ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 250 ใครจะเก่งกว่านางเรื่องการดึงดูดความเกลียดชัง
บทที่ 250 ใครจะเก่งกว่านางเรื่องการดึงดูดความเกลียดชัง
ภายในห้องโถงใหญ่สว่างไสวด้วยแสงเทียน ภาพวาดสัตว์ประหลาดบนผนังดูสมจริงเป็นพิเศษ เสียงท้องที่หิวโหยดังก้องไปทั่ว
ศัตรูที่มองไม่เห็นทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดและตึงเครียด
ตุบ… ตุบ…
เสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะท่ามกลางความหิวโหย ทำให้ขนของหลิงเยว่ลุกชัน ไม่ใช่เพราะนางกลัว แต่เป็นสัญชาตญาณของสัตว์ที่รับรู้ถึงอันตราย ดังนั้น ร่างกายจึงส่งสัญญาณเตือน
“ไม่พบกลไกที่ชั้นสองเลยนะ!”
ว่านอวี้เฟิงทั้งเอียงหูฟังและเคาะผนัง ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปหากลไกเช่นกัน แต่ไม่มีใครพบเลย
ไม่เจอกลไกก็ช่างเถอะ แต่กลับไม่เห็นคนเป็นอื่นนอกจากพวกเขา ทั้ง ๆ ที่ในช่วงสุดท้ายไม่ได้มีแค่พวกเขาหกคนที่เข้ามาด้วยซ้ำ!
“ทางนี้ก็ไม่มี แต่ว่า…”
ติงหลิวหลิ่วจ้องมองสัตว์ประหลาดบนภาพวาดที่ลืมตาครึ่งหนึ่ง พลันรู้สึกว่าดวงตาของมันจะลืมออกทั้งหมดในอีกครู่ ขณะที่นางกำลังจะง้างตาสัตว์ออกมา เสียงตกใจของอวี้เจินก็ดังขึ้นเสียก่อน
“พวกเจ้ารีบมาฟังตรงนี้เร็ว!”
อวี้เจินเอียงหูแนบกับผนังหิน ไม่ใช่เสียงหิวโหยหรือเสียงหัวใจเต้น แต่เป็นเสียงร้องโหยหวนของคนและเสียงกระดูกถูกบดเคี้ยวดังกรอบแกรบ
หลิงเยว่ฟังจนหัวใจเย็นเฉียบ ทั้งตัวพลันชาไปหมด
“ทางนี้ก็มี…”
ลู่เป่ยเหยียนที่กำลังหากลไกอยู่อีกด้านของผนังหิน รู้สึกเหมือนมีฝ่ามืออุ่น ๆ วางทับมือของเขา
เมื่อเขาขยับ ฝ่ามือนั้นก็ขยับตาม จากนั้นใบหน้าเปื้อนเลือดพลันปรากฏขึ้นบนผนัง ลู่เป่ยเหยียนเบิกตากว้าง สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ปากอ้าออกราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง ชั่วขณะต่อมาเขาก็ถูกสิ่งที่อยู่ด้านหลังกระชากไปทันที แล้วตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนอีกครั้ง
เสียงกรีดร้องทะลุผ่านกำแพง ส่งตรงไปยังหัวใจของลู่เป่ยเหยียน ขาทั้งสองของเขาอ่อนยวบ ก้นกระแทกลงบนพื้น ในตอนนี้บนกำแพงที่สะท้อนแสงสีอบอุ่น ยังมีใบหน้าชัดเจนของคนผู้หนึ่งประทับอยู่บนภาพวาดอสูรร้าย
“เสียงพวกนี้มาจากโถงใหญ่ข้าง ๆ ใช่หรือไม่…?”
ติงหลิวหลิ่วพูดเสียงเบาราวกับกลัวจะรบกวนอสูรร้ายบนภาพวาด
“ใช่แล้ว ยังมีผู้บำเพ็ญที่เข้ามาก่อนพวกเราถูกภาพวาดกินไปด้วย”
นี่เป็นครั้งแรกที่โม่จวินเจ๋อเจอสถานที่ชั่วร้ายเช่นนี้ อสูรร้ายบนภาพวาดไม่ได้ถูกวาดขึ้นมา แต่ถูกโยนเข้าไปตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วถูกผนึกไว้ด้วยพลังพิเศษ
ซึ่งหมายความว่าพวกมันยังมีชีวิตอยู่!
“พวกนี้เป็นอสูรร้ายจริง ๆ หรือ?”
หลิงเยว่ใช้กรงเล็บชี้ไปที่อสูรร้ายตรงหน้าที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยดวงตา ทั้งตัวเหมือนก้อนถ่านดำขนาดใหญ่ นางไม่แน่ใจว่าเป็นความรู้สึกผิดพลาดของนางหรือไม่ ตอนที่นางชี้ไป หนึ่งในดวงตาที่ปิดอยู่เปิดออกเล็กน้อย แสงสีแดงวาบผ่าน นางยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจน ดวงตานั้นก็ปิดลงอีกครั้ง
“อืม” โม่จวินเจ๋อพยักหน้า “พวกเราควรรีบขึ้นชั้นสองตอนที่พวกมันยังไม่ตื่นขึ้นมาดีกว่า”
“จะขึ้นไปได้อย่างไร?”
ทั้งห้าคนมองไปที่โม่จวินเจ๋อ เขาใจเย็นขนาดนี้ น่าจะรู้วิธีขึ้นไปชั้นสองแล้วใช่หรือไม่?
เมื่อเผชิญกับสายตาคาดหวังห้าคู่ โม่จวินเจ๋อจึงส่ายหน้าอย่างใจเย็น “ไม่รู้”
หลิงเยว่ตวัดหางปุกปุยใส่เขาทันที
“ศิษย์น้องห้า เจ้าควรตบเขาให้แรงกว่านี้ ตบให้หน้าของเขาพังไปเลย!”
ว่านอวี้เฟิงแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีความแค้นส่วนตัว
โม่จวินเจ๋อลูบใบหน้าที่ถูกหางจิ้งจอกตบ สีหน้าของเขากลายเป็นจริงจังผิดไปจากปกติ จากนั้นเขาก็อุ้มจิ้งจอกน้อยที่นั่งอยู่บนบ่าเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนและถอยหลังอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาขยับ คนอื่น ๆ ก็ขยับตาม
มวลสีดำขนาดใหญ่ที่มีแต่ดวงตาบนภาพจิตรกรรมฝาผนังลืมตาขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบ
แสงสีแดงนับไม่ถ้วนยิงไปยังจิตรกรรมฝาผนังโดยรอบ อสูรที่ถูกผนึกไว้ ต่างเคลื่อนไหวแล้ว!
โว้ย!
มีเพียงคำนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความรู้สึกของหลิงเยว่ได้ พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาก็ต้องเผชิญหน้ากับฝูงอสูรบนฝาผนังพวกนี้แล้ว แล้วข้างบนจะไม่อันตรายยิ่งกว่านี้หรือ?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างแยกของจอมปีศาจ มีองครักษ์คุ้มกันมากมายขนาดนั้น การจะฆ่าเขาแล้วยังต้องขุดหัวใจของเขาออกมา คงจะยากยิ่งกว่าการข้ามขอบเขตพ้นโลกีย์อีกกระมัง?
อสูรที่มีรูปร่างเป็นมวลสีดำในภาพจิตรกรรมฝาผนังยืดแขนขาของตัวเองออก บนแขนขาเรียวยาวนั้นเต็มไปด้วยดวงตา โชคดีที่หลิงเยว่ไม่มีอาการกลัวที่แออัด ไม่อย่างนั้นเพียงแค่ถูกจ้องมองแบบนี้ วิญญาณของนางต้องหลุดออกจากร่างไปแล้วเป็นแน่!
ทั้งห้าคนถืออาวุธหันหลังชนกัน เหงื่อบนหน้าผากของติงหลิวหลิ่วไหลลงมาถึงดวงตา นางแสบตามาก แต่ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา
หลิงเยว่ผู้เป็นคนว่างเพียงคนเดียวกำลังพยายามหากลไกไปยังชั้นสอง แต่ไม่มี… ไม่มีอะไรเลย
หรือว่าต้องฆ่าอสูรที่นี่ทั้งหมดก่อน ถึงจะขึ้นไปชั้นสองได้?
แค่พึ่งพาพวกเขาห้าคนครึ่งก็ยากเกินไปแล้ว
หลิงเยว่จัดประเภทตัวเองเป็นครึ่งคน แม้ว่านางจะสามารถใช้พลังของสุนัขจิ้งจอกได้ แต่ก็ยังไม่ชำนาญ พลังการต่อสู้เลย… ไม่ค่อยดีเท่าไร
“เจ้าอีกาสุริยัน เจ้าออกมาช่วยเผาพวกมันให้ตายสักครั้งเถอะ!”
อีกาสุริยันขยับหูน้อย ๆ แล้วพลิกตัวกลับไปย่อยหินหงส์ไฟในร่างกายต่อ หากนางไม่สามารถจัดการพวกตัวเล็ก ๆ พวกนี้ได้ มีแต่ต้องตายไปเกิดใหม่ให้เร็วที่สุดเท่านั้น!
หลิงเยว่ที่ร้องขอความช่วยเหลือไม่สำเร็จ ส่งเสียงในลำคอเบา ๆ ดวงตาสองข้างของนางหมุนวนไปมา ทันใดนั้นก็นึกความคิดดี ๆ ขึ้นมาได้ “โม่จวินเจ๋อ เจ้ามีตำราการวางแผนผังอยู่กับตัวหรือไม่?”
“มี แต่ขอบเขตค่อนข้างเล็ก”
“เล็กแค่ไหน ข้าจะล่อพวกมันมารวมกันจะครอบคลุมทั้งหมดได้หรือไม่?”
“ได้”
โม่จวินเจ๋อพยักหน้า จะว่าทำได้ก็ได้ แต่การจะใช้ตำราการวางแผนผังกำจัดเหล่ามารสัตว์ที่ไม่รู้พลังเหล่านี้ให้หมดคงยาก
ไม่จำเป็นต้องฆ่าทั้งหมด แต่สามารถกำจัดทีละตัวก็ได้ไม่ใช่หรือ!
“อีกครู่ข้าจะรับผิดชอบดึงดูดความสนใจของพวกมัน จากนั้นเจ้าก็เปิดตำราการวางแผนผังเสีย!”
“อืม ฟังเจ้าแล้วกัน…” โม่จวินเจ๋อพูดจบ ว่านอวี้เฟิงก็พูดอย่างตื่นเต้น “ศิษย์น้องห้า ท่านจะใช้อะไรดึงดูดพวกมัน”
หากเขาไม่ได้มองผิด หลิงเยว่เพิ่งอยู่ในขอบเขตจินตานขั้นต้น การให้คนที่อ่อนแอที่สุดไปดึงดูดความสนใจ มิใช่การใช้ชีวิตนางเข้าไปเสี่ยงหรอกหรือ?
“ไม่ได้เด็ดขาด! พวกเราไปล่อพวกมันเข้าตำราการวางแผนผังด้วยกันเถิด!” ติงหลิวหลิ่วปฏิเสธอย่างหนักแน่น
ในขณะที่พวกเขากำลังโต้เถียงกัน มีสัตว์อสูรบางส่วนได้ออกจากภาพฝาผนังแล้วกำลังจะเข้าโอบล้อมพวกเขา หลิงเยว่สังเกตเห็นมวลสีดำขนาดยักษ์ยังคงนิ่งสงบ ไม่มีท่าทีจะออกจากภาพจิตรกรรมฝาผนังและเข้าโจมตีเลย ช่างแปลกประหลาดนัก!
หรือว่า?
“ข้าสงสัยว่ากลไกไปชั้นบนจะอยู่ด้านหลังตัวประหลาดที่มีตานั่น”
หลิงเยว่กระโดดลงพื้นแล้วกลับคืนร่างเป็นคน พลังของนางสามารถดึงดูดสัตว์อสูรชั้นต่ำจำนวนมากข้างนอกได้ ซึ่งน่าจะได้ผลกับมารสัตว์จากภาพจิตรกรรมฝาผนังพวกนี้ใช่หรือไม่?
เป็นไปตามที่หลิงเยว่คิดไว้ เมื่อนางกลับคืนสู่ร่างเดิม แสงสีแดงที่ส่องออกมาจากดวงตาบนร่างของมวลสีดำยักษ์ยิ่งสว่างขึ้น มันขยับร่างกายครั้งหนึ่ง กำลังจะออกมา แต่แล้วก็ฉุกคิดได้จึงเข้าไปเกาะติดผนังอีกครั้ง
กรร!
เสียงคำรามอันน่าขยะแขยงดังสะเทือนจนหินบนผนังร่วงหล่นลงมามากมาย เหล่าอสูรบนฝาผนังที่ได้รับคำสั่งให้เข้าโจมตีต่างพากันกระโจนเข้าใส่หลิงเยว่อย่างคึกคะนอง เสียงคำรามของพวกมันเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีที่ไม่อาจบรรยายได้
โม่จวินเจ๋อหยิบแผ่นค่ายกลออกมาแล้วเหวี่ยงอย่างสุดแรง ตำราการวางแผนผังลอยไปเหนือศีรษะของหลิงเยว่ที่กำลังหนีอย่างบ้าคลั่งโดยใช้วิชา ‘เคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์’ แสงสีขาวใสค่อย ๆ แผ่ขยายออกมา
ว่านอวี้เฟิงตระหนักได้ว่าฝูงอสูรพวกนี้เหมือนคนตาบอด ไม่ได้สนใจพวกเขาทั้งห้าคนแม้แต่น้อย สายตาและหัวใจของพวกมันจับจ้องอยู่ที่ร่างบางที่กำลังวิ่งหนีอยู่ข้างหน้าเท่านั้น
“พวกเจ้ารีบฆ่าเจ้าตัวนั้น…”
หลิงเยว่พูดได้เพียงครึ่งประโยค โม่จวินเจ๋อก็หันกลับไปจัดการกับมวลสีดำยักษ์นั่นแล้ว