ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 249 พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร?
บทที่ 249 พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร?
การฆ่าฟันระหว่างผู้คนดำเนินมาอย่างยาวนาน กลิ่นคาวเลือดในอากาศหนาแน่นผิดปกติ จนกระทั่งประตูหินเปิดออกครึ่งหนึ่ง เสียงร้องโหยหวนจึงเริ่มอ่อนลง
พวกเขาไม่รู้ว่าด้านนอกประตูคือเขตแดนชำระล้าง ส่วนด้านในกลับเป็นประตูนรก
ผู้บำเพ็ญคนแรกที่แทรกผ่านประตูหินได้สำเร็จ ถูกปากขนาดมหึมากลืนกินลงไปต่อหน้า หลิงเยว่ได้ยินเสียงเคี้ยวกรามที่ดังออกมา ทำให้นางเกือบหัวใจหยุดเต้น โชคดีที่นางช้ากว่าคนอื่น ไม่เช่นนางคงตายไปแล้ว
“นี่มันวิหารเสิ่นโม่อะไรกัน? มันเป็นวิหารปีศาจชัด ๆ!”
ว่านอวี้เฟิงยืนขวางอยู่ด้านหน้าของหลิงเยว่ มองภาพสีดำด้านในประตูหิน พลางถอยหลังทีละก้าว “หรือพวกเราควรจะจากไปดี ที่นี่ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนมาถวายเครื่องบูชาให้อะไรสักอย่าง”
มาถวายเครื่องบูชาให้ร่างแยกของจอมปีศาจ
นี่คือสิ่งเดียวที่หลิงเยว่นึกออก และไม่น่าจะผิดพลาด
“หนีไม่ได้แล้ว”
โม่จวินเจ๋อมองผู้บำเพ็ญที่พยายามออกจากม่านป้องกัน แต่ออกไปไม่ได้เลย ม่านป้องกันที่แต่เดิมไร้อันตรายและสามารถปกป้องพวกเขาได้ ตอนนี้กลับกลายเป็นคุกที่น่ากลัว เพียงแค่พยายามสัมผัสก็กลายเป็นหมอกเลือดแล้ว
ตอนนี้หนทางเดียวที่จะออกไปได้ น่าจะเป็นวิหารหลังนี้
หลิงเยว่กะพริบตาที่เรียวยาว กระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของติงหลิวหลิ่ว “ศิษย์พี่ ข้าจะพาพวกท่านออกไป”
“ข้าแค่ล้อเล่นน่ะศิษย์น้อง ในเมื่อมาถึงแล้ว ถ้าไม่เข้าไปสำรวจให้ถ้วนถี่ มันจะไม่เสียเที่ยวหรอกหรือ?”
แม้ว่านอวี้เฟิงมีความคิดที่จะถอยกลับ แต่ยังไม่ทันได้เข้าประตูวิหารก็หนีไปแล้ว พูดออกไปจะไม่อับอายเกินไปหรือ?
“ศิษย์น้อง เจ้ามีวิธีพาคนออกไปได้หรือ?” ลู่เป่ยเหยียนนึกถึงลูกศิษย์กลุ่มเล็ก ๆ ที่อวี้เจินนำมา ทั้งหมดคืออนาคตของสำนักหลานเทียน หากตายที่นี่ โชคชะตาของอวี้เจินเมื่อกลับไปคงจะเลวร้ายมาก
หลิงเยว่พยักหน้าในขณะที่ประตูหินยังไม่เปิดออกจนสุด นางสามารถพาพวกเขาออกไปก่อนได้
“ทุกคนรู้ว่าอวี้เจินนำศิษย์กลุ่มหนึ่งเข้ามา ถึงแม้ว่าจะมีผู้บำเพ็ญในขอบเขตจินตานและขอบเขตปฐมวิญญาณจากสำนักเดียวกันมาด้วยไม่น้อย…”
“ตามข้ามา”
โม่จวินเจ๋อถือดาบนำทางอยู่ด้านหน้า แต่เดิมพวกเขาแบ่งออกเป็นยี่สิบทีม เข้าวิหารจากประตูหินที่แตกต่างกัน แต่เมื่ออันตรายเช่นนี้ ชัดเจนว่าไม่เหมาะสำหรับการฝึกฝนของศิษย์น้อง
ห่างออกไป หลิงเยว่เห็นเด็กหนุ่มที่เคยพบกันครั้งหนึ่งในการต่อสู้อันวุ่นวาย อวี้เจินต่อสู้จนเลือดท่วมตัวเพื่อปกป้องพวกเขา ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด…
“พวกเจ้ามาได้อย่างไร!”
อวี้เจินเห็นโม่จวินเจ๋อราวกับเห็นดาวแห่งการช่วยชีวิต
หลิงเยว่กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเด็กหนุ่ม จากนั้นหันไปบอกลู่เป่ยเหยียนว่า “ช่วยข้าเปิดทางให้ศิษย์พาคนอื่น ๆ ไปที่ม่านป้องกันอย่างเงียบ ๆ เข้าใจหรือไม่?”
เด็กหนุ่มมองไปที่อวี้เจินด้วยความงุนงง แต่ถูกติงหลิวหลิ่วดึงตัวไปเสียก่อน ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าศิษย์พี่ห้ามีวิธีพาศิษย์น้องออกไปได้อย่างไร แต่การฟังคำสั่งไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน!
นางเชื่อใจศิษย์พี่หญิงห้า!
ศิษย์สำนักหลานเทียนที่มาถึงด้านหน้าปราการป้องกันต่างหวาดกลัวยิ่งนัก เลือดเหนียว ๆ ใต้เท้ากำลังบอกพวกเขาถึงผลลัพธ์ของการสัมผัสปราการป้องกันและพยายามออกไป
ต้องตายแน่!
ยังไม่เท่ากับบุกเข้าไปในวิหารที่ยังมีความหวังรอดชีวิตอยู่บ้าง
หลิงเยว่กระโดดออกไป โม่จวินเจ๋อยื่นมือออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่กลับสัมผัสได้เพียงขนนุ่ม ๆ
ฉากที่สุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลกลายเป็นแอ่งเลือดไม่ได้ปรากฏขึ้น หลิงเยว่ที่ยืนอยู่ด้านนอกม่านป้องกันยื่นอุ้งเท้าไปหาคนด้านใน “จับข้าไว้ ข้าจะดึงพวกเจ้าออกมา”
ไม่มีใครขยับ
หลิงเยว่ “…”
นางยอมเสี่ยงเปิดเผยตัวตนเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น แต่เขากลับไม่ยอมออกมา!
ในขณะที่หลิงเยว่กำลังจะถอนกรงเล็บออก มือเย็นเฉียบข้างหนึ่งก็คว้ากรงเล็บของนางไว้
“ท่านอาจารย์!”
เด็กหนุ่มมองอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นโม่จวินเจ๋อถูกดึงออกมานอกม่านป้องกัน
“ออกมาเดี๋ยวนี้ อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีก”
คำพูดเย็นชาของโม่จวินเจ๋อได้ผล มือที่สองรีบคว้ากรงเล็บของหลิงเยว่อย่างรวดเร็ว
ลูกศิษย์ที่ออกมาได้อย่างปลอดภัยลูบตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ พวกเขาออกมาได้จริง ๆ หลังจากหนีตายมาได้ ทำให้พวกเขาตื่นเต้นจนแทบคลั่ง
เมื่อช่วยคนจากสำนักหลานเทียนออกมาได้เกือบหมดแล้ว หลิงเยว่รีบดื่มชาเปลี่ยนร่างอีกถ้วยก่อนที่ฤทธิ์ชาจะหมดลง
“ช่วยข้าด้วย…”
ร่างคนเต็มไปด้วยเลือดยื่นมือมาหาหลิงเยว่ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่
เมื่อสังเกตเห็นว่ามีคนสามารถออกไปได้โดยอาศัยสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาล ผู้บำเพ็ญ จำนวนไม่น้อยที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนพลันวิ่งกรูเข้ามามองจิ้งจอกนอกปราการป้องกัน ด้วยสายตาวิงวอน
“ประตูหินกำลังจะปิดแล้ว!”
เสียงของอวี้เจินดังก้อง แม้หลิงเยว่จะนึกถึงภารกิจของตน แต่ตรงหน้ามีดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังมากมายขนาดนี้ นาง…
อีกห้านาที นางจะช่วยอีกห้านาที หลังจากห้านาทีผ่านไปคงต้องปล่อยให้พวกเขาช่วยเหลือตัวเองแล้ว
หลิงเยว่ยื่นกรงเล็บไปหาคนแรกที่ขอความช่วยเหลือจากนาง
สตรีที่แต่เดิมมีแววตาหม่นหมองกลับมีดวงตาเป็นประกาย นางคว้ากรงเล็บของ หลิงเยว่ไว้แน่นแล้วลากคนออกไป จากนั้นนางก็ยื่นกรงเล็บออกไปอย่างรวดเร็ว
ห้านาทีเพียงพอจะช่วยคนออกมาได้หลายสิบคนแล้ว เมื่อถึงเวลา หลิงเยว่จึงรีบกระโดดเข้าไปในม่านป้องกัน ในขณะที่ประตูหินปิดลงหนึ่งในสาม นางก็รีบแทรกตัวเข้าไปทันที โดยมีโม่จวินเจ๋อตามมาติด ๆ ต่อด้วยติงหลิวหลิ่ว ว่านอวี้เฟิง ลู่เป่ยเหยียนและอวี้เจิน
กรร!
ปากอันเหม็นคาวหันมาคำรามใส่หลิงเยว่ นางมองเห็นเขี้ยวแหลมของสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อของมนุษย์ติดอยู่ ขนของมันตั้งชันขึ้นเพราะลมหายใจ
สุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลที่คล่องแคล่วถอยหลังกะทันหัน ในขณะที่กำลังจะถูกกลืนกินในคำเดียว มันยังตีลังกากลางอากาศหลายตลบเพื่อหลบการโจมตี
โม่จวินเจ๋อคว้าตัวหลิงเยว่ที่พุ่งเข้ามาหานาง พลันชักกระบี่ออกมาต่อสู้กับสัตว์อสูรที่กำลังโกรธเกรี้ยว
กึก ๆ!
“มันถูกล่ามโซ่ไว้!”
อวี้เจินคว้าโซ่ที่หนากว่าตัวนางไว้ มือทั้งสองข้างเปล่งประกายสีทอง นางออกแรงดึงเข้าหาตัวเองสุดกำลัง ร่างของสัตว์อสูรที่กำลังแผดเสียงคำราม โบกกรงเล็บ พลันถอยหลังไปหลายก้าว
ลู่เป่ยเหยียนและโม่จวินเจ๋อฉวยโอกาสต่างคนต่างแทงไปที่ดวงตาสีแดงในความมืด ติงหลิวหลิ่วและว่านอวี้เฟิงเรียกเถาวัลย์ออกมาพร้อมกัน พวกเขาพันรอบตัวสัตว์อสูรนั้น แล้วดึงไปด้านหลัง
ทั้งห้าคนประสานงานกันอย่างลงตัว สัตว์อสูรที่ถูกแทงตาทั้งสองข้างโกรธเกรี้ยว ปากที่อ้ากว้างรวบรวมสายฟ้าสีดำ เมื่อหลิงเยว่เห็นดังนั้นนางก็หยิบยันต์ออกมาจำนวนมากส่งเข้าไปในปากขนาดใหญ่ตรงหน้า
อวี้เจินกระโดดขึ้นไปบนหัวของสัตว์อสูร กระแทกหมัดลงไปอย่างแรง ปากที่อ้ากว้างถูกหมัดหนึ่งทำให้ปิดลง
ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นจากท้องของสัตว์อสูร ตามมาด้วยควันสีดำขนาดใหญ่
สัตว์อสูรตายแล้ว…
แสงจากโคมไฟในวิหารส่องสว่าง เผยให้เห็นภาพวาดปีศาจรูปร่างแปลกประหลาดบนผนัง
“ที่นี่ไม่ใช่วิหารเสิ่นโม่”
โม่จวินเจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ มันดูเหมือนกรงขังปีศาจของจอมมารมากกว่า!
โครกคราก!
ไม่รู้ว่าเป็นท้องของใครที่หิวโหย เสียงดังก้องไปทั่ววิหารกว้างใหญ่
“ท่านลู่ แค่มองพวกสัตว์อสูรอัปลักษณ์พวกนี้ ท่านก็หิวแล้วเหรอ?” อวี้เจินล้อเลียน
ลู่เป่ยเหยียนโต้กลับอย่างไม่พอใจ “เจ้าต่างหากที่หิว เสียงดังขนาดนั้นจะเป็นเสียงของคนได้ยังไง?”
ในเมื่อไม่ใช่เสียงของคน…
ทุกคนต่างมองไปที่หลิงเยว่ที่นั่งอยู่บนไหล่ของโม่จวินเจ๋อ แม้แต่โม่จวินเจ๋อเองก็หันไปมองนางเช่นกัน
หลิงเยว่ “…”
พวกเขาหมายความว่ายังไง?
หรือคิดว่าเสียงนั้นมาจากนางที่เป็นสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลตัวเล็กน่ารักเช่นนั้นเหรอ?
ไม่ใช่นางสักหน่อย!
ต้องมีปีศาจซ่อนอยู่ในวิหารนี่แน่ ๆ!