครั้งยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึงในอึดใจเดียว
ส่วนหลิงเยว่ผู้ปลุกอสุรกายให้ตื่นขณะนี้กำลังวิ่งหนีตายสุดชีวิต ขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึก พลังกำลังถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว อีกาสุริยันตัวน้อยที่นั่งอยู่บนตันเถียนคอยเร่งเร้าให้เร็วขึ้น ยิ่งทำให้นางรู้สึกกดดันเป็นทวีคูณ
หัวหน้าตะขาบมรกตน้ำลายแทบแห้งสนิท แต่ยังคงมีสัตว์อสูรน่าเกลียดนับไม่ถ้วนวิ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ราวกับ… ไม่ได้กินเนื้อสดมาหลายพันปี เหมือนกับตัวเขามันเมื่อก่อนไม่มีผิด
“ข้าไม่ไหวแล้ว” หัวหน้าตะขาบมรกตที่ปากแห้งคอแห้งหยิบชานมสมุนไพรออกมาดื่มรวดเดียว เมื่อเทียบกับสุราพืชวิเศษแล้ว ชาหวาน ๆ มีกลิ่นนมชัดเจนเหมาะกับรสนิยมของมันมากกว่า
“เจ้าคิดว่าข้าไหวหรือ?” หลิงเยว่ปอดแทบระเบิด สองขาไม่มีทางวิ่งเร็วกว่าสี่ขาได้หรอก สนามรบรบบ้าบออะไรนี่ ทำไมยังต้องจำกัดการบินอีก!
“อาจารย์หลิงระวัง!”
ฮวนฮวนตะโกนเตือน หลิงเยว่รีบเอนตัวไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว สัตว์อสูรสีดำทะมึนวิ่งผ่านนางไป หลบได้ตัวหนึ่ง แต่ยังมีอีกนับไม่ถ้วน
หลิงเยว่ถูกกลืนหายไปในทันที
เมื่อปากอันเหม็นคาวกำลังจะงับลงมา หลิงเยว่ที่ถูกกระแทกล้มก็หายตัวไป
สัตว์อสูรที่งับ “?”
มนุษย์ที่ดูน่ากินตัวนั้นหายไปไหนแล้ว?
ตุบ ๆ ๆ…
สัตว์อสูรยังคงใช้ร่างกายของตนเองสร้างภูเขาสูง พื้นดินสั่นสะเทือน เสียงคำรามดังขึ้นทั่วทุกทิศ
หลิงเยว่ผู้กลายเป็นต้นหญ้าเล็ก ๆ วิ่งด้วยรากของนางใต้ผืนดิน นางดื่มชารู้แจ้งไปนับไม่ถ้วน และไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าใด ในที่สุดก็ได้เห็นแสงสว่างเล็กน้อย
หัวหน้าตะขาบมรกตกระพือปีกเล็ก ๆ ของตน สัตว์อสูรที่ผ่านไปมองเขาอย่างคุ้นเคย ทำให้มันรู้สึกงุนงง ที่แท้เป้าหมายของพวกอสูรก็มีเพียงหลิงเยว่เท่านั้น
จู่ ๆ ก็รู้สึกหดหู่ เขาผู้เป็นถึงหัวหน้าเผ่าตะขาบมรกต กลับด้อยกว่าเจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยอีกหรือ!
หัวหน้าตะขาบมรกตที่โมโหพ่นน้ำลายใส่สัตว์อสูรที่ผ่านไป จากนั้นก็กลายร่างเป็นมนุษย์ มองข้ามปีศาจและสัตว์อสูร เดินตามกลิ่นของหลิงเยว่ไป
วิ่งมาตั้งครึ่งวัน เหมือนกับเดินได้ไม่กี่ก้าว
หลิงเยว่ที่ถูกดึงขึ้นมาจากใต้ดินกะทันหัน โบกใบเล็ก ๆ ของนาง รากของนางปลิวว่อน จนกระทั่งจำได้ว่าผู้ที่มองนางด้วยสายตาเหมือนคนโง่คือหัวหน้าตะขาบมรกต นางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
นางไม่ได้วิ่งออกไปแล้วหรอกหรือ?!
หลิงเยว่มองไปรอบ ๆ ลมหายใจที่ปล่อยออกมาก็ถูกดึงกลับไปอีกครั้ง นางรู้สึกราวกับว่าตัวเองวิ่งจนแก่ แล้วแสงแห่งชัยชนะอยู่ตรงหน้า แต่สุดท้ายแสงนั้น… กลับเป็นหัวหน้าตะขาบมรกตที่ขุดนางขึ้นมา!
ต้นหญ้าเล็ก ๆ ทั้งต้นหมดแรง
เมื่ออาหารของเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ในปากบินหนีไป ทำให้พวกมันต่างบ้าคลั่ง แล้วเริ่มค้นหาทั่วสนามรบ สัตว์อสูรชั้นต่ำที่ผ่านไปถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หญ้าบนพื้นถูกทำลายจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง ขอเพียงแค่กลิ่นแปลกปลอมพวกมันก็ไม่ปล่อยให้รอด!
หัวหน้าตะขาบมรกตที่กำลังจะออกจากสนามรบอันเหม็นสาบพร้อมกับต้นหญ้าเล็ก ๆ ในมือ ไม่ทันระวังตัวก็ถูกสัตว์อสูรที่พุ่งออกมากะทันหันชนเข้าอย่างจัง หลิงเยว่ในมือก็ถูกชนกระเด็นออกไปด้วย
หัวหน้าตะขาบมรกตถูกล้อมไว้ หลิงเยว่ที่ตกลงพื้นในชั่วขณะที่กำลังจะถูกเหยียบจนแหลกก็รีบมุดลงดินไป
หัวหน้าตะขาบมรกตที่มีระดับการบำเพ็ญขอบเขตทะยานเซียน ย่อมไม่ถูกสัตว์อสูรที่มีกำลังเพียงขอบเขตจินตาน และปฐมวิญญาณล้อมจนตาย แต่หลิงเยว่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น สุดท้ายนางจึงต้องพึ่งรากเล็ก ๆ เท่าเส้นผมของตัวเองหนีอีกครั้ง
ผู้บำเพ็ญที่รออยู่ข้างนอกร้อนใจยิ่งนัก พวกเขารอมาตั้งสามวันแล้ว เสียงดังสนั่นจากสนามรบยิ่งดังขึ้นทุกวัน ตามหลักแล้วเวลาที่สัตว์อสูรตื่นขึ้นมาก็คือเวลาที่ประตูวิหารเสินโม่เปิดออก แต่ตอนนี้…
“ไม่ได้ ข้าจะเข้าไปดูข้างใน!”
ผู้บำเพ็ญที่รอไม่ไหวไม่สนใจคำคัดค้านของเพื่อน พุ่งเข้าไปในหมอกมารโดยไม่ทันได้สังเกตก็มีปีศาจตัวหนึ่งกระโจนเข้ามาหา
ปีศาจที่มีหมอกมารห่อหุ้มทั่วร่าง มีดวงตาสีดำใหญ่ไม่มีตาขาว อ้าปากกว้าง น้ำลายสีดำเหม็นคาวหยดลงมา ตอนที่มันกำลังจะกลืนกินผู้บำเพ็ญที่อยู่ใต้เท้า ผู้บำเพ็ญที่ถูกกระแทกล้มกลั้นความรู้สึกอยากอาเจียน ชกหมัดเข้าใส่ปีศาจ
ผู้บำเพ็ญที่เข้าไปดูสถานการณ์ในสนามรบมีมากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่มารวมตัวกันอยู่นอกหมอกมารก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน…
“ท่านพี่อวี้?” สือเชี่ยนเผลอมองไปเห็นอวี้เจินตัวจริงที่มาพร้อมกับเด็กหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งอย่างเหน็ดเหนื่อย
“มองข้าแบบนั้นทำไม?”
อวี้เจินถูกมองจนรู้สึกแปลก ๆ ใช่ นางมาอย่างร้อนรนไม่ทันได้ล้างหน้าแต่งตัว แต่ก็แค่ผมเผ้ารุงรังนิดหน่อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมองนางด้วยสายตาแปลก ๆ
สือเชี่ยนรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่ แค่ไม่ได้เจอท่านพี่อวี้เจินมานาน เลยตกตะลึงในความงามของท่านพี่”
อวี้เจิน “…”
ถ้าไม่ได้ส่องกระจก นางก็เกือบจะเชื่อแล้ว
“ท่านพี่เฉียน ท่านก็เจอผู้หญิงชุดดำคนนั้น…”
เด็กหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ ฉีซิวซีก็ปิดปากเขาอย่างรวดเร็ว “อย่าพูดมั่ว เข้าใจหรือไม่?”
“อืม… อื้อ…”
หลังจากที่เด็กหนุ่มพยักหน้ารับปากแล้ว ฉีซิวซีจึงปล่อยมือ แต่อวี้เจินไม่ใช่คนโง่ จะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าพวกเขามีท่าทีแปลก ๆ
นางกำลังจะถามต่อ พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงกว่าครั้งก่อน ๆ ตามมาด้วยวังสีดำที่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาจากใต้ดินท่ามกลางหมอกมาร
เมื่อถึงเวลาเปิดวิหารเสินโม่ ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเปิดเร็วขึ้น!
แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ชะล่าใจ ตามที่ผู้บำเพ็ญที่เข้าไปสำรวจสถานการณ์กล่าวว่า ปีศาจที่ตื่นขึ้นมาไม่รู้ว่าเป็นอะไร กลับเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน พอเห็นคนก็จะเข้าโจมตีทันที บ้าคลั่งยิ่งกว่าปีศาจในที่อื่น ๆ รอก่อนเถิด… รอจนกว่าวิหารเสินโม่จะเผยโฉมออกมาให้เห็นชัดเจนก่อน
หลิงเยว่ที่กำลังหนีอยู่ แม้จะรู้ว่าวิหารเสินโม่ปรากฏขึ้นแล้ว แต่นางไม่ได้รีบวิ่งกลับไปในทันที เพราะอีกไม่นานนางก็จะวิ่งหนีออกจากพื้นที่ที่มีไอปีศาจปกคลุมแล้ว
อา… นางเหมือนจะได้กลิ่นอากาศบริสุทธิ์ ยังได้กลิ่นหอมของไก่ย่าง แถมยังมีกลิ่นไหม้ด้วย…
ย่างไก่ทั้งตัวยังไหม้ได้อีกหรือ?
หลิงเยว่ใช้แรงเพื่อโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน แต่กลับโผล่ขึ้นมาไม่ได้?
ลองใช้แรงอีกครั้ง!
ก็ยังไม่ได้ นางไม่เชื่อหรอก! หนีจากเงื้อมมือปีศาจมาได้แล้ว จะโผล่ขึ้นมาจากดินยังติดขัดอยู่ได้อีกหรือ?
โม่จวินเจ๋อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติใต้เท้า เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังชนอยู่ที่พื้นรองเท้า เพิ่งจะขยับเท้าออก ต้นหญ้าเขียวสดต้นหนึ่งก็โผล่หัวขึ้นมา
ต้นหญ้าส่ายหัวไปมาก่อน ท่าทางราวกับคน ใช้ใบซ้ายขวาเกาะขอบหลุม ใช้รากเหมือนขาคนตะกายหลุม แล้วค่อย ๆ ปีนขึ้นมาจากหลุมดิน
ต้นหญ้านอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ราวกับคนที่รอดชีวิตจากวิกฤตมาได้ มันกำลังหอบหายใจถี่
หญ้ามีสติปัญญาด้วยเหรอ?
โม่จวินเจ๋อถือไก่ที่ไหม้ดำไปครึ่งตัว จ้องมองต้นหญ้าที่นอนราบอย่างเงียบ ๆ
หลิงเยว่ที่พักหายใจเสร็จแล้ว หันหน้ากลับมา ก็เผชิญหน้ากับดวงตาคู่สวยพอดี นางถอยหลังแล้วมองให้ดีอีกครั้ง หืม?
หนุ่มหล่อคนนี้ดูคุ้นตาจัง เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน?
ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่ามองกันและกันมานานเท่าใดแล้ว ในที่สุด… หลิงเยว่ก็จำโม่จวินเจ๋อที่ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว แต่ยังมีร่องรอยความเป็นเด็กหนุ่มหลงเหลืออยู่ได้
นางจึงคลานเข้าไปกอดขาของเขาไว้