ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 258 มาหาข้าทำไม พวกเจ้าไม่รู้จักข้า!
บทที่ 258 มาหาข้าทำไม พวกเจ้าไม่รู้จักข้า!
ควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากโลงศพทั้งสี่มากขึ้นเรื่อย ๆ โลงศพทั้งหมดสั่นสะเทือน โซ่ตรวนส่งเสียงกึกก้อง สิ่งที่อยู่ข้างในกำลังพยายามทุบฝาโลงศพเพื่อออกมา
ภายในห้องหินที่เงียบสงัด กลับมีแต่เรื่องวุ่นวาย หลิงเยว่ได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
อีกาสุริยันที่กำลังหลับใหลลืมตาขึ้นมาทันใด นางจ้องมองโลงศพสีดำใหญ่ด้วยความสงสัยวูบหนึ่ง
กลิ่นทั้งสี่นี้ดูเหมือนว่านางเคยได้กลิ่นที่ไหนสักแห่ง แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
เจ้าอีกาน้อยใช้ปีกตบหัวตัวเอง มันคงไม่ใช่สิ่งสำคัญอะไร ไม่อย่างนั้นนางคงจำได้แล้ว
เมื่อมันคิดแบบนี้แล้วก็สบายใจที่จะหลอมรวมกับหินหงส์ไฟต่อ
“ระบบ ในนั้นมีอะไรอยู่หรือ?”
หลิงเยว่อยากหนี อวี้เจินและลู่เป่ยเหยียนโจมตีกำแพงด้านหลังเต็มกำลังแล้ว ตะขาบมรกตทั้งสองใช้ร่างกายของตัวเองพร้อมกับใช้น้ำลายเพื่อกัดกร่อน เพราะพวกมันรู้สึกถึงอันตรายร้ายแรง พวกมันต้องหนีให้ได้…
เสียงชนกำแพงและเสียงทุบฝาโลงศพดังสนั่นไปทั่วห้องหิน
[นั่นคือผู้บำเพ็ญรุ่นก่อน ๆ ของพวกเจ้าที่ถูกพลังมารกลืนกินไปแล้ว]
โอ๊ย!
พวกเขาล้วนมีระดับบำเพ็ญเพียงขอบเขตจินตานเท่านั้น จะไปสู้ได้ยังไง!
“ระบบ ข้าขอยันต์ที่ระเบิดห้องหินได้สักอันเถิด”
[ยันต์ระเบิดระดับสุดยอด ราคาสามหมื่นล้าน]
หลิงเยว่มองเงินเก็บที่เหลือเพียงน้อยนิดของตัวเองก็แทบจะอาเจียนเป็นเลือด แต่เพื่อเอาชีวิตรอด นางต้องยอมซื้อมัน!
“ทุกคนถอยออกมาหน่อย ข้าจะจัดการเอง!”
เพื่อความปลอดภัย หลิงเยว่ได้แจกยันต์ระเบิดระดับสุดยอดให้ทุกคน
ยันต์ระเบิดระดับสุดยอดถูกติดไว้ที่ผนัง
“ระเบิด!”
แสงไฟพร้อมกับเศษหินปลิวว่อน ห้องหินทั้งห้องสั่นสะเทือน
ผนังถูกระเบิดจนพังทลาย แต่ว่า… โลงศพที่อยู่ด้านหลังกลับระเบิดไปด้วย?!
อวี้เจินและลู่เป่ยเหยียนสะบัดหัวที่มึนงง รีบคว้าตัวหลิงเยว่และติงหลิวหลิ่วโยนให้ตะขาบมรกตตัวที่สาม จากนั้นพวกเขาก็จูงมือว่านอวี้เฟิงกระโดดขึ้นหลังตะขาบมรกตตัวที่ห้า บินผ่านแสงไฟออกห่างจากห้องหินอย่างรวดเร็ว
ห้องหินด้านหลังกำลังพังทลาย หลิงเยว่อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง พอดีกับสายตาเย็นชาสีฟ้าน้ำแข็งคู่หนึ่ง เจ้าของดวงตาเหยียดริมฝีปาก พูดโดยไม่มีเสียงว่า “ข้าจะไปหาเจ้าทีหลัง”
“???”
จะมาหานางทำไม พวกเราไม่รู้จักกันสักหน่อย!
“ตะขาบมรกตตัวที่สาม เจ้าเร็วหน่อยสิ!”
ตะขาบมรกตตัวที่สามถูกเร่งให้เร็วกว่านี้ แต่เพราะพลังปีศาจและข้อจำกัดในการบิน จึงไม่สามารถเร่งความเร็วได้
เมื่อห้องระเบิด โลงศพทั้งสี่หายไปไม่เห็นร่องรอย แม้แต่ชั้นสามก็ยุบตัวลงเป็นหลุมใหญ่
โม่จวินเจ๋อและผู่ตานที่กำลังต่อสู้กับปีศาจเบญจมาศและปีศาจที่มีตาสีดำอย่างดุเดือด ได้รับผลกระทบจากการระเบิด ทำให้การโจมตีหยุดชะงัก
“ไม่ดีแน่! สี่คนในโลงนั่นถูกปล่อยออกมาแล้ว!”
ปีศาจดอกเบญจมาศตกใจจนหน้าซีด ไม่สนใจการต่อสู้และไม่ถามหาหลิงเยว่ แล้ววิ่งตรงเข้าไปในประตูปิดสนิทด้านซ้าย
ปีศาจที่มีดวงตาสีดำได้ยินประโยคนี้ หันหลังกลับไปที่ประตูตรงกลาง แต่น่าเสียดาย… มันช้าไปก้าวหนึ่ง ลมพัดผ่านใบหน้าด้านข้างของโม่จวินเจ๋อ ร่างหนึ่งคว้าปีศาจดวงตาสีดำที่กำลังจะหนีไป
ปีศาจดวงตาสีดำที่ทำให้โม่จวินเจ๋อและผู่ตานปวดหัวไม่หาย ครึ่งหนึ่งของบาดแผลบนร่างกายล้วนเป็นฝีมือของมัน ปีศาจตัวนั้นไม่เพียงแต่ถูกจับได้ ยังถูกกินอีกด้วย…
ถูกกินไปแล้ว…
ทั้งสองตกใจอย่างมาก รีบเร่งฝีเท้าหนีออกไปพร้อมกัน
โชคดีที่ร่างนั้นไม่ได้ไล่ตามมา แต่โชคร้ายที่ด้านนอกยังมีอีกคนกำลังดูดซับพลังมารในชั้นสามอย่างบ้าคลั่ง รวมถึงสัตว์อสูรด้วย
แม้แต่ผู้บำเพ็ญที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ก็ไม่เว้น!
หญิงสาวเหมือนรู้สึกได้ว่ามีสายตาสองคู่จ้องมองนาง จึงหันหน้ากลับมา นางกลืนศีรษะที่ฉีกออกในมือจนปากเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด หญิงสาวแลบลิ้นออกมาเลียมุมปาก ขณะที่กัดกินแขนสด ๆ ของผู้บำเพ็ญ แล้วเดินช้า ๆ ไปหาผู่ตานและโม่จวินเจ๋อ
“สองผู้บำเพ็ญนี่ หน้าตาหล่อเหลาจริง ๆ” เสียงหญิงสาวนุ่มนวล นางกวาดตามองทั้งสองด้วยดวงตาสีฟ้าน้ำแข็ง “รสชาติเวลากินต้องอร่อยมากแน่ ๆ”
กรุบ!
หญิงสาวบดกระดูกในปากจนแหลกละเอียด โยนมือที่เหลือเข้าปาก และคว้าสัตว์อสูรที่กำลังหนีไปโยนเข้าปากตามไปด้วย จากนั้นจึงเดินเข้าใกล้โม่จวินเจ๋อ “กลิ่นเจ้าหอมนัก”
“กลิ่นหอมบนตัวข้ามาจากเหล้าไหนี้” โม่จวินเจ๋อยื่นสุราปราบมารให้ “หญิงงามกับสุราเข้ากันพอดี”
ผู่ตานไม่เข้าใจโม่จวินเจ๋อ เขาตาบอดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถึงได้ชมปีศาจที่มีใบหน้าเน่าเปื่อย ทั้งยังมีหนอนไต่ไปทั่วว่างามได้
“ฮ่า ๆ ๆ…”
หญิงสาวปิดปากหัวเราะจนเนื้อกระเพื่อม หนอนบนในหน้าของนางร่วงหล่นไปทั่ว นางรับไหเหล้ามาอย่างดีใจ ก่อนจะดมกลิ่น หรี่ตาแล้วเงยหน้าดื่มรวดเดียวหมด
โม่จวินเจ๋อหันหลังวิ่งหนีทันที
จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังมาจากด้านหลัง ผู่ตานได้แต่ยืนมองอย่างตกตะลึง เห็นควันดำพวยพุ่งออกมาจากใบหน้าเน่าเปื่อยของนาง เสียงดังฉ่า หนอนสีดำร้องเสียงแหลมร่วงหล่นเต็มพื้น แล้วยังเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดอีกด้วย…
ผู่ตานยืนนิ่งค้าง ราวกับเท้าทั้งสองข้างถูกตรึงติดกับพื้นไปแล้ว
โม่จวินเจ๋อที่วิ่งหนีไปได้ครึ่งทาง เห็นว่าผู่ตานไม่ได้วิ่งตามมาด้วย จึงวิ่งกลับมาลากตัวเขาไป…
“เจ้าให้นางดื่มสุราปราบมารหรือ?” ผู่ตานวิ่งไปพลางหันหลังมองไปพลาง เสียงร้องโหยหวนของหญิงสาวยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ กลิ่นอายมารพวยพุ่งออกมาจากร่างของนาง ร่างกายเหมือนกำลังละลาย…
น่ากลัวชะมัด!
ถึงขั้นฝันร้ายได้เลย
“ทางนี้!”
หลิงเยว่โบกมือเรียกชายสองคนที่วิ่งจูงมือกันอยู่ หลังจากได้ทราบเส้นทางไปชั้นสี่จากพวกเขา ต่างคนต่างได้ชารู้แจ้งคนละถ้วย ส่วนพวกตะขาบมรกตนั้นถูกเก็บเข้าไปใน ตันเถียนของผู้ทำสัญญา ต้นไม้สีดำเจ็ดต้นชูใบ เดินเรียงแถวขึ้นมาจากใต้ดินพลางส่งเสียงฮึมฮัม
โม่จวินเจ๋อยืนนำทางอยู่ด้านหน้าสุด พวกเขาเดินไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็มาถึงประตูสามชั้นที่ถูกทำลาย คนที่กินปีศาจดวงตาสีดำนั่นหายไปแล้ว!
คงไปไล่ล่าปีศาจดอกเบญจมาศแล้วกระมัง?
ต้นหญ้าเจ็ดต้นเข้าไปในประตูด้านซ้าย ปีศาจดอกเบญจมาศก็ขึ้นไปจากที่นี่ น่าจะถูกต้องแล้ว… หรือเปล่านะ?
ขณะที่โม่จวินเจ๋อกำลังลังเลอยู่ ต้นหญ้าสีดำที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดก็วิ่งขึ้นบันไดไปก่อนแล้ว
นี่ยังจะเป็นสี่ศิษย์พี่ที่เคยรู้จักอยู่อีกหรือ?
โดยที่หลิงเยว่ยังไม่ทันได้หันกลับไปมอง อวี้เจินก็รีบตามขึ้นไปทันที แถมยังไม่ลืมที่จะลากหลิงเยว่ไปด้วยระหว่างทาง
เหตุผลก็คือ… เสียงกรีดร้องของหญิงที่โม่จวินเจ๋อให้สุราปราบมารไป ดังใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ฟังจากเสียงแล้ว นางกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ตอนนี้พวกข้ากลายเป็นพืชที่บอบบางไปแล้ว หากไม่ระวังแล้วถูกเหยียบตาย จะไปหาใครมาถามความยุติธรรมได้เล่า?
เจ็ดต้นหญ้าต่างคลานกระเสือกกระสนขึ้นบันได พยายามปีนป่ายขึ้นไป ในตอนที่ต้นหญ้าต้นสุดท้ายไต่ขึ้นมาถึงชั้นสี่ หญิงผู้นั้น… ไม่สิ! ไม่อาจเรียกนางว่าคนได้อีกต่อไปแล้ว โครงกระดูกที่มีเนื้อเน่า ๆ ห้อยระโยงระยางอยู่ไม่กี่ชิ้น พุ่งเข้ามาที่ประตูในพริบตา
จากนั้น… ก็ถูกประตูหินผลักกระเด็นออกไปอย่างไร้ความปรานี
กระดูกพลันแตกกระจายไปทั่ว
ตายแล้วหรือ?
ยัง…
กระดูกที่กระเด็นกระจายอยู่บนพื้นกลิ้งมารวมตัวกันใหม่ ประกอบร่างกายขึ้นมาอีกครั้ง
“ฮ่า ๆ ๆ กล้าไม่ให้ข้าขึ้นไปงั้นหรือ?”
โครงกระดูกยิ้มกว้าง ส่งเสียงหัวเราะน่าขนลุก หัวกะโหลกที่มีแต่กระดูกดูน่ากลัวชวนสยดสยอง
หลิงเยว่ไม่อยากจะทรมานดวงตาและจิตใจที่อ่อนแอของตนเองอีกต่อไป นางหันไปมองบนชั้นที่สี่ด้วยร่างกายสั่นสะท้าน
บันไดด้านหลังของพวกข้าหายไปแล้ว แต่เสียงหัวเราะของโครงกระดูกยังคงดังก้องอยู่ในหูของทั้งเจ็ดราวกับเป็นอาถรรพ์