ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 292 นางช่างโง่เขลาเสียจริง
บทที่ 292 นางช่างโง่เขลาเสียจริง
ข่าวการปรากฏตัวของศาสตราวุธปราบมารทั้งสี่ พร้อมด้วยวิญญาณศาสตราวุธอันทรงพลัง สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลกผู้บำเพ็ญเซียน ส่วนปรมาจารย์ด้านการหลอมศาสตราวุธทั้งสี่ ต่างได้รับการยกย่องขึ้นไปอีกขั้น แน่นอนว่า… ชื่อเสียงของพวกเขายิ่งโด่งดังกว่าเดิม!
ผู้อาวุโสของยอดเขาหลอมศาสตรากำหมัดแน่น สัมผัสได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม มุมปากยกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ การข้ามขอบเขตหลังจากที่เป็นถึงปรมาจารย์นั้นยากยิ่ง แต่ตอนนี้มีศาสตราวุธเพียงหนึ่งชิ้น… เขากลับรู้สึกว่ามันช่างง่ายดายนัก!
นอกจากผู้อาวุโสต้วนแล้ว ยังมีอีกสามคนที่หัวเราะออกมาอย่างโง่เขลา ท่าทางของพวกเขาทำให้คนอื่นไม่กล้ามองตรง ๆ แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือความอิจฉา ลู่เป่ยเหยียนอยากจะสร้างศาสตราวุธเป็นของตัวเองขึ้นมาทันที
แน่นอนว่าตอนนี้ทำได้แค่คิด เขายังรู้จักประมาณตนเองดี
หลิงเยว่ในตอนนี้กำลังไล่ตามหอกยาวสีดำที่เพิ่งผ่านทัณฑ์สวรรค์
“ท่านผู้อาวุโส ท่านดูร่างกายอันบอบบางของข้าก่อน ข้าเหมาะกับการฝึกฝนหอกยาวหรือ?”
“ร่างกายเจ้าอ่อนแอยิ่งต้องฝึกหอกยาว ข้าจะฝึกฝนเจ้าเอง!” หอกยาวยืนกรานที่จะสอนหลิงเยว่ นี่เป็นสิ่งเดียวที่มันคิดว่าจะตอบแทนได้
“อืม… มีเหตุผล” พิณที่ลอยอยู่หน้าสำนักเมี่ยวอินกลับลอยมาอยู่ตรงหน้าหลิงเยว่
ไม้เท้าพุทธและกระบี่หนักก็มาถึงเช่นกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับศาสตราวุธปราบมารทั้งสี่ที่ต้องการสอนวิชาให้ หลิงเยว่แทบอยากจะร้องไห้ แค่หมื่นชีวางอกเงยนางก็เรียนจนหัวล้านแล้ว หากต้องเรียนหอกยาว พิณ และอื่น ๆ ต่อให้แยกร่างก็คงเรียนไม่หมด
“ศิษย์น้อยผู้นี้ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับศาสตราวุธทีเดียว”
“ศิษย์น้อยอะไรกัน? นางชื่อหลิงเยว่ ” บรรพจารย์เล่อเหอปรายตามองเจ้าสำนักเมี่ยวอินที่อยู่ข้าง ๆ
“ก็ได้ หลิงเยว่” ดวงตาของเจ้าสำนักเมี่ยวอินฉายแววครุ่นคิด เหตุใดเด็กสาวผู้นี้ถึงได้รู้จักศาสตราวุธเหล่านี้กัน?
นางรู้ดีว่าศาสตราวุธเหล่านี้ถูกชำระล้างแล้ว เพียงแต่ตอนแรกพวกเขานึกว่าเป็นวิญญาณที่ถูกสุ่มเลือกมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนไม่ใช่เลย แถมยังแข็งแกร่งเกินไป แค่ระดับพลังวิญญาณก็อยู่ในขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์แล้ว หากร่างกายสมบูรณ์…
เจ้าสำนักเมี่ยวอินผุดเหงื่อเย็นออกมาทันที โดยเฉพาะตอนที่เห็นใบหน้าของวิญญาณในธนูที่เป็นศาสตราวุธปราบมารชิ้นที่ห้า ดวงตาทั้งสองของนางพลันเบิกกว้าง!
“นั่น… นั่นมัน…”
เจ้าสำนักเมี่ยวอินพูดได้แค่นั้น แต่สายตากลับมองไปที่หญิงสาวข้าง ๆ
ซูซวงเองก็ตกตะลึง ดวงตาที่เฉียบคมแต่แฝงไปด้วยความเมตตา… เหมือนจริง ๆ ด้วย
“ใช่… ใช่ไหม?” เจ้าสำนักเมี่ยวอินกับซูซวงเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก เคยเข้าไปในสุสานของตระกูลซู ในสุสานมีรูปวาดของบรรพบุรุษที่ก้าวข้ามขอบเขตพ้นโลกีย์ไปแล้วสามท่าน หนึ่งในนั้นมีลักษณะคล้ายกับวิญญาณศาสตราวุธที่กำลังผ่านทัณฑ์สวรรค์ ดวงตาที่เฉียบคมและตรงไปตรงมานั้น นางไม่มีวันลืม
ซูซวงทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันที
กระทั่งธนูปราบมารมายืนอยู่ตรงหน้าซูซวง นางก็ยังไม่ได้สติ…
หลิงเยว่มองซูซวง แล้วมองหญิงสาวอีกคนจึงเกิดความสงสัย ทั้งสองคนนี้นอกจากอาวุธที่ใช้แล้ว ไม่มีส่วนไหนที่คล้ายกันเลย หากจะบอกว่าคล้าย คงเป็นพลังที่ดูคล้ายกัน
ซูซวงร้องไห้โฮออกมาทันที แล้วพุ่งเข้าไปกอดขาของธนูปราบมาร แต่ลืมไปว่าวิญญาณไม่มีร่าง จึงกอดได้แต่อากาศ ก่อนจะล้มหน้าคะมำลงไป
หลิงเยว่ตัดสินใจลืมประโยคที่บอกว่ามีพลังคล้ายกันทันที
แต่พอเห็นวิญญาณของบรรพบุรุษมาปรากฏตัวต่อหน้าซูซวงเป็นคนแรกหลังจากผ่านทัณฑ์สวรรค์ หลิงเยว่พอจะเดาอะไรได้บ้าง แต่ที่เหลือต้องรอเปิดผนึกความทรงจำจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตก่อน
วิญญาณธนูปราบมารหันไปยิ้มให้ซูซวงที่กำลังร้องไห้ และยื่นมือออกมา มือที่เลือนรางนั้นมีแสงสว่าง…
ทั้งสองได้ทำสัญญากันแล้ว…
นักหลอมศาสตราวุธที่สร้างธนูปราบมารยื่นมือออกไป แล้วอ้าปากพูด เมืองฮั่วหยางจนขนาดนี้… ไม่สิ ตอนนี้ดินแดนทางตอนเหนือไม่ใช่แบบเดิมแล้ว พวกเขาน่าจะจ่ายค่าศาสตราวุธไหว
หรือถ้าจ่ายไม่ไหวก็ยังมีหลิงเยว่ที่เป็นรองเจ้าเมืองอยู่!
ถ้าหลิงเยว่ไม่มีเงิน ชิงยวนในฐานะผู้อาวุโสยอดเขาโอสถต้องมีแน่!
หลิงเยว่ที่ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นหนี้อยู่กำลังนั่งยอง ๆ ดูเรื่องสนุกอยู่ข้างซูซวง แต่พอเห็นฉากที่ญาติได้พบกัน นางก็นึกถึงวิญญาณที่หลับใหลอยู่ในร่าง
หลิงเยว่แอบมองอวี้เจิน จนถึงตอนนี้นางยังไม่ได้บอกเรื่องที่ลุงใหญ่ของตระกูลอวี้หลับใหลอยู่ในร่างของนางเลย
“มองข้าแบบนั้นทำไม?” อวี้เจินถามอย่างสงสัยพลางเอามือลูบใบหน้า แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความชื้นแปลก ๆ จึงยิ้มแห้ง ๆ อย่างรู้สึกผิด
“นึกถึงตอนที่อยู่ในถ้ำปีศาจ…”
อวี้เจินไม่ได้พูดต่อ แต่คนที่เคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาก่อนต่างเข้าใจดี
โม่จวินเจ๋อถึงจะไม่ได้พูดอะไร แต่หลิงเยว่ก็เข้าใจแววตาที่ถามไถ่ จึงพยักหน้า
เพียงแต่ตอนนี้วิญญาณยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา คงเป็นเพราะ… ยังไม่อยากตื่นกระมัง? หลิงเยว่ถอนหายใจเบา ๆ…
กำลังถอนหายใจอยู่ดี ๆ หลิงเยว่พลันชะงักไป เมื่อนักหลอมศาสตราวุธคนหนึ่งยื่นมือมาหาหลิงเยว่
“ยังไม่รวมค่าสุราปราบมารอะไรนั่น ต้องจ่ายค่าหลอมธนูปราบมารด้วย…”
ตัวเลขที่ราวกับเลขดาราศาสตร์สำหรับหลิงเยว่ในตอนนี้ หลุดออกมาจากปากของนักศาสตราวุธ
“ท่านพูดว่าอะไรนะ? ข้าไม่ได้ยิน”
“แกล้งโง่สินะ งั้นข้าไปเอาจากอาจารย์ของเจ้าก็ได้…”
“เดี๋ยวก่อน ๆ” หลิงเยว่รีบพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ท่านผู้อาวุโสพูดถึงหินวิญญาณมันทำลายบรรยากาศเกินไป ข้าใช้สุราปราบมารแลกกับท่านดีกว่าไหม?”
“สุราปราบมารงั้นเหรอ ตกลง!”
หลิงเยว่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็เป็นหนี้สุราปราบมารไปแล้ว
นาง??
สรุปคือ หินวิญญาณเป็นเรื่องรอง เป้าหมายจริง ๆ คือสุราปราบมาร!
นางช่างโง่เขลาเสียจริง ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แถมยังต้องเป็นหนี้แทนคนอื่นอีก!
ไม่ได้! นางไม่ปล่อยซูซวงไปง่าย ๆ หรอก สุราปราบมารน่ะให้ได้ แต่ต้องเอาหินวิญญาณมาใช้หนี้นางด้วย!
หลิงเยว่หยิบกระดาษกับพู่กันออกมา แล้วเขียนใบแจ้งหนี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไปหาซูซวงที่ยังคงมึนงงอยู่ พลันจับมือนางแล้วเซ็นชื่อลงไป!
“ขอดูหน่อย”
ซูซวงที่ถูกบังคับเซ็นชื่อเพิ่งรู้สึกตัวตอนที่หลิงเยว่กำลังจะเก็บใบหนี้ นางจึงรีบแย่งมาดู แล้ววิญญาณก็หลุดลอยออกจากร่าง แม้แต่บรรพบุรุษที่อยู่ตรงหน้าก็เรียกสติหลานสาวคนนี้กลับมาไม่ได้
นั่นมันจำนวนหินวิญญาณที่ขายเมืองฮั่วหยาง ไปหลาย ๆ เมืองก็ยังชดใช้ไม่หมด!
อยากจะเบี้ยวหนี้ใจจะขาด แต่… ศาสตราวุธปราบมารหนึ่งชิ้น แถมวิญญาณในศาสตราวุธยังเป็นบรรพบุรุษของตระกูลซู หากเบี้ยวหนี้คงทำให้ตระกูลซูต้องเสียชื่อเสียง ซูซวงกัดฟันมองหลิงเยว่ที่ยิ้มเยาะ สุดท้ายนางต้องยอมรับชะตากรรม
ภายในพันปี ไม่สิ! ห้าร้อยปี นางต้องชดใช้หนี้หมดแน่!
แต่ซูซวงไม่ค่อยมั่นใจนัก…
การปรากฏตัวของศาสตราวุธปราบมารชิ้นที่ห้า ทำให้สายตาของผู้ชมที่ตื่นเต้นแปรเปลี่ยนเป็นชาชิน
ทัณฑ์สวรรค์ของศาสตราวุธยังไม่หายไปหมายความว่า… อาจจะมีศาสตราวุธชิ้นที่หกหรือชิ้นที่เจ็ดปรากฏขึ้นอีก