ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 267 ความร่ำรวยและความสุขเช่นนี้ ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ!
บทที่ 267 ความร่ำรวยและความสุขเช่นนี้ ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ!
ร่างเงาของมังกรปีศาจสีแดงเข้มพุ่งลงมาหาร่างที่ดูสงบนิ่ง โดยหนึ่งในนั้นพุ่งเข้าใส่ขบวนผู้บำเพ็ญที่กำลังหนีอย่างรวดเร็ว
“มนุษย์ จงอยู่เป็นอาหารให้มังกรปีศาจของข้าเถิด!”
ถึงแม้จะรู้ว่ามังกรปีศาจเป็นเพียงหมอกพิษที่รวมตัวกัน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมันแล้ว ทุกคนเหมือนถูกตรึงเท้าไว้ ไม่สามารถหลบหลีกได้ ทำได้แต่มองมันอ้าปากเข้ามาหาพวกเขา…
โม่จวินเจ๋อเป็นคนแรกที่ตอบสนอง เขาชักกระบี่ออกมาโต้กลับ กระบี่สีแดงบินมาอย่างรวดเร็ว มันแทงเข้าไปในร่างเงาของมังกรปีศาจอย่างแม่นยำ ทำให้ร่างเงานั้นถอยกรูดไปข้างหลัง
“โอ้! ตายไปหลายพันปีแล้ว ยังคิดถึงเผ่าพันธุ์เดียวกันอยู่อีกหรือ!”
ราชินีปีศาจเยาะเย้ยอย่างดูถูก สีหน้าเปลี่ยนเป็นดุร้าย “ฆ่าพวกมันซะ!”
กระบี่หนักกลายเป็นเก้าเล่ม แยกกันไปต่อสู้กับมังกรปีศาจ ส่วนอินสุ่ยอวิ๋นก็โจมตีราชินีปีศาจที่กำลังดูเฉย ๆ
“รีบออกไปเร็วเข้า ข้ามีเวลาไม่มากแล้ว!”
โม่จวินเจ๋อที่ได้รับข้อความเตือนก็ดึงคนข้าง ๆ รีบไปยังภูเขาหินสีแดง ภูเขาหินแดงอยู่ตรงหน้าแล้ว ขอแค่ทำลายมันก็จะออกไปได้!
หนึ่งคนต่อสู้กับเก้ามังกรปีศาจ ทั้งยังต้องรับมือกับราชินีปีศาจอีก ลมหายใจของอินสุ่ยอวิ๋นเริ่มไม่สม่ำเสมอ เผลอไปนิดเดียวก็ถูกราชินีปีศาจตบจนลอยไป
“อินสุ่ยอวิ๋นอา อินสุ่ยอวิ๋น เจ้าคิดจะต่อกรกับข้าด้วยพลังแค่นี้หรือ?!”
ราชินีปีศาจหัวเราะเยาะ แล้วตบเข้าอีกครั้ง กระบี่หนักช่วยปัดป้อง แต่อินสุ่ยอวิ๋นก็ถอยหลังไปหลายก้าวกว่าจะหยุดได้
ร่างกายนี้ไม่เพียงแต่บอบบาง แม้แต่วิชาก็ต่ำเกินกว่าจะประมือกันโดยตรง ถ้า… ถ้าสามารถยืมร่างของเด็กหนุ่มนักกระบี่ผู้นั้นได้ คงจะไม่ต้องน่าสงสารขนาดนี้
แต่น่าเสียดาย…
ดอกไม้สิบสองสีดอกหนึ่งบินออกมาจากร่างของหลิงเยว่ มันหมุนอยู่กลางอากาศ กลีบดอกแยกออกจากกัน แล้วผสานเข้ากับกระบี่ที่กำลังต่อสู้กับมังกรปีศาจ กระบี่จึงแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายส่วน พลังการต่อสู้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว!
กลีบดอกไม้ที่เหลือพร้อมกับเกสรดอกไม้หลอมรวมเข้ากับกระบี่ในมือของอินสุ่ยอวิ๋น
“นี่มันอะไรกัน…?”
ปีศาจราชินีผู้อวดอ้างว่ารู้เห็นมามาก แต่ไม่เคยเห็นกลีบดอกไม้ที่สามารถแปลงร่างได้ด้วยการรวมตัวของพลังวิญญาณกลายเป็นกระบี่มาก่อน!
ถ้าใช้สิ่งนี้กับร่างเงาของมังกรปีศาจ จะเป็นอย่างไรกันนะ…
สายตาของปีศาจราชินีเปลี่ยนเป็นร้อนแรง ท่วงท่าการต่อสู้ยิ่งดุเดือดขึ้น อินสุ่ยอวิ๋นกำกระบี่หนักที่หลอมรวมกันแล้วไว้ในมือ พลังจิตเคลื่อนไหว ตัวกระบี่มีสายฟ้าแลบและเปลวไฟลุกโชน
นี่คือกระบี่ประจำกายของนางที่คุ้นเคย…
อินสุ่ยอวิ๋นไม่มีเวลาคิดว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ พลังการต่อสู้ของนางพุ่งสูงขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด โม่จวินเจ๋อและคนอื่น ๆ ในที่สุดก็มาถึงหน้าภูเขาหินแดง
ภูเขาไม่ใหญ่นัก มันดูเหมือนยากที่จะทำลาย แต่โม่จวินเจ๋อไม่สนใจ เขายกกระบี่ทั้งสองมือและใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดฟาดใส่ภูเขาทันที
การโจมตีครั้งเดียวทำให้ภูเขาสั่นไหวเท่านั้น แต่โม่จวินเจ๋อเกือบจะอาเจียนเป็นเลือดจากแรงสะท้อนกลับเสียแล้ว
“พวกเราจะทำด้วยกัน!”
ผู้คนหลายสิบคนรวมถึงโม่จวินเจ๋อต่างใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด ในที่สุดภูเขาก็แตกออกเป็นรอยแยก
“ถ้าฟาดอีกสองสามครั้งน่าจะ…”
เสียงคำรามของมังกรที่โกรธเกรี้ยวกลบคำพูดที่เหลือของผู้บำเพ็ญ มังกรปีศาจตัวหนึ่งสะบัดกระบี่มุ่งหน้าสู่ภูเขาหินแดง
เสียงคำรามของมังกรดังขึ้นอีกครั้ง กระบี่กลับกลายเป็นมังกรสีแดงตัวหนึ่ง ไล่ตามมังกรปีศาจและใช้ร่างกายชนมังกรปีศาจจนลอยไป
มังกรสองตัวต่อสู่กันบนท้องฟ้า
ผู้บำเพ็ญทั้งหลายบ้าคลั่งและฟาดภูเขาหินแดงต่อไป ถึงแม้มือทั้งสองข้างจะสั่นเพราะแรงสะท้อนกลับจนเจ็บปวด แต่พวกเขาก็ไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่นิดเดียว
เร็วอีกหน่อย… หลิงเยว่ที่ช่วยประวิงเวลาดูเหมือนจะอึดอัดใจแล้ว
ภูเขาที่ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องในที่สุดก็แตกออก แล้วกระแสน้ำวนจึงค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
“รีบไปเร็ว!”
ขบวนหนีภัยทยอยเข้าไปในวังวนทีละคน โม่จวินเจ๋อที่อยู่ข้างหลังสุดเพื่อคอยระวัง เขามองแสงสีแดงที่ห่างออกไปอย่างหวงแหน
เงาดำพุ่งออกมา ตามหลังด้วยเงาร่างสีม่วงเข้ม
แววตาอันหม่นหมองของโม่จวินเจ๋อสว่างวาบ เขายื่นมือไปหานางทันที
น้ำวนกำลังเล็กลง ในขณะที่กำลังจะหายไปนั้น หลิงเยว่คว้ามือของโม่จวินเจ๋อไว้ได้ ทั้งสองจึงหายเข้าไปในวังวนพร้อมกัน
มือข้างหนึ่งของปีศาจหญิงยื่นเข้าไปในน้ำวน นางคว้าข้อเท้าของหลิงเยว่ไว้ได้ ในขณะที่กำลังจะลากคนออกมา ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็เข้ามาเยือน
มือข้างที่ขาดของปีศาจหญิงถูกคายออกมา จากนั้นน้ำวนก็หายไป
“ดีนัก! อินสุ่ยอวิ๋นเจ้ารอดูเถิด!”
ไม่มีใครได้ยินคำพูดอาฆาตของปีศาจหญิง ผู้คนที่ถูกกระแสน้ำวนคายออกมาต่างมองวังอันใหญ่โตตระการตาตรงหน้าอย่างงงงวย
วังเปล่งประกายสีทองจ้า ยิ่งใหญ่อลังการ
ที่นี่ไม่ใช่วิหารบูชาปีศาจแน่!
“วิหารเสินโม่…”
ว่านอวี้เฟิงจ้องมองป้ายชื่อวิหารใหญ่พลางเอ่ยเสียงเบา
“วิหารหลังนี้ต่างหากที่เป็นวิหารเสินโม่ที่แท้จริง…”
ไม่มีผู้ใดยินดีได้ พวกเขาถูกทรมานจนหมดแรงใจ ตอนนี้อยากแต่จะกลับบ้านแล้ว ความร่ำรวยเหลือคณานี้ใครอยากได้ก็เชิญตามสบาย!
“ศิษย์น้อง!”
ในวินาทีที่ได้เห็นหลิงเยว่ ติงหลิวหลิ่วก็ร้องไห้โฮ นางแย่งตัวอีกฝ่ายมาจากอ้อมกอดของโม่จวินเจ๋อ แล้วไม่ลืมที่จะตรวจชีพจรของอีกฝ่ายด้วย
นางยังมีลมหายใจ มีชีวิตอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว…
“ทำไมศิษย์น้องถึงได้สลบไปอีกแล้ว?”
โม่จวินเจ๋อถูกอวี้เจินถาม เขาจึงส่ายหน้า ในตอนที่เขาคว้ามือหลิงเยว่ นางก็สลบไปแล้ว
ส่วนมือที่คว้าข้อเท้าหลิงเยว่ไว้นั้น ถูกเขาฟันขาดไปแล้ว
ผู้คนที่หนีออกมาได้ต่างช่วยกันหาทางออกโดยไม่ต้องบอก แต่น่าเสียดาย…
“ไม่พบทางออกจากที่นี่ ดูเหมือนจะมีแต่ทางเข้าไปในวิหารเสินโม่เท่านั้น”
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเข้าไปในวิหารเสินโม่ให้ได้!
“น้องหญิงบาดเจ็บสาหัส มีพลังปีศาจอยู่ในร่าง”
ถ้าไม่รีบหาวิธีรักษาโดยเร็ว…
ว่านอวี้เฟิงในเวลานี้เกลียดตนเองที่ไร้ความสามารถยิ่งนัก แม้ว่าจะพึ่งพาศิษย์น้องจึงสามารถออกมาได้ แต่เขากลับช่วยนางไม่ได้!
ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!
ว่านอวี้เฟิงกอดศีรษะด้วยความเจ็บปวด
หนึ่งขวด สองขวด สามขวด… โอสถกองสุมเป็นภูเขาเล็ก ๆ
ผู่ตานเงยหน้ามองไปยังผู้บำเพ็ญที่นำโอสถมาให้ ผู้บำเพ็ญที่ถูกมองรู้สึกอึดอัด พลางเกาศีรษะ “พวกข้ามีแค่นี้แหละ แต่หวังว่าจะมีประโยชน์บ้าง”
ถือว่ายังพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง
“พวกเจ้าเป็นหนี้ชีวิตศิษย์น้องของข้าหลายต่อหลายชีวิต กล้าดียังไงถึงให้โอสถมาแค่นี้?”
หนึ่งชีวิตจากถ้ำปีศาจหมื่นเนตร หนึ่งชีวิตจากสุราปราบมารแก้พิษหมอกแดง หนึ่งชีวิตจากการหนีออกจากชั้นบนสุดของวิหาร บางคนติดหนี้ถึงสี่ชีวิต หากไม่มีศิษย์น้องของเขาที่ไม่สนใจม่านพลังที่ห้ามล่วงล้ำใด ๆ พวกเขาคงไม่มีทางเข้าไปถึงชั้นบนสุดได้
พวกเขาก็เป็นหนี้ชีวิตนางหลายต่อหลายชีวิตเช่นกัน
ลู่เป่ยเหยียนไม่กล้าคิดว่าหากตอนแรกไม่ได้พบหลิงเยว่ พวกเขาจะเป็นอย่างไร…
“หนี้ชีวิต ข้าไม่กล้าลืมเป็นอันขาด!”
“หากมีชีวิตรอดออกไป จะตอบแทนอย่างแน่นอน!”
…
ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างให้คำมั่นสัญญา ส่วนปรากฏการณ์แปลก ๆ บนตัวของหลิงเยว่ พวกเขาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ถึงแม้จะรอดออกไปได้จริง ๆ ก็จะเก็บความลับนี้ไว้
ในตอนนี้เอง ประตูใหญ่ของวิหารเสินโม่ค่อย ๆ เปิดออก
“ประตู… เปิดแล้ว” ติงหลิวหลิ่วไหล่ตก สายตาดูเหม่อลอย
โม่จวินเจ๋อแบกร่างหลิงเยว่เดินไปทีละก้าว มุ่งหน้าสู่ประตูใหญ่ที่เปิดรออยู่
“รีบตามมา ข้างในต้องมีของที่ช่วยศิษย์น้องห้าได้แน่นอน!”
คำพูดของผู่ตานทำให้ว่านอวี้เฟิงและอีกสี่คนฟื้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ใช่แล้ว! ที่นี่คือวิหารเสินโม่ ข้างในไม่เพียงแต่มีมรดกตกทอดของบรรพชนที่ล่วงลับไปแล้ว ต้องมีโอสถและของวิเศษมากมายแน่นอน ต้องสามารถช่วยหลิงเยว่ได้แน่!
เมื่อห้าสิบแปดคนเข้าไปในวิหารเสินโม่ครบทุกคนแล้ว ประตูใหญ่ก็ปิดลงอีกครั้ง เสียงปิดประตูดังสนั่น ทำเอาทุกคนที่ยังมีสติอยู่ตกใจ พวกเขาถืออาวุธอย่างระแวดระวัง แล้วมองไปรอบ ๆ มือเปียกชื้นเต็มไปด้วยเหงื่อ
บรรยากาศเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นของคนข้าง ๆ ที่เต้นเร็วขึ้น
ตึกตัก ตึกตัก…
ท่ามกลางเสียงหัวใจเต้น จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าหนึ่งแทรกขึ้นมา
ไม่ใช่เสียงสัตว์อสูร แต่เป็นเสียงฝีเท้าของมนุษย์!
นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีคนอื่นเข้ามาอีกหรือ?!