ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 259 เจ้าไม่ชอบที่ข้าขวางสายตาเจ้าสินะ?
บทที่ 259 เจ้าไม่ชอบที่ข้าขวางสายตาเจ้าสินะ?
ชั้นสี่นั้นว่างเปล่า ไม่มีทั้งพลังมาร ไม่มีผู้บำเพ็ญ และไม่มีปีศาจ
เจ็ดต้นพืชแยกย้ายกันไปหาทางขึ้นชั้นห้า
หลิงเยว่เดินอย่างระมัดระวัง นางมองซ้ายมองขวา หาอยู่นานแต่ไม่พบเป้าหมาย กำลังจะเปลี่ยนที่ แต่แล้วรู้สึกเหมือนรากของนางถูกอะไรบางอย่างพันไว้ นางสะบัดแต่ก็ไม่หลุด นางจึงอดทนกับความกลัวและหันหน้ากลับไปอย่างเชื่องช้า
หลิงเยว่คิดว่าเป็นปีศาจอีกตัว แต่เมื่อเห็นว่าสิ่งที่พันรากของนางคือพืชอีกต้น นางก็ตบเข้าที่ใบของอีกฝ่ายทันที
โม่จวินเจ๋อถูกตีอย่างกะทันหันพลันรู้สึกน้อยใจ แต่เขาไม่พูด เพราะพูดไม่ได้…
เขาดึงใบของหลิงเยว่เบา ๆ และชี้ไปทางหนึ่ง
เจอทางเข้าแล้วหรือ?
โม่จวินเจ๋อเข้าใจว่าหลิงเยว่ต้องการจะบอกอะไร จึงพยักพเยิดใบของตัวเอง แล้วจูงหลิงเยว่ไป
เมื่อพวกเขามาถึง ห้าต้นหญ้าก็รออยู่ที่นั่นแล้ว
ชั้นสี่มีประตูสี่บาน แต่ละบานปิดแน่น ไม่เห็นร่องรอยว่ามีใครเปิดเข้าไป ก่อนหน้านี้พวกเขายังพึ่งปีศาจเบญจมาศได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนต้องพึ่งตัวเองแล้ว
เจ็ดต้นหญ้ามองหน้ากัน ต้นหนึ่งโยนกระดาษหนึ่งแผ่นออกมา เขียนว่าจับฉลาก
จับฉลาก?
ไม่น่าเชื่อถือเลย สู้แยกกันไปเจ็ดคน เลือกประตูที่ชอบแล้วเข้าไปสักคนคงขึ้นชั้นห้าได้แน่
เจ็ดต้นหญ้าถกเถียงกันอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจแยกย้ายกันไป
ว่านอวี้เฟิงดึงผู่ตานให้เขาเลือกก่อน ดังนั้นอีกฝ่ายจึงชี้ไปที่ประตูหนึ่งแบบสุ่ม ๆ ซึ่งเป็นประตูที่สี่
ไม่รู้ว่าหกต้นที่เหลือได้ตกลงกันไว้หรือไม่ พวกเขาจึงแบ่งเป็นคู่ ๆ เข้าประตูที่หนึ่ง สอง และสามไปทันที ปล่อยให้ผู่ตานยืนเพียงลำพังด้วยความลำบากใจ
ทำไมต้องให้ข้าไปคนเดียวด้วย ไม่ยุติธรรมเลย!
ผู่ตานเดินวนไปมาอยู่หน้าประตูที่สองและสี่ สุดท้ายจึงเลือกเข้าประตูที่สอง เพราะเขาไม่เชื่อโชคของตัวเอง ขนาดตัวเขาเองยังไม่เชื่อ แล้วคนอื่นจะเชื่อได้อย่างไร?
คนซวยอันดับหนึ่งแห่งสำนักหลานเทียนไม่ได้มาจากการโม้ แต่มาจากประสบการณ์จริงทั้งสิ้น
เมื่อเห็นผู่ตานตามมา หลิงเยว่ใจหายใจคว่ำ โม่จวินเจ๋อถึงกับอยากเตะเขาให้กระเด็นออกไป ทำไมไม่เลือกประตูหนึ่งกับสาม แล้วต้องเลือกประตูสองด้วย!
“มองข้าทำไม รีบไปกันเถอะ!” ผู่ตานถามทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“เอ๊ะ! ข้าพูดได้แล้ว!”
ชารู้แจ้งหมดฤทธิ์แล้ว ทั้งสามจึงกลายเป็นคน
“หากประตูที่สี่เป็นทางไปชั้นห้าจะทำอย่างไร?”
ผู่ตานเหลือบมองหลิงเยว่ “ไม่อย่างนั้นจะให้โม่จวินเจ๋อไปแทนหรือ?”
โม่จวินเจ๋อ ปฏิเสธด้วยการกระทำ เขาก้าวขึ้นบันไดไปทันที
“เจ้าก็ไปเองสิ”
พวกเขารำคาญแล้วใช่ไหม?
หลิงเยว่ไม่ยอม ผู่ตานก็ไม่ยอมไป ทั้งสามวิ่งไล่กันขึ้นไปไม่รู้กี่ชั้นก็ยังไม่ถึงชั้นห้า ประตูหินและบันไดด้านหลังหายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รอบด้านมืดสนิท ข้างหน้าเป็นบันไดที่มองไม่เห็นที่สิ้นสุด
ทั้งสามมองหน้ากันเงียบ ๆ
“ดูเหมือนว่าประตูที่สองจะเป็นทางหลอก ตอนนี้ถึงอยากถอยหลังก็ไม่มีทางให้ถอย ได้แต่… กัดฟันเดินหน้าต่อไป”
“นี่ต้องเดินไปจนถึงเมื่อไหร่กัน?” ผู่ตานนั่งลงบนขั้นบันไดอย่างหงุดหงิด เดินมาเกือบสามพันขั้นแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด เขารวบรวมพลังเพลิงขึ้นมาอย่างไม่พอใจ แล้วขว้างมันไปยังความมืดรอบข้างอย่างไม่ใส่ใจ หวังจะมองเห็นสิ่งรอบตัวให้ชัดเจน
แต่น่าเสียดายที่ลูกไฟถูกกลืนหายไปในความมืดทันที ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดนอกจากบันไดด้านหน้า
ผู่ตานรวบรวมพลังเพลิงขนาดใหญ่ แล้วทุ่มลงไปด้านล่างอย่างแรง
แต่ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม
ถึงแม้ผู่ตานจะหงุดหงิด แต่ยังไม่ยอมแพ้ เขาจึงรวบรวมลูกไฟนับไม่ถ้วน
หลิงเยว่ไม่ได้สนใจเขา แต่หันไปถามโม่จวินเจ๋อที่ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ “ที่นี่เป็นม่านพลังหรือเปล่า?”
“แล้วยังมีม่านพลังที่เจ้าเดินออกไปไม่ได้อีกหรือ?”
คำถามของโม่จวินเจ๋อทำให้หลิงเยว่อึ้งไป ใช่แล้ว ถ้าที่นี่เป็นม่านพลังนางจะติดอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
“ใครวะ! ขว้างลูกไฟอยู่ตลอดเวลา!”
น้ำเสียงคุ้นเคยดังมาจากความมืด ตามมาด้วยร่างลวงสีทองที่กำลังกระแทกเข้ามาไม่หยุด
หลิงเยว่รีบย่อตัวหลบ
“ศิษย์พี่อวี้เจินอย่าทุบสิ บันไดจะพังหมดแล้ว!”
บันไดที่ทั้งสามยืนอยู่สั่นไหวเหมือนจะพัง พวกเขาจึงจำใจต้องวิ่งฝ่าไปข้างหน้า
“ศิษย์น้องห้า เจ้าอยู่บนหัวข้าหรือ?!” ว่านอวี้เฟิงพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ ก่อนจะกรีดร้อง “พวกเจ้าอย่าขว้างลูกไฟสิ!”
โม่จวินเจ๋อและหลิงเยว่มองไปที่ผู่ตานพร้อมกัน
ผู่ตานยักไหล่ “ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ข้างล่างสักหน่อย”
ดังนั้น การโจมตีด้วยลูกไฟที่พวกเขาได้รับจึงไม่เกี่ยวกับเขา
“ผู่ตาน เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”
อวี้เจินและว่านอวี้เฟิงตะโกนพร้อมกัน ในความมืดมีลูกไฟขนาดใหญ่ ไม่สิ ภูเขาไฟขนาดเล็กกำลังพุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็วเชียวนะ!
ทั้งสองกลิ้งและคลานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด เงาตามหลังปรากฏออกมา ก่อนที่ภูเขาไฟขนาดเล็กจะทำลายบันไดด้านหน้า อวี้เจินและว่านอวี้เฟิงกระโดดขึ้นด้านบน หลบได้อย่างหวุดหวิด ภูเขาไฟขนาดเล็กเฉียดผ่านหลังของพวกเขา เผาทำลายบันไดด้านหลังจนหมดสิ้น
หลิงเยว่และอีกสองคนก็เผชิญกับอันตรายแบบเดียวกัน สิ่งที่โจมตีพวกเขาไม่ใช่แค่หมัดเงาของอวี้เจิน แต่ยังมีลูกไฟอีกนับไม่ถ้วน
ผู่ตานที่ได้กลิ่นไฟของตัวเอง เขาพยายามควบคุม แต่แน่นอนว่าควบคุมไม่ได้ ลูกไฟเฉียดผ่านปลายผมของเขาแล้วเกิดเป็นเปลวไฟขึ้นมา
หลิงเยว่จึงมอบมวลน้ำขนาดใหญ่ให้ด้วยไมตรีจิต
มวลน้ำขนาดใหญ่นี้ทำให้ผู่ตานเปียกโชกไปทั้งตัว หนาวยะเยือกถึงใจ
โม่จวินเจ๋อที่เห็นว่าหลิงเยว่มีแค้นส่วนตัวอย่างชัดเจน จึงหันหน้าหนีหัวเราะในใจ นางปาได้ดีจริง ๆ!
ผู่ตานใช้มือลูบหน้า กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ดาบยาวล้อมรอบไปด้วยเปลวเพลิงฟันเข้าใส่หัวของเขา ถ้าไม่หลบ หัวของเขาคงต้องหลุดไปแล้ว!
ทั้งสามจำได้ว่าดาบเล่มนั้นเป็นของลู่เป่ยเหยียน
ดังนั้น ประตูที่หนึ่ง สอง และสาม จึงไม่ใช่ประตูที่ถูกต้อง แต่กลับเป็นประตูที่สี่ที่ผู่ตานเลือก…
“เห็นไหม พวกเจ้าไม่เชื่อข้า ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า? พ่ายแพ้กันทั้งหมด!”
ผู่ตานนั้นเสียใจยิ่งนัก ในที่สุดก็ได้โชคดีสักครั้งแล้ว แต่สุดท้ายเขากลับปล่อยมันไปเสียเอง!
“ใครจะไปรู้ว่าครั้งนี้เจ้าจะเลือกถูก?”
หลิงเยว่ก็เสียใจ ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมทีม พวกเขาควรจะไว้ใจกันและกัน!
“ศิษย์พี่สาม ได้ยินเสียงข้าหรือไม่!”
“ได้ยินแล้ว!”
หลิงเยว่ที่ตะโกนลงไป แล้วได้ยินเสียงตอบรับกลับมา
“ศิษย์น้อง พวกเจ้าก็ยังไม่ได้ออกไปใช่ไหม?”
“ออกไม่ได้!”
ทั้งสองคนตะโกนคุยกันข้ามผ่านช่องว่าง แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน แต่กลับพบว่าสิ่งที่พวกเขาประสบมานั้นเหมือนกันหมด
จะออกไปได้อย่างไร?
ไม่มีใครมีคำตอบ
สิ่งเดียวที่น่าโล่งใจก็คือ ที่นี่ไม่มีปีศาจน่ารำคาญ มีเพียงลูกไฟ กำปั้น และดาบยาวที่บินมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
หลิงเยว่กำลังคิดเช่นนี้อยู่ ทันใดนั้นในความมืดก็มีดวงตานับไม่ถ้วนเปิดออก ราวกับเปิดไฟทีละคู่ ๆ ดวงตาไม่มีลูกตากลับมีแต่ตาขาว
“ที่นี่คือ… ถ้ำปีศาจหมื่นเนตร!”
โม่จวินเจ๋อและผู่ตานพูดขึ้นพร้อมกัน ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจ ประหลาดใจ และสับสน
“ถ้ำปีศาจ… หมื่นเนตร!”
ในเจ็ดคนมีเพียงหลิงเยว่เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าถ้ำปีศาจหมื่นเนตรคืออะไร แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงของคนอื่น ๆ นางรู้ได้ทันทีว่าครั้งนี้พวกนางคงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แล้ว!