ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 288 ใครมันโรคจิตมาปล้นของแบบนั้นกัน!
บทที่ 288 ใครมันโรคจิตมาปล้นของแบบนั้นกัน!
การทอดชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการย่าง บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารจากเนื้อสัตว์อสูร
หัวหน้าตะขาบมรกตคว้าหนึ่งกำมือ ยัดทั้งไม้เสียบและเนื้อเข้าปากทั้งหมด เคี้ยวไปพลางตาแดงเป็นประกาย โอ้โห! อร่อย!
“แม้รสชาติจะต่างจากการย่าง แต่อร่อยไม่แพ้กัน!”
“กรอบนอกนุ่มใน ทั้งหอมและเผ็ด อร่อยยิ่งนัก!”
ถ้าไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกที่ดำมืด ใครจะคิดว่าเนื้อสัตว์อสูรจะอร่อยขนาดนี้!
เหล่าคนว่างงานที่ลองชิมต่างรู้สึกซาบซึ้งใจ กินไม่หยุดเลยสักไม้ ความน้อยใจที่มีต่อนกย่างและหม้อไฟพลันลดลงไปไม่น้อย
ถ้าไม่ใช่หลิงเยว่ ใครจะคิดทำอาหารจากเนื้อสัตว์อสูรได้อร่อยขนาดนี้กัน?
แม้แต่การใช้วัสดุจากร่างของพวกมันมาหลอมเป็นศาสตราวุธ พวกเขายังต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ กลัวว่าจะประมาทแล้วถูกพลังปีศาจเข้าแทรกกลายเป็นมารแล้วจะไม่คุ้มเอา
“อาจารย์หลิง ฮวนฮวนขอน้ำแกงชามหนึ่งได้ไหมเจ้าคะ?”
ฮวนฮวนที่รู้สึกเผ็ดจากสัตว์อสูรทอดมองมาที่หลิงเยว่ด้วยดวงตากลมโตเป็นประกาย
กินของเผ็ดแล้วจะดื่มน้ำแกงร้อน ๆ เด็กน้อยคนนี้คิดยังไงกัน?
หลิงเยว่กินสัตว์อสูรทอดในมือจนหมด แล้วรินนมให้ฮวนฮวนแก้วหนึ่ง จากนั้นนางจึงเดินไปเปิดหม้อน้ำแกง น้ำที่เดิมทีใสสะอาด… กลายเป็นสีดำขลับไปแล้ว
ฮวนฮวนก้มมองนมสีขาวในมือ สีขาวสวยกว่าตั้งเยอะ นางไม่อยากดื่มน้ำหมึกหรอกนะ!
น้ำแกงกระดูกอสูรนอกจากจะหอมแล้ว ไม่มีข้อดีอื่นอีกเลย
หลิงเยว่ยกถังนมขนาดใหญ่ออกมาแล้วเทลงในหม้อสีดำโดยตรง เมื่อเพิ่มสีขาวเล็กน้อยให้กับน้ำแกงสีดำสนิท ทำให้สีของน้ำน้ำแกงเป็นสีเทาดำ ซึ่งสีนี้ยิ่งทำให้ฝูงชนที่มุงดูยิ่งถอยห่างออกไปอีกสามก้าว
จากนั้น หลิงเยว่ก็เทเครื่องปรุงที่พวกเขาไม่รู้จักลงไปต่อหน้าทุกคน ในที่สุดน้ำแกงก็กลายเป็นสีเทาดำ สลับกับชั้นน้ำมันสีแดงเข้ม
กลิ่นหอมมากทีเดียว แต่ว่า… แม้แต่อวี้เจินและติงหลิวหลิ่ว สองนักกินตัวยงก็ไม่กล้าลองชิมง่าย ๆ!
เนื้อสัตว์อสูรหั่นชิ้นหลากหลายชนิดถูกหลิงเยว่เทลงไปในน้ำแกงสีเทาแดงทั้งหมด การกินเนื้อตลอดเวลา ทำให้ไม่ได้รับสารอาหารที่สมดุล ดังนั้นผักที่โม่จวินเจ๋อล้างเสร็จแล้วจึงถูกเทลงไปด้วย
เหมือนหม้อใหญ่ที่ใส่อาหารหมูสุด ๆ!
และพวกเขาที่มุงดูอยู่… ก็คือฝูงหมู!
“อืม… ยังขาดอะไรอีกนิดหน่อย…”
จะกินหม่าล่าทังได้ยังไงถ้าขาดอาหารหลัก?
หลิงเยว่หยิบแป้งขึ้นมา แล้วเริ่มรีดแป้ง รอจนทำเสร็จหมดแล้ว นางก็ลวกเส้นหนึ่งชาม วางผักลงไป ส่วนชั้นบนสุดวางเนื้อสัตว์จนเต็ม ราดน้ำแกงอีกสองสามทัพพี หม่าล่าทังที่เต็มไปด้วยส่วนผสมก็เสร็จสมบูรณ์ และหลังจากที่นางจัดจานอย่างพิถีพิถัน มันก็ดูเหมือน… ไม่ใช่ว่ารับไม่ได้
“พวกเจ้าอยากกินอะไรก็หยิบใส่ลงไปแล้วลวกให้สุก…” หลิงเยว่ยังคิดถึงอาจารย์ของนางที่หน้าซีด นางกอดชามที่ใหญ่กว่าหัวของนางเดินจากไปอย่างกระฉับกระเฉง ทิ้งให้กลุ่มคนที่กำลังจ้องตากันกินเนื้อย่างอยู่กันลำพัง
“เอ่อ… ขอชามหนึ่งได้ไหม?”
แถวเนื้อสัตว์ย่างยาวเหยียด เพิ่งออกจากสนามรบมา เหล่าผู้บำเพ็ญที่ต้องการอาหารเพื่อขจัดพลังปีศาจอย่างเร่งด่วนรอไม่ไหวแล้ว จึงได้แต่ถอยกลับมาซื้ออาหารที่ดูเหมือนไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่
“อยากกินอะไรก็ตักเอาเอง”
จื่อเฉาอวี่ส่งทัพพีให้ผู้บำเพ็ญ ผู้บำเพ็ญที่รับทัพพีมาไม่มีท่าทีเขินอาย เขาตักให้ตัวเองจนเต็มชามใหญ่ สุดท้ายยังเลียนแบบท่าทางของหลิงเยว่ที่ตักน้ำแกงไปหลายทัพพีด้วย
“รสชาติเป็นยังไงบ้าง?”
ผู้บำเพ็ญที่เพิ่งคีบเนื้อสีดำเข้มไปคำใหญ่ เอียงหน้ามองลู่เป่ยเหยียนอย่างไร้คำพูด ตาบอดหรือไง? ไม่เห็นหรือว่าเขายังไม่ทันได้ยัดเข้าปากเลย!
ผู้บำเพ็ญบ่นในใจ ก่อนจะส่งชิ้นเนื้อเข้าปากท่ามกลางสายตาแปลกใจของทุกคน หลังจากนั้นตาทั้งสองข้างพลันเบิกกว้าง รสชาติของน้ำแกงสีเทาแดงนี้ไม่เพียงแต่มีความเผ็ดเล็กน้อย แต่ยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของนม เมื่อความนุ่มของเนื้อผสมผสานกับน้ำแกงเข้มข้น รสสัมผัสจึงวิเศษมาก!
“อร่อย อร่อยมาก!”
ผู้บำเพ็ญยืนตักเนื้อเข้าปากทีละคำ ๆ จิบน้ำแกงอีกนิด พลังปีศาจในร่างกายก็ถูกขับไล่ออกไปอย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งกว่ากินเนื้อปิ้งอสูรเสียอีก!
“ท่านอาจารย์ อร่อยไหมเจ้าคะ?” หลิงเยว่ที่มาส่งความอบอุ่นให้กับชิงยวนถามขึ้น
ตอนแรกที่เห็นชามใหญ่เต็มไปด้วยของอร่อยแบบนี้ ในใจชิงยวนปฏิเสธ ของอร่อยควรเป็นขนมที่ประณีตและอร่อยอย่างขนมดอกบัว ขนมดอกท้อไม่ใช่หรือ?
“ท่านอาจารย์ เส้นชั้นสุดท้ายก็อร่อยมากเช่นกัน” หลิงเยว่เตือนไปพลางกลืนน้ำลายไปพลาง นางยังไม่ทันได้กินก็รีบมาส่งเสบียงให้ก่อนแล้ว จะหาศิษย์ที่ใจดีอบอุ่นแบบนางได้ที่ไหนอีก?
ซู้ด!
ชิงยวนรู้สึกว่าเส้นในปากเหมือนกำลังเต้นรำ เนื้อสัมผัสเหนียวและลื่น ไม่เลวเลยจริง ๆ!
“ท่านอาจารย์…”
“รีบไปเลย!”
ชิงยวนไม่รอให้หลิงเยว่พูดต่อ โบกมือไล่คนราวกับไล่แมลงวัน นางทนไม่ไหวจริง ๆ ที่ศิษย์ตัวน้อยจ้องมองด้วยสายตาหิวโหยอยู่ข้าง ๆ แม้จะเป็นเสียงกลืนน้ำลายที่ไม่ชัดเจนแต่ก็ยังได้ยิน
เมื่อหลิงเยว่มาถึงพื้นที่ของอาหารวิญญาณพิเศษก็พบว่ามีหม้อต้มแบบเผ็ดร้อนตั้งอยู่กว่าร้อยหม้อ ไม่มีนักเรียนคอยดูแลหน้าหม้อต้มแต่ละหม้อเลย มีแต่ผู้บำเพ็ญที่หยิบวัตถุดิบมาลวกเอง และยังจ่ายเงินอย่างซื่อสัตย์ แม้แต่เนื้อย่างก็ทำเอง ทำให้กลายเป็นร้านบริการตนเองไปเสียแล้ว!
นักเรียนที่ยุ่งจนเท้าแทบไม่แตะพื้นในที่สุดก็มีโอกาสได้พักหายใจ
“อาจารย์หลิง พวกเราลวกบะหมี่ให้ท่านชามหนึ่ง!”
นี่เรียกว่าชามหรือ? นี่มันอ่างชัด ๆ!
หลิงเยว่อุ้มอ่างเข้าร่วมแถวของคนที่กำลังกินบะหมี่ โดยมีโม่จวินเจ๋อยื่นเนื้อย่างร้อน ๆ ให้
“ท่านเป็นคนย่างเองเหรอ?”
โม่จวินเจ๋อพยักหน้า
อย่าคิดว่าหลิงเยว่จะมองไม่ออกว่าเนื้อสัตว์อสูรสีดำนั้นไหม้เกรียม แต่เพื่อไม่ให้หนุ่มหล่อใจเสีย นางก็ยังกินมัน และยังชมอย่างไม่จริงใจว่าอร่อยอีกด้วย
“ไม่ขมหรือ?”
โม่จวินเจ๋อยิ้ม ทันใดนั้นราวกับน้ำแข็งกำลังละลาย…
หลิงเยว่ไม่ได้ถูกความงามทำให้มึนงง นางโยนเนื้อย่างทิ้งทันที “รู้อยู่แล้วว่าย่างไหม้แล้วยังเอามาให้ข้ากินอีก! ตั้งใจทำอะไรกัน!”
“พวกเขาเป็นคนยุให้ทำ…”
โม่จวินเจ๋อทรยศเพื่อนร่วมทีมที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่ในทันที
“ไม่ยุติธรรมเลยศิษย์น้องหลิง เขาพูดเหลวไหลชัด ๆ!”
“ใช่ ๆ ไม่เกี่ยวกับพวกเราเลย!”
ในขณะที่กลุ่มศิษย์พี่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน กลุ่มนักดาบก็มาถึงพร้อมกับข่าวสำคัญ
“พวกเจ้าได้ยินหรือยังว่ายอดเขาหลอมศาสตราถูกปล้นแล้ว!”
“อะไรนะ?! พวกปีศาจทำงั้นเหรอ?” ลู่เป่ยเหยียนวางชามบะหมี่แล้ววิ่งไปดูเหตุการณ์ทันที
“ไม่ใช่พวกปีศาจ คนผู้นั้นมาไม่ทิ้งร่องรอยและหายไปอย่างลึกลับ ได้ยินมาว่าขโมย โอสถในสำนักไปหมดเลย แม้แต่โอสถฟื้นปราณขั้นต่ำสักเม็ดก็ไม่เหลือ”
“ไปขโมยโอสถที่ยอดเขาหลอมศาสตราเหรอ?” อวี้เจินพูดอย่างไร้ความหมาย
ไปถึงยอดเขาหลอมศาสตรา แต่ไม่ขโมยสมบัติล้ำค่าอย่างเตาหลอม แต่กลับไปขโมย โอสถ นี่มันไม่ผิดปกติไปหน่อยเหรอ?
“แม้แต่สมุนไพรวิญญาณยังถูกขโมยจนเกลี้ยง! แม้กระทั่งโอสถที่เจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสซ่อนเอาไว้ก็ถูกขโมยไปจนหมด…” นักดาบพูดจบก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ทำไมถึงมีคนคิดไปขโมยโอสถที่ยอดเขาหลอมศาสตราล่ะ?”
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ บางทีอาจจะเป็นการยั่วยุธรรมดา ศัตรูของยอดเขาหลอมศาสตรากำลังยั่วยุอย่างนั้นเหรอ!?
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ดีแล้ว!”
นักดาบคนหนึ่งรีบวิ่งมา จากนั้นกระซิบข้างหูคนที่หัวเราะดังที่สุด เสียงหัวเราะหยุดลงทันที ใบหน้าของนักดาบที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
เพิ่งจะเยาะเย้ยยอดเขาหลอมศาสตราไปหยก ๆ สำนักของพวกเขากลับถูกปล้นเช่นกัน และสิ่งที่ถูกขโมยก็คือโอสถเหมือนกัน!
ใครมันโรคจิตมาปล้นของแบบนั้นกันเล่า!
ถ้ารู้ว่าเป็นใคร เขาต้องฆ่ามันให้ตายอย่างทรมานแน่นอน!