ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 247 ไม่มีคนปกติบ้างเลยหรือ?
บทที่ 247 ไม่มีคนปกติบ้างเลยหรือ?
เมื่อโม่จวินเจ๋อถูกต้นหญ้าประหลาดกอดขาไว้ แม้เขาจะพยายามสะบัดออกเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่หลุด หลังจากยืนยันแล้วว่าต้นหญ้านี้แค่แปลกประหลาดไปสักหน่อย ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไร เขาจึงเอ่ยปากถาม
“เจ้าเป็นสิ่งของอะไรกัน?”
เจ้าสิเป็นสิ่งของ ทั้งตระกูลเจ้าล้วนเป็นสิ่งของด้วย!
หลิงเยว่บ่นงึมงำในใจและยังคงกอดขาของชายหนุ่มไว้แน่น
หัวหน้าตะขาบมรกตที่หนีออกมาได้ ตามกลิ่นของหลิงเยว่มาจนพบกับโม่จวินเจ๋อ
“หัวหน้าตะขาบมรกต?”
ในเมื่อหัวหน้าตะขาบมรกตอยู่ที่นี่ หลิงเยว่ต้องอยู่ด้วยแน่นอน โม่จวินเจ๋อก้มลงมองต้นหญ้าประหลาดตรงหน้า
“หลิงเยว่?”
หลิงเยว่ในร่างต้นหญ้าถูกยกขึ้นมาตรงหน้าชายหนุ่ม นางดีใจพลางกอดมือของโม่จวินเจ๋อ ชารู้แจ้งของนางผ่านการปรับปรุงแล้ว ระยะเวลาใช้งานจึงนานขึ้น แต่ข้อเสียคือพูดไม่ได้และไม่สามารถเปลี่ยนเป็นร่างคนได้เอง มีแต่ต้องรอให้หมดเวลาเท่านั้น
“ท่าน?”
หัวหน้าตะขาบมรกตเดินวนรอบโม่จวินเจ๋อสองรอบ มองจากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวา ดมไปดมมากว่าจะพบว่าเป็นคนคุ้นเคย
จากนั้นเขาก็คว้าไก่ย่างที่ไหม้เกรียมมากัดคำหนึ่ง แล้วรีบคายทิ้งทันที
“นี่มันอะไรกัน! ยังสู้ที่ฮวนฮวนย่างไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
ฮวนฮวนปัดกลีบดอกใหญ่ใส่หัวหน้าตะขาบมรกต แล้วบินมาเกาะมือโม่จวินเจ๋อ “อาจารย์ พี่ชายคนนี้หน้าตาดียิ่งนัก!”
โม่จวินเจ๋อมองดอกอวี้หลันฮวาสีทองครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองต้นหญ้าเล็ก ๆ
“เจ้าถูกไล่ล่าหรือ?”
หลิงเยว่พยักหน้า
“จัดการเสร็จแล้วหรือยัง?”
หลิงเยว่ส่ายหน้า จากนั้นจึงหันไปมองวิหารเสินโม่ที่สร้างเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ตราบใดที่นางยังเป็นพืช นางยังปกปิดพลังของตนเองได้ นี่เป็นโอกาสดีที่จะเข้าไป แต่ถ้าให้หลิงเยว่ใช้รากเล็ก ๆ ของนางวิ่งไปเอง บางทีนางอาจจะวิ่งไม่ถึงประตูใหญ่ด้วยซ้ำ ดังนั้นยานบินจึงมีความสำคัญมาก!
แม้หัวหน้าตะขาบมรกตจะใช้ได้ แต่จะไว้ใจเขาได้เท่าโม่จวินเจ๋อคนนั้นหรือ?!
โม่จวินเจ๋อเข้าใจความหมายของหลิงเยว่ จึงอธิบายว่า “ปีศาจในสนามรบกำลังคลั่ง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะเข้าไป”
หัวหน้าตะขาบมรกตรู้ว่าปีศาจคลั่งเพราะใคร จึงมองหลิงเยว่อย่างมีเลศนัย
“อ๊าก!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากสนามรบ ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ละอองเลือดปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราวท่ามกลางหมอกปีศาจ
“ผู้บำเพ็ญขอบเขตทะยานเซียนขึ้นไปห้ามเข้า ใครเข้าไปต้องตาย!”
น้ำเสียงนั้นอึมครึมฟังแล้วขนลุก
“!!!”
นั่นหมายความว่าผู้พิทักษ์เพียงหนึ่งเดียวของนางก็เข้าไปไม่ได้หรือ!
ถ้าหญ้าร้องไห้ได้ ตอนนี้น้ำตาของหลิงเยว่คงกว้างเท่าเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นแน่! หัวหน้าตะขาบมรกตเข้าไปไม่ได้ แล้วนางจะฆ่าร่างแยกของจอมปีศาจด้วยกำลังของนางที่อยู่เพียงขอบเขตจินตานขั้นต้นเพียงคนเดียวได้อย่างไร?
ในเมื่อมีข้อจำกัดเรื่องระดับการบำเพ็ญ นั่นไม่ได้หมายความว่าร่างแยกของจอมปีศาจอาจจะอยู่ในขอบเขตปฐมวิญญาณหรอกหรือ?
งานบ้าบออะไรนี่ ไม่ทำก็ได้!
“เจ้ามนุษย์เปราะบาง นี่ไม่ใช่ความผิดของข้า”
หัวหน้าตะขาบมรกตไม่สามารถควบคุมสีหน้าได้ มุมปากของเขายกสูงขึ้น จากนั้นก็คว้าตัวฮวนฮวนที่เกาะแขนของโม่จวินเจ๋อไว้ “ข้ากับฮวนฮวนจะรอเจ้าอยู่ข้างนอกแล้วกัน”
“ไม่เอา! ข้าจะไปกับท่านอาจารย์ ฮวนฮวนจะปกป้องท่านอาจารย์เอง!”
หลิงเยว่รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก นี่ต้องเป็นศิษย์ของนางอย่างแท้จริง! แต่ถ้าพาฮวนฮวนเข้าไปแล้วถูกร่างแยกของจอมปีศาจกลืนกินจะทำอย่างไรเล่า?
ดอกไม้โลหิตปีศาจเป็นของบำรุงชั้นดีสำหรับจอมปีศาจ นางไม่อาจพาฮวนฮวนเข้าไปเสี่ยงอันตรายได้
โม่จวินเจ๋อแตะใบของหลิงเยว่ “ถึงขั้นต้องเสี่ยงถูกไล่ล่า เจ้าต้องการอะไรในวิหารเสินโม่อย่างนั้นหรือ?”
หลิงเยว่ม้วนรอบนิ้วชี้ของโม่จวินเจ๋อ แล้วดึงเขาไปข้างหน้า
“รออีกสองสามคนเถิด การเข้าวิหารเสินโม่ต้องใช้อย่างน้อยสามถึงห้าคนจะดีที่สุด”
โม่จวินเจ๋อเอียงหน้ามองไปทางซ้าย มีเสียงกุกกักดังมาจากทางนั้น ตามมาด้วยร่างที่ดูอิดโรยวิ่งออกมา
“โม่จวินเจ๋อ เจ้าหลบเก่งเกินไปแล้ว!” ลู่เป่ยเหยียนแลบลิ้น กลิ้งไปมา และคลานอยู่พักใหญ่กว่าจะมาถึงตรงหน้าหลิงเยว่
“หัว หัว… หัวหน้าตะขาบมรกต?”
ลู่เป่ยเหยียนที่เพิ่งจะหายเหนื่อย เมื่อเห็นตัวจริงของหัวหน้าตะขาบมรกตราวกับลิ้นคับปาก พลางชี้นิ้วไปที่เขาด้วยเนื้อตัวสั่นเทา!
“พี่ใหญ่! ข้าบอกแล้วว่าข้าได้กลิ่นของพี่ใหญ่ เจ้ายังไม่เชื่อ!”
ตะขาบมรกตตัวที่สี่บินวนรอบหัวหน้าของตนด้วยความตื่นเต้น
“แล้ว… ศิษย์น้องหลิงเล่า?” ลู่เป่ยเหยียนถามเสียงเบา ก้มหน้าก้มตาสังเกตรอบด้าน แต่ไม่พบร่างของหลิงเยว่
“อยู่นี่”
โม่จวินเจ๋อเปิดฝ่ามือให้ลู่เป่ยเหยียนเห็นต้นหญ้าเล็ก ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะรับไป เขาก็หุบมือกลับทันที
“ศิษย์น้อง เจ้าเป็นอะไรไป? ใครทำร้ายเจ้า? บอกมาเถิด ข้าจะไปแก้แค้นให้เจ้าเอง!”
“ศิษย์น้องอะไร ศิษย์น้องไหน?” อีกสองคนโผล่ออกมาจากพงหญ้า
เมื่อเห็นชายหญิงที่โผล่ออกมา ร่างของหลิงเยว่พลันยืดตัวขึ้น ที่แท้เป็นศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สาม
ด้วยฝีมือของแต่ละคนแล้ว การฟันร่างแยกของปีศาจเป็นแปดท่อนนั้นเหลือเฟือ นางไม่แม้แต่จะสนใจหัวหน้าตะขาบมรกตเลยแม้แต้น้อย!
ว่านอวี้เฟิงและติงหลิวหลิ่วมองหัวหน้าตะขาบมรกตที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ใส่ใจ พลางสบตากันอย่างงุนงง ไม่แปลกใจที่ตะขาบมรกตของพวกเขาจะตื่นเต้นตลอดทาง
นั่นหมายความว่า ศิษย์น้องห้าออกจากเมืองฝู่ซางและมาที่นี่ด้วย?
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ศิษย์น้องเป็นอะไรไป?!”
ติงหลิวหลิ่วคว้าปกเสื้อของลู่เป่ยเหยียน เส้นเลือดที่มือปูดโปน นางได้ยินประโยคนั้นแล้วจินตนาการถึงวิธีการตายต่าง ๆ ของศิษย์น้องห้า ความเศร้าโศกพลันท่วมท้น
“ศิษย์น้อง เจ้าต้องตายอย่างน่าสังเวช รอให้ศิษย์พี่คนนี้ออกจากวิหารเสินโม่ก่อนเถิด ข้าจะไปหอจี้ซื่อเพื่อแก้แค้นให้เจ้าเอง!”
“ศิษย์น้องประสบเคราะห์กรรมจริง ๆ หรือ?”
ว่านอวี้เฟิงตกตะลึง เขามองหัวหน้าตะขาบมรกตอย่างเลื่อนลอย หวังว่าอีกฝ่ายจะส่ายหัวปฏิเสธ แต่หัวหน้าตะขาบมรกตกลับตอบเขาด้วยความเงียบ
พี่น้องร่วมสำนักทั้งสองกอดคอร้องไห้ทันที
หลิงเยว่ โม่จวินเจ๋อและลู่เป่ยเหยียน “…”
พูดถึงเรื่องจินตนาการ ศิษย์ร่วมสำนักของยอดเขาโอสถถือว่ามีความคิดที่เลิศล้ำยิ่งนัก!
“บ้าไปแล้ว!” หัวหน้าตะขาบมรกตพูดประชดประชัน เห็นแบบนี้แล้ว เจ้ามนุษย์เปราะบางยังดูปกติดีกว่าเสียอีก
ลู่เป่ยเหยียนดึงสองคนบ้าที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก แล้วชี้ไปที่โม่จวินเจ๋อ
สองคนที่ร้องไห้จนตาบวมมองไปที่โม่จวินเจ๋อ หลังจากนั้นพวกเขาก็ปัดมือลู่เป่ยเหยียนออก แล้วร้องไห้กันต่อ
“ไม่ได้! พวกเราต้องบอกเรื่องนี้กับอาจารย์!”
ว่านอวี้เฟิงหยิบศิลาสื่อสารออกมา แต่เมื่อกำลังจะพูด โม่จวินเจ๋อก็แย่งไปเสียก่อน “เจ้าอย่าโง่ไปหน่อยเลย ตอนนี้ศิษย์น้องของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ดี”
“แล้วตัวนางอยู่ไหนเล่า!”
ติงหลิวหลิ่วมองไปรอบ ๆ สุดท้ายนางก็สังเกตเห็นต้นหญ้าเล็ก ๆ มันดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“ศิษย์น้อง!”
ติงหลิวหลิ่วคว้าต้นหญ้ามาถูไถกับใบหน้าของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้นหญ้านี้คล้ายกับตอนที่พวกนางหนีตายออกมาจากหมู่บ้านต้าสี่มาก ที่แท้ศิษย์น้องของนางได้กินชานั่นเข้าไปนี่เอง!
หลิงเยว่ยืดใบออก แล้วถูไถกับใบหน้าของติงหลิวหลิ่วด้วย
ติงหลิวหลิ่วที่ได้รับการตอบสนองเช่นนั้นก็ยิ่งถูไถมากขึ้น โม่จวินเจ๋อกลัวว่าคนหน้าด้านนี่จะถูจนร่างของหลิงเยว่พังเสียก่อน เขาจึงแย่งกลับมาอีกครั้ง
หลิงเยว่ที่กลายร่างเป็นพืชดูเปราะบางมาก ทนการถูไถเช่นนั้นของนางไม่ไหวแน่!
“เจ้าจะบอกว่านี่คือศิษย์น้องห้าหรือ?”
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ห้า’ ว่านอวี้เฟิงพลันลดเสียงลง แม้ว่าตอนนี้ผู้บำเพ็ญทั้งหมดจะสนใจเพียงวิหารเสินโม่ที่กำลังจะเปิดออก แต่หากมีใครสังเกตเห็นสิ่งนี้ขึ้นมาเล่า?
ท้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขากับหลิงเยว่นั้นลึกซึ้งยิ่ง และหากพวกเขาเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในตอนนี้ คงไม่มีทางที่จะไม่มีใครสังเกตเห็นหรอก!