ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 30 เมื่อพบศัตรูเราคุยก่อน
บทที่ 30 เมื่อพบศัตรูเราคุยก่อน
บทที่ 30 เมื่อพบศัตรูเราคุยก่อน
หลิงเยว่ใช้เวลาหนึ่งก้านธูปครึ่งในการสกัดน้ำจากสมุนไพรวิญญาณสามสิบหกชนิดและใส่ลงในภาชนะได้สำเร็จ
น้ำจากสมุนไพรวิญญาณมีสีสันสวยงาม
นางพยายามผสมน้ำจากสมุนไพรวิญญาณที่มีสีเดียวกัน และการเคลื่อนไหวของเด็กสาวก็เร็วมากเสียจนติงหลิวหลิ่วที่อยู่ด้านข้างหยุดไว้ไม่ทัน
ตูม!
การผสมน้ำจากสมุนไพรวิญญาณดูเหมือนจะทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีบางอย่าง ทำให้มันระเบิดตรงหน้าของหลิงเยว่ทันที
“ศิษย์น้องห้า ทำไมเจ้าโง่ถึงเพียงนี้!”
ติงหลิวหลิ่วมองด้วยความไม่เชื่อ ขนาดมีตำราอธิบายขั้นตอนการเตรียมโอสถฟื้นปราณไว้อย่างละเอียด แต่ศิษย์น้องห้ากลับสามารถสร้างระเบิดจากน้ำสมุนไพรวิญญาณ
หลิงเยว่เช็ดน้ำจากสมุนไพรวิญญาณออกจากใบหน้า ผม และร่างกายของตัวเองด้วยใบหน้าเขินอาย นางช่างโง่เขลาเสียจริง
น้ำจากสมุนไพรวิญญาณบางชนิดสามารถผสมเข้าด้วยกันได้ แต่สมุนไพรวิญญาณพิเศษบางชนิดเมื่อผสมกันมันจะระเบิด เด็กสาวเพิ่งได้สติว่าตนอาจลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป
แต่นางไม่ใช่นักกลั่นโอสถจริง ๆ เสียหน่อย! เป็นแค่คนที่ทำอาหารจากสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้เท่านั้น!
จริงสิ…
ถ้านางเอาน้ำจากสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้มาทำเป็นอมยิ้มสีรุ้ง น้ำจากสมุนไพรแต่ละอย่างจะถูกทำแยกจากกัน เท่านี้มันก็ไม่ระเบิดแล้วใช่หรือไม่!
ติงหลิวหลิ่วมองหลิงเยว่ที่กำลังยุ่งวุ่นวาย นางได้กลิ่นหอมของนมในอากาศ พลันนึกถึงหวานเย็นอีกครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าวันนี้ศิษย์น้องห้าก็จะทำหวานเย็นอีก?
ติงหลิวหลิ่วคาดหวัง
แต่สิ่งต่าง ๆ กลับแตกต่างไปจากที่นางคาดไว้ ไม่มีหวานเย็นให้เห็นแม้แต่น้อย
“…”
“ศิษย์พี่สาม ท่านลองชิมอมยิ้มนี้ให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
หลิงเยว่พอใจกับอมยิ้มสีรุ้งที่ทำมาก มันมีมากถึงสามสิบหกสี ทั้งยังออกมาดูดีเสียด้วย!
ไม่เพียงมีกลิ่นนมหวานเท่านั้น แต่ยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของสมุนไพรวิญญาณอีกด้วย
“งดงามนัก… นี่เป็นของกินจริง ๆ หรือ?”
ติงหลิวหลิ่วต้องการใช้อมยิ้มอันนี้เป็นปิ่นปักผมเสียด้วยซ้ำ หากสวมมันบนหัว นางจะเป็นนักกลั่นโอสถที่งดงามที่สุดในสำนักแน่นอน!
แน่นอนว่าหลิงเยว่ไม่รู้ว่าศิษย์พี่สามกำลังต้องการใช้อมยิ้มสีรุ้งเป็นปิ่นปักผม โชคดีแล้วที่ไม่รู้ ไม่เช่นนั้นนางก็คงไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้าเช่นไร
อมยิ้มเข้าไปในปากของติงหลิวหลิ่ว ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“!!!”
ช่างหอมหวานนัก!
ไม่… นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือนางรู้สึกว่าปราณในร่างกายมีการโคจรคล้ายผลของโอสถฟื้นปราณ!
อมยิ้มนี้ไม่เหมือนกับโอสถฟื้นปราณซึ่งจะละลายกลายเป็นของเหลว และเติมปราณที่หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อซึมซาบเข้าไปในปาก ทว่าอมยิ้มนี้กลับค่อนข้างละลายช้า และเมื่อความหวานละลายในปาก ปราณก็ถูกเติมเต็มมากขึ้น
ผลของอมยิ้มมีอายุยาวนานกว่าและสามารถฟื้นฟูปราณได้มากกว่าโอสถฟื้นปราณระดับหนึ่งเสียอีก นี่มันเหมือนกับโอสถฟื้นปราณระดับสองไม่มีผิด
เหมาะมากที่จะใช้สิ่งนี้ขณะต่อสู้ เนื่องจากมันสามารถเติมปราณได้ต่อเนื่อง
สิ่งสำคัญคือมันรสชาติหวานและทำให้รู้สึกเบิกบานอารมณ์ ติงหลิวหลิ่วชอบรสชาตินี้นัก!
หลิงเยว่ไม่จำเป็นต้องถามอีกฝ่ายเลย เพียงแค่ดูสีหน้าอันเคลิบเคลิ้มของศิษย์พี่สาม นางก็รู้แล้วว่ารสชาตินั้นต้องดีอย่างแน่นอน แต่นางไม่รู้ว่ามันมีผลของโอสถฟื้นปราณหรือไม่เนี่ยสิ
หลิงเยว่กินอมยิ้มอยู่ในปาก พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ เช่นนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว!
พลางคิดว่าตนควรทำให้เยอะขึ้น บางทีนี่อาจจะเป็นหนทางร่ำรวยจากอมยิ้มสีรุ้งในอนาคตก็เป็นได้
แต่เผื่อไว้ว่าอาจมีอะไรผิดพลาด หลิงเยว่จึงถามเพิ่มเติม
“ศิษย์พี่สาม ลูกอมนี้ให้ผลเท่ากับโอสถฟื้นปราณระดับสองใช่หรือไม่?”
ติงหลิวหลิ่วพยักหน้าทันที
หลิงเยว่ลูบคาง กินอมยิ้มคาไว้ในปากพลางทำอมยิ้มสีรุ้งต่ออีกชุด
ในขณะที่หลิงเยว่กำลังง่วนอยู่กับการทำอมยิ้ม อีกสามคนที่อยู่ในกรงขังกำลังนับเวลา เป็นเวลาเที่ยงแล้วแต่เด็กสาวที่บอกว่าจะมาส่งอาหารกลับยังไม่เห็นแม้แต่เงา!
“นางไม่ได้บอกว่าจะมาส่งอาหารให้เราหรอกหรือ?”
อวี้เจินรู้สึกกังวลขณะจับกรงปราณวารีด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วมองออกไปในระยะไกลอย่างสิ้นหวัง
“ต่อให้เจ้าไม่ได้กินก็ไม่อดตายเสียหน่อย”
ว่านอวี้เฟิงซึ่งนอนตัวตรงอยู่กับพื้นจ้องมองท้องฟ้าที่มืดหม่นอย่างว่างเปล่า
เหล่าบรรพจารย์ช่างมองการณ์ไกล โอสถงดธัญพืชสามารถลดความอยากอาหารของผู้ฝึกตนได้จริง เมื่อก่อนเวลาที่เขาถูกคุมขัง เขาไม่มีความคิดฟุ้งซ่านเหมือนศิษย์พี่ใหญ่ที่ตอนนี้กำลังนั่งขัดสมาธิและหลับตาไม่ขยับเขยื้อน
ทว่าตอนนี้ว่านอวี้เฟิงกลับไม่สามารถสงบได้เช่นก่อนหน้าอีกแล้ว!
ศิษย์น้องห้ากำลังทำร้ายพวกเรา!
ในที่สุดอวี้เจินที่กำลังจะสิ้นหวังก็เห็นร่างเล็ก ๆ ที่นางโหยหามานานเกือบสองชั่วยาม
ว่านอวี้เฟิงลุกขึ้นจากพื้น ส่วนหลงหว่านโหรวก็ลืมตาขึ้นทันที
หลิงเยว่ไม่ได้มาคนเดียว นางยังนำผู้พิทักษ์เดินประกบซ้ายและขวามาด้วย โม่จวินเจ๋อเดินประกบด้านซ้ายและติงหลิวหลิ่วเดินประกบด้านขวา ทั้งคู่มีแท่งไม้เล็ก ๆ อมคาอยู่ในปาก
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง!”
ก่อนที่จะเดินมาถึง ติงหลิวหลิ่วก็โบกมือให้เหล่าคนในกรงขังอย่างตื่นเต้นจากระยะไกล
“โง่เง่า!”
เสียงผู้หญิงที่แหบแห้งสบถดังมาจากด้านข้าง
ติงหลิวหลิ่วหยุดและหันมองไปทางขวา
“เจ้าเรียกข้าว่าคนโง่หรือ?”
จัวหลิงเหยาโน้มตัวไปด้านหน้าใกล้กับกรงปราณวารี และพูดอย่างเย้ยหยันว่า “เห็น ๆ กันอยู่ว่าใครที่เป็น”
ทันทีที่นางพูดจบ อีกสามคนก็เริ่มพูดเสริม
“สงสัยนางคงไม่ได้ฝึกสมองมากนักเมื่อตอนออกไปฝึกฝนนอกสำนัก”
“ถ้านางฝึกสมองบ้าง จะยังโง่อยู่อย่างนี้หรือไม่?”
“สิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดนั้นถูกต้องแล้ว พวกศิษย์สายตรงของผู้นำยอดเขาแต่ละคนล้วนโง่เขลาทั้งนั้น”
ติงหลิวหลิ่วโกรธมากเสียจนอยากจะควักยันต์ออกมาและทุบคนพวกนี้ให้ตายไปเสีย แต่พอนึกได้ว่าไม่สามารถใช้ปราณในหุบเขาจองจำได้ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วนางจะไม่สามารถหยิบสิ่งใดออกจากแหวนมิติได้เลย
“เจ้ารอก่อนเถอะ!”
หลิงเยว่ที่ถือกล่องอาหารรู้สึกว่าเสียงหนึ่งฟังดูคุ้นเคย แต่นางจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาจากที่ใด
“ถ้ามองข้าเช่นนั้นอีกครั้ง ข้าจะควักลูกตาของเจ้าเสีย!”
“ถ้าเจ้าพูดกับนางด้วยน้ำเสียงนี้อีก ข้าจะตัดลิ้นของเจ้าซะ”
น้ำเสียงของจัวหลิงเหยานั้นเย็นชา แต่น้ำเสียงของโม่จวินเจ๋อเย็นชายิ่งกว่านางซะอีก
“ข้าจำได้แล้ว! นางเป็นคนโยนข้าลงมาจากยอดเขา!”
หลิงเยว่มีสีหน้าประหลาดใจ เมื่อตอนนั้นนางแค่อยากชวนอีกฝ่ายกินอาหารเช้าเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับโยนเด็กสาวออกจากภูเขาเสียอย่างนั้น
บางทีอาจเป็นเพราะว่าสัญชาตญาณของการเป็นปรปักษ์กันของศิษย์ผู้นำยอดเขาและศิษย์ของรองผู้นำยอดเขานั้นรุนแรงเกินไป เพียงเจอหน้ากัน แม้จะไม่รู้จักกันแต่ก็กลายเป็นศัตรูกันไปโดยปริยาย
“นังคนชั่วช้า!” ติงหลิวหลิ่วชี้ไปที่จัวหลิงเหยาด้วยความโกรธ
จัวหลิงเหยายังจำเหตุการณ์นั้นได้และหัวเราะเบา ๆ “น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า”
“ข้าดวงดีเสมอ”
หลิงเยว่ก็ไม่โกรธเช่นกัน รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหวานเสียยิ่งกว่าอมยิ้มซะอีก
“ไปกันเถอะ ศิษย์พี่ใหญ่คงจะหิวแล้ว”
หลิงเยว่ดึงติงหลิวหลิ่วที่กำลังจะสบถด่าอีกรอบ นางหันหลังกลับและยิ้มให้จัวหลิงเหยาอีกครั้ง
โม่จวินเจ๋อเหลือบมองจัวหลิงเหยาด้วยสายตาสื่อความหมาย เขาตั้งตารอเพียงการแข่งขันประจำสำนัก
เป็นเรื่องปกติใช่หรือไม่ที่จะเผลอพลาดทำร้ายคู่ต่อสู้บาดเจ็บสาหัสโดยไม่ได้ตั้งใจบนลานประลอง?
จัวหลิงเหยาที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับรอยยิ้มของหลิงเยว่ แต่นางกลับรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นโม่จวินเจ๋อยิ้มให้นาง
เป็นไปได้หรือไม่ว่าบุตรบุญธรรมของเจ้าสำนักต้องการขับไล่นางออกจากสำนักด้วยวิธีสกปรก?
เป็นไปไม่ได้! อาจารย์ย่อมต้องปกป้องนาง!
จัวหลิงเหยาที่ปลอบโยนตัวเอง จึงค่อยสามารถระงับความไม่สบายใจ พลันจ้องมองที่แผ่นหลังของหลิงเยว่อย่างเงียบ ๆ
ภูมิหลังของเด็กสาวคนนี้คืออะไร เหตุใดโม่จวินเจ๋อถึงแสดงออกว่าต้องการปกป้องนางถึงเพียงนี้?
มีคนน้อยมากที่สามารถทำให้ชิงยวนยกเว้นและยอมรับเป็นศิษย์ก่อนการแข่งขันสำนัก บางทีเด็กสาวคนนี้อาจมีพรสวรรค์มากก็เป็นได้
ไม่ได้การแล้ว! เมื่อข้าออกไปจากที่นี่ต้องรีบไปรายงานเรื่องนี้ต่อท่านอาจารย์!
“เจ้าคุยกับพวกนักโทษห้องขังข้าง ๆ อย่างสนุกสนานเชียวนะ”
อวี้เจินเริ่มพูดอย่างกลับขาวเป็นดำอีกครั้ง โดยจ้องมองที่หลิงเยว่ด้วยท่าทางขุ่นเคืองซึ่งดูน่ากลัวมาก
“ทำไมท่านถึงพูดเกี่ยวกับตัวเองเช่นนั้นเจ้าคะ?” หลิงเยว่พูดด้วยความหงุดหงิด
คนอื่น ๆ คิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเข้าใจว่าหลิงเยว่หมายถึงอะไร
“ข้าไม่ใช่นักโทษ”
กลิ่นของอาหารในอากาศช่วยคืนชีพว่านอวี้เฟิงที่กำลังอยู่ในอารมณ์มืดหม่นทันที
เมื่อกินมื้อนี้เสร็จแล้วเขาจะได้เป็นอิสระเสียที!