ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 253 ดูเหมือนว่าจะต้องบุกเข้าไปแล้ว
บทที่ 253 ดูเหมือนว่าจะต้องบุกเข้าไปแล้ว
ทั้งหกคนกินหนวดปลาหมึกรสเผ็ดร้อน พร้อมดื่มสุราปราบมารไปด้วย ส่วนติงหลิวหลิ่วและคนอื่น ๆ แน่นอนว่าไม่ได้เลือกที่จะดื่มมากเกินไป แต่จะกินไปสองสามคำแล้วจิบเหล้าเล็กน้อย
พวกเขาย่อมเข้าใจถึงความล้ำค่าของสุราปราบมาร
โม่จวินเจ๋อบอกข้อมูลที่สืบมาได้ให้ทุกคนฟัง ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน ดวงตาพลันเบิกกว้างมองไปยังทางเดินสีดำมืดมิด ที่มีเก้าสิบเก้าห้อง และสัตว์อสูรเก้าสิบเก้าตัว พวกเขาต้องหาห้องที่ถูกต้องให้เจอเพื่อที่จะได้ออกจากชั้นสองไปได้
แค่ตัวที่พวกเขากำลังกินอยู่ตอนนี้ก็ทำให้พวกเขาหลายคนรับมือไม่ไหวแล้ว อีกตั้งเก้าสิบเก้าตัวเชียวหรือ…
หลิงเยว่รู้สึกสิ้นหวังแล้ว
“ลองบุกฝ่าไปเลยดีไหม?”
หลิงเยว่เงยหน้ามองเพดาน ที่นี่มีแต่หมอกปีศาจล่องลอย ไม่เห็นเพดานที่ว่าเลยด้วยซ้ำ
“ก็ได้”
โม่จวินเจ๋อเห็นด้วย
อีกสี่คนไม่มีความเห็นอะไร แทนที่จะไปเสี่ยงกับเก้าสิบเก้าห้องอย่างซื่อสัตย์ พวกเขาควรเจาะทางออกใหญ่ของตัวเองแล้วบุกเข้าไปชั้นสามเลยจะดีกว่า!
วิธีนี้เหมาะกับบุคลิกของพวกเขามาก!
“ระบบ มีคู่มือวิธีผ่านด่านของวิหารเสินโม่ขายไหม? หรือไม่ก็เป็นแผนที่ก็ได้”
[ไม่มี]
“ถึงจะไม่มีคู่มือ แต่เจ้าต้องมีแผนที่แน่ ๆ ขอสักอันสิ?”
[ไม่ขาย]
เป็นครั้งแรกที่ระบบปฏิเสธการขายสินค้า ทำให้หลิงเยว่อึ้ง นางคิดว่าระบบอาจจะมีรสนิยมแปลก ๆ อยากเห็นนางถูกรังแกจนแทบเป็นแทบตายที่วิหารเสินโม่หรือไม่?
หลิงเยว่รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
ทุกคนกินดื่มพอแล้ว พักผ่อนสักครู่ใหญ่ จึงตัดสินใจจัดการกับเพดานที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกปีศาจ
“พร้อมหรือยัง?” โม่จวินเจ๋อรู้สึกเลือนรางว่าถ้าทะลวงเพดานจะเกิดเรื่องที่ควบคุมไม่ได้บางอย่างขึ้น มือที่ถือกระบี่ไว้พลันชะงัก
จริง ๆ แล้วหลิงเยว่ก็มีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน “หรือพวกเราควรไปหาทางออกที่ระเบียงทางเดินดี ๆ ไหม?”
“หลิงเยว่ เจ้าอย่ากลัวเลย ศิษย์พี่จะปกป้องเจ้าเอง!” อวี้เจินทนดูสองคนนี้ทำท่าขี้ขลาดไม่ได้ ร่างทั้งร่างเปล่งประกายสีทอง จากนั้นกระโดดขึ้นไปท่ามกลางหมอกปีศาจ แล้วเตะใส่เพดานด้านบน
กร๊อบ…
เสียงกระดูกหักดังก้องชัดเจน ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของอวี้เจินที่ดังสะท้านไปทั่ว
“โอ๊ย!”
ลู่เป่ยเหยียนรับตัวอวี้เจินที่ตกลงมาพร้อมเสียงร้องโหยหวน ติงหลิวหลิ่วรีบยัดยาแก้ปวดเข้าปากนาง ส่วนว่านอวี้เฟิงก็ดึงข้อเท้าที่เคลื่อนของนางให้เข้าที่
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงกระดูก
หลิงเยว่มองอวี้เจินที่ปวดจนร้องไห้โฮด้วยสายตาเห็นใจ จากนั้นจึงเงยหน้ามองเพดาน “ดูเหมือนว่ากำแพงด้านบนจะแข็งแรงมาก เจ้าสาม ลองพ่นน้ำลายดูหน่อยสิ”
ถ้าทุบไม่แตก บางทีการกัดกร่อนอาจจะเป็นผล
ตะขาบมรกตตัวที่สามเชื่อฟัง พลันพ่นน้ำลายใส่เพดาน ฤทธิ์กัดกร่อนหมอกปีศาจระหว่างทางที่ติดอยู่ข้างบน ตอนที่หลิงเยว่เริ่มมีความหวัง น้ำลายนั้นก็หยดลงมาเป็นจังหวะ
“วิ่ง!” ตะขาบมรกตตัวที่สี่รีบลากตัวขาบมรกตตัวที่ห้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ที่ที่พวกมันจากมาถูกน้ำลายที่หยดลงมากัดกร่อนเป็นหลุมอย่างรวดเร็ว
หลิงเยว่มีสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที พวกตะขาบมรกตพวกนั้นไม่มีความสามารถอะไรเลย จำได้ว่าตอนแรกหัวหน้าตะขาบมรกตเคยทำให้ผู้บำเพ็ญในขอบเขตทะยานเซียนคนหนึ่งกลายเป็นแอ่งน้ำได้ ถึงแม้นางจะไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง แต่หลุมใหญ่บนถนนชิงเฟิงนั้นมีอยู่จริง!
“พวกเจ้ายังกลัวน้ำลายกัดกร่อนของตัวเองอีกหรือ!”
อวี้เจินที่หนีรอดมาได้หวุดหวิดจะอาเจียนเป็นเลือดออกมาแล้ว!
“กลัวสิ!”
ตะขาบมรกตที่สามพูดอย่างหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกละอายใจเลยที่กลัวน้ำลายกัดกร่อนของตัวเองแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่การพิสูจน์ให้เห็นถึงความน่ากลัวของน้ำลายตะขาบปีกสีเขียวทั้งสี่หรอกหรือ!
กระบี่เหมันต์เร้นลับวิเศษที่ลอยอยู่กลางอากาศดูกระหายที่จะได้ลงมือ โม่จวินเจ๋อมองไปที่หลิงเยว่ หลิงเยว่ก็มองกลับมาพอดี กระบี่เหมันต์เร้นลับวิเศษที่เพิ่งได้รับการพัฒนาเป็นกระบี่วิเศษน่าจะทะลุเพดานได้นะ?
“กระบี่เหมันต์เร้นลับวิเศษ จงกล้าหาญเถิด!” ลู่เป่ยเหยียนตะโกนให้กำลังใจกระบี่เหมันต์เร้นลับวิเศษ
กระบี่เหมันต์เร้นลับวิเศษจึงลงมือทันที
มันไม่ทำให้ชื่อของกระบี่วิเศษต้องเสียหาย สามารถแทงทะลุเพดานได้ แต่ดูเหมือนมันจะติดอยู่บนผนังที่ถูกแทงทะลุราวกับมีชีวิต ยึดเกาะตัวกระบี่แน่นไม่ให้เคลื่อนไปข้างหน้าหรือดิ้นหลุดได้
โม่จวินเจ๋อพยายามดึงลงมา แต่ตัวเขากลับถูกบังคับให้เท้าลอยพ้นพื้นตามไป
หลิงเยว่รู้ว่านางไม่ควรหัวเราะ แต่ก็ทนไม่ไหวจริง ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ”
เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นพร้อมกันถึงห้าเสียง
โม่จวินเจ๋อรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยจึงปล่อยมือ ปล่อยให้กระบี่เหมันต์เร้นลับวิเศษติดอยู่ที่ผนังดังเดิม
กระบี่เหมันต์เร้นลับวิเศษ “…”
โหดร้าย!
มันไม่อยากนั่งรอความตายอย่างเดียว กระบี่จึงปล่อยหมอกน้ำแข็งออกมารอบตัว ชั่วพริบตาเดียวก็แปรเปลี่ยนพลังมารที่ล้อมรอบให้กลายเป็นน้ำแข็ง รวมถึงกำแพงด้านบนด้วย
ตูม!
น้ำแข็งระเบิดออก พลังมารจางลง กำแพงที่กักขังกระบี่ไว้หลวมลง กระบี่สีขาวโพลนหลุดออกมาได้สำเร็จ ส่วนกำแพงที่ถูกแทงทะลุก็ค่อย ๆ สมานตัว
“ของด้านบนนั่นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตใช่ไหม?”
กระบี่เคาะไปมา เห็นด้วยกับคำพูดของหลิงเยว่
อวี้เจินก้มมองเท้าที่หักของตัวเอง ตอนที่นางเตะรู้สึกได้ว่ากำแพงนั้นแข็งราวกับเหล็ก ในตอนแรกนางคาดเดาว่าน่าจะเป็นโลหะหายากอะไรสักอย่าง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต?!
“เจ้าแทงก้นมันหรือ?”
ลู่เป่ยเหยียนกำลังจะหัวเราะ แต่เสียงดังที่ดังขึ้นจากเบื้องบนศีรษะทำให้เขาปิดปากฉับ
“มันคงไม่ได้กำลังช่วยพวกเราทุบกำแพงหรอกนะ?”
ว่านอวี้เฟิงกลืนน้ำลาย ถอยหลังอย่างหวาดกลัว ขณะถอยยังไม่ลืมที่จะดึงศิษย์น้องทั้งสองของตนไปด้วย
พวกเขาทั้งสามคนล้วนเป็นนักกลั่นโอสถผู้เปราะบาง ในยามจำเป็นต้องหลบให้ไกล ห้ามไปถ่วงสามคนข้างหน้าเป็นอันขาด!
ปัง…
ด้านหลังของสามคนที่ถอยมายังทางเดินยาว เสียงทุบประตูหิน โซ่ และประตูหินเริ่มสั่นไหว อสูรที่ถูกจองจำข้างในตื่นขึ้น
“กำแพงแตกแล้ว…”
โม่จวินเจ๋อในตอนนี้มีความรู้สึกที่ซับซ้อนมาก
“ประตูหินแตกแล้ว…” หลิงเยว่รู้สึกสิ้นหวัง
“ตอนนี้มีวิธีเดียวเท่านั้น คือเข้าไปในห้องหินที่อยู่ตรงสุดทางเดิน”
เผชิญหน้ากับตัวเดียวก็ยังดีกว่าต้องรับมือกับสิ่งที่อยู่ด้านบน และฝูงอสูรที่กำลังจะออกมาจากห้องหิน ขอเพียงแค่ตัวหนอนเล็ก ๆ ที่อยู่ในห้องหินตรงสุดทางนั้นยังไม่ตื่นเถิด
โม่จวินเจ๋อเดินนำทางอยู่ด้านหน้า ส่วนอีกห้าคนที่ตามหลังเหมือนขโมย กลั้นหายใจเดินแบบย่องเบา แต่ก็ตามมาอย่างรวดเร็ว
“ถ้าในห้องหินตรงสุดทางไม่มีทางออกไปชั้นสามจะทำยังไง?”
อวี้เจินตบไหล่ลู่เป่ยเหยียนที่พูดเช่นนั้น ที่นั่นจะต้องมี ถ้าไม่มี… พวกเขาอาจจะต้องออกไปเผชิญหน้ากับฝูงสัตว์ที่หลุดออกมาจากกรง และสิ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไรที่ลงมาจากชั้นสามเพื่อต้อนรับพวกเขา
แค่จินตนาการ หลิงเยว่และคนอื่น ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่ออกแล้ว
ห้องตรงสุดทางเดินนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม เสียงกระแทกทำลายประตูหินดังมาจากด้านหลัง โม่จวินเจ๋อออกแรงผลักประตูหินตรงหน้าออก ห้าคนที่อยู่ด้านหลังรีบเข้าไปและปิดประตูหินอีกครั้ง
ร่างกายที่ขดเป็นวงอยู่ด้านหน้าชั้นแล้วชั้นเล่า ตัวหนอนเล็ก ๆ ที่ลืมตาข้างหนึ่งทำให้ร่างกายของโม่จวินเจ๋อแข็งทื่อไป
หลิงเยว่เงยหน้าขึ้นสูง ถึงจะมองเห็นภาพรวมของตัวหนอนได้อย่างยากลำบาก ภาพวาดบนผนังหินล้วนแต่เป็นการหลอกลวงทั้งนั้น หลอกลวง!
“เอ่อ… พวกเราไปกันเถอะ?” ติงหลิวหลิ่วคลำหาประตูหินด้านหลัง
“ใช่ ๆ พวกเราเข้าประตูผิด พี่ใหญ่ ขอโทษด้วยนะ”
ลู่เป่ยเหยียนฝืนยิ้ม แล้วจับประตูหินไว้
ว่านอวี้เฟิงไม่พูดอะไร แต่ใช้แรงทั้งหมดดึงประตูหินด้วยใบหน้าแดงก่ำ ประตูไม่ขยับเขยื้อนเลย อวี้เจินจึงแทรกตัวเข้ามาทำเอง
ผลที่ได้คือ…
ท่านผู้ฝึกตนผู้สง่างามท่านหนึ่ง กลับไม่อาจงัดประตูได้
ตัวหนอนน้อยลืมตาทั้งสองข้าง ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความดูแคลน
ทั้งหกคนไม่กล้าขยับเขยื้อนอีกแม้แต่น้อย