ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 304 ขอบคุณท่านเสวียนอู่ที่ช่วยชีวิต!
บทที่ 304 ขอบคุณท่านเสวียนอู่ที่ช่วยชีวิต!
แม้หลิงเยว่จะรังเกียจร่างของหมอกแดงที่แหลกเหลวจนแทบดูไม่ได้ และเศษชิ้นส่วนของแก่นปีศาจที่แตกกระจาย แต่ยังกัดฟันชักกริชออกมาแทงเข้าไปในท้องของนางอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
“ศิษย์น้องห้า นางตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้ พวกเราอย่าไปดูหมิ่นศพนางเลย” ติงหลิวหลิ่วตะโกนเตือนด้วยความตกใจ
หากไม่ตะโกนคงไม่ได้ยิน เพราะพายุทรายยังคงโหมกระหน่ำ พวกเขาสื่อสารกันโดยใช้การตะโกนเป็นหลัก แน่นอนว่าจะใช้ศิลาสื่อสารคุยกันก็ได้ แต่ติงหลิวหลิ่วไม่ชอบ
หลิงเยว่เหลือบมองติงหลิวหลิ่ว นางไม่ได้อยากดูหมิ่นศพเหมือนกัน แต่เพื่อฮวนฮวนจะได้แอบเข้าไปในเขตแดนปีศาจได้เร็วขึ้น นางผู้ซึ่งเคยฆ่าแต่ไก่ เป็ดและสัตว์อสูร สุดท้ายจึงต้องลงมือกับศพเช่นนี้…
กริชนั้นกรีดท้องของหมอกแดงได้อย่างง่ายดาย
“ศิษย์น้องหลิง เจ้า… เจ้าอยากทำอะไรกันแน่? อยากจะกิน… หมอกแดงงั้นรึ?” ลู่เป่ยเหยียนตกใจกับคำพูดของตนเอง หลังจากสัตว์อสูรแล้ว ตอนนี้ศิษย์น้องของพวกเขากำลังจะลงมือกับเผ่าปีศาจต่อหรือ!
“นี่! เนื้อเผ่าปีศาจจะกินได้หรือ?” อวี้เจินทำหน้าหวาดกลัว แต่ในใจยังแอบคาดหวังอยู่บ้าง แม้แต่สัตว์อสูรยังกินได้ เผ่าปีศาจก็น่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรใช่ไหม?
“ข้าช่วยเอง”
โม่จวินเจ๋อรับกริชที่แปลงร่างจากดอกไม้สีดำ เตรียมที่จะจัดการศพของหมอกแดง งานแบบนี้เขาเคยทำมาแล้ว เพียงแค่กรีดเบา ๆ แขนของหมอกแดงที่เดิมทีก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้วจึงขาดกระเด็น…
คนอื่น ๆ ต่างยืนมองโม่จวินเจ๋อเงียบกริบราวกับมองปีศาจ
อวี้เจินไม่พอใจกับวิธีการของโม่จวินเจ๋อเป็นอย่างมาก นางจึงรีบแย่งกริชมาทันที “ให้ข้าบอกวิธีจัดการศพเองเถอะ อันดับแรกผ่าท้อง…”
“เดี๋ยวก่อน! พวกเจ้าคิดว่าข้าจะเอาหมอกแดงไปทำอาหารจริง ๆ เหรอ!”
ไม่ใช่รึ?
เมื่อเผชิญกับสายตาแน่วแน่สิบคู่ หลิงเยว่รู้สึกอึ้งไปเลย เรื่องวิปริตแบบนั้นนางจะทำได้ลงคอเชียวรึ?!
“ข้าแค่ต้องการรวบรวมแก่นปีศาจของนางเท่านั้น”
ทั้งสิบคน “…”
มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปหมดแล้ว จะเก็บสะสมอะไรแบบนั้นไว้ทำไม?
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าคิดสั้นดูดซับพลังในแก่นปีศาจเข้าไปเชียวนะ เพราะมันจะเกิดอาการคลุ้มคลั่งได้” หลงหว่านโหรวกล่าวเตือนด้วยความกลัวว่า หลิงเยว่จะคิดสั้นดูดซับแก่นปีศาจ
“ไม่ใช่ข้าที่จะดูดซับ แต่เป็นฮวนฮวนต่างหาก” หลิงเยว่เลือกที่จะพูดความจริง
อวี้เจินร้อง “โอ้!” ออกมา จากนั้นจึงเริ่มคุ้ยท้องของหมอกแดง เมื่อกลิ่นคาวเลือดปนกับกลิ่นทะเลทราย ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกไม่สบายตัว
เวลาผ่านไปแต่ละนาที พายุทรายที่พัดขึ้นมามีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ หลิงเยว่หรี่ตามองไป จากนั้น…
“พวกเราต้องรีบออกจากที่นี่แล้ว!”
แก่นปีศาจอะไรนั่นไม่เอาแล้วก็ได้ เพราะตอนนี้พายุทรายทั้งหมดมันกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาล้อมพวกเขาไว้ตรงกลางแล้ว!
หลิงเยว่ดื่มชาแปลงร่างเสวียนอู่เข้าไป เก้าคนที่ไม่หลงเหลือพลังใด ๆ แล้วจึงไม่มีทางกินยาแปลงร่างได้ เลยต้องอาศัยหลิงเยว่เป็นพาหนะแทน
แสงสีทองเจิดจ้า!
สัตว์เทพโบราณเสวียนอู่ตัวมหึมาลอยอยู่กลางอากาศ พลางยกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้นมาดูอย่างแปลกใจ จากนั้นจึงยืดคอยาวมองไปที่หางของตัวเองที่แกว่งไปมา
นางขยับแขนขาอย่างร่าเริง เลียนแบบท่าทางการว่ายน้ำ แล้วลอยฟิ้วหายวับไปในพริบตา!
เก้าคนไร้ค่าที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง…
เพียงพริบตา เสวียนอู่ก็กลับมาที่เดิมอีกครั้ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดเล็กน้อยว่า “ขออภัย ข้าลืมพวกเจ้าไปเสียสนิทเลย”
เก้าคนจ้องมองหลิงเยว่ โดยไม่พูดอะไร พวกเขาคิดว่าหลิงเยว่น่าจะเข้าใจสายตาของพวกเขาดี
ดวงตาสีทองเข้มของหลิงเยว่กะพริบอย่างสงสัย “พวกเจ้าไม่ขึ้นมาหรือ?”
นางบินขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว คิดว่าพวกเขาที่เป็นแค่คนไร้ค่าจะขึ้นไปได้เหรอ?
“ศิษย์น้อง เจ้า… ลงมาหน่อยได้ไหม?” ผู่ตานเอ่ยขึ้นอย่างจนใจ
“โอ้…”
หลิงเยว่จึงลดระดับลงมา รอจนคนครบจึงเริ่มกวาดเท้าว่ายขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
“อ๊าก! ศิษย์น้องช้าหน่อย!” สือเชี่ยนที่เกือบจะร่วงลงไปเกาะกระดองเต่าเรียบลื่นไว้แน่น จากนั้นค่อย ๆ คลานต้านลมไปข้างหน้า นางจึงคายทรายที่เข้าปากออก
“จะชนแล้ว ชน…” ติงหลิวหลิ่วที่กอดหางของหลิงเยว่ไว้ ได้แต่นิ่งเฉย มองดูหลิงเยว่พาพวกเขาพุ่งเข้าใส่พายุทราย
คนกลุ่มหนึ่งพร้อมกับเสวียนอู่ถูกพายุพัดขึ้นไปบนท้องฟ้าสูง
“ข้าเพิ่งเคยบินครั้งแรก ขอลองหน่อย” หลิงเยว่พยายามพาคนอื่น ๆ บินฝ่าพายุทราย เพิ่งจะโผล่หัวขึ้นไปได้ก็ถูกพายุอีกลูกหนึ่งดูดเข้าไปอีกครั้ง
โม่จวินเจ๋อที่กลายเป็นมนุษย์ทรายอย่างสมบูรณ์แบบ ปาดทรายที่เกาะอยู่บนตาออกอย่างใจเย็น แต่ครู่ต่อมาเขาก็ถูกทรายปกคลุมไปทั้งหน้า เลยตัดสินใจที่จะไม่ดิ้นรนปาดทรายออกอีกต่อไป
“แปลกจริง! เกิดอะไรขึ้นกับสัตว์เทพโบราณตัวนั้นกัน?”
“บาดเจ็บสาหัสรึเปล่า? ทำไมถึงชอบพุ่งเข้าใส่พายุทรายตลอดเลย”
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ พาข้าไปด้วย…”
ผู้บำเพ็ญที่ติดอยู่ในทะเลทรายวิ่งออกมาจากที่ซ่อนตัว แล้วโบกมือให้หลิงเยว่อย่างบ้าคลั่ง!
“ช่วย… ช่วยด้วย!”
แม้จะบินตะกุกตะกัก แต่การช่วยเหลือผู้คนของหลิงเยว่นั้นรวดเร็วมาก พายุทรายเหล่านี้เทียบไม่ได้เลยกับเสวียนอู่ที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่ง!
“ฮือ ๆ ๆ รอดแล้ว…”
ผู้บำเพ็ญที่รอดชีวิตมาได้ต่างกอดกันร้องไห้ พวกเขายังคิดว่าต้องตายอยู่ที่นี่เสียแล้ว ใครจะไปคิดว่าเสวียนอู่จะได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือและมาช่วยพวกเขาจริง ๆ!
เดิมทีหลิงเยว่ตั้งใจจะพาเพื่อน ๆ กลับไปเลย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจช่วยเหลือผู้บำเพ็ญที่พบเจอระหว่างทางทุกคน เพียงชั่วครู่ บนหลังเต่าจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ส่วนหลิงเยว่ที่กำลังว่ายอยู่บนท้องฟ้าจึงได้เรียนรู้ทักษะการบินด้วยตัวเอง แถมยังใช้พลังของเสวียนอู่สร้างเกราะป้องกันให้กับทุกคนได้อีกด้วย
เมื่อมีเกราะป้องกันแล้ว เหล่าสหายก็ไม่ต้องกลัวลมและทรายอีกต่อไป!
ถึงอย่างไร เก้าคนที่ถูกพัดจนกลายเป็นมนุษย์ทรายยังไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก เพราะหลิงเยว่ว่ายแบบฉวัดเฉวียนเกินไป บ้างถอยหลัง บ้างพุ่งไปข้างหน้า บ้างก็ทิ้งดิ่งลงมา
ถึงแม้จะมีเกราะป้องกัน และมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ร่วงหรือไม่ถูกทรายพัด แต่… พวกเขากลับเซ ชนกันไปมา ทำให้ทุกคนล้มระเนระนาด ทุกข์ทรมานแสนสาหัส
ผู้บำเพ็ญที่ได้รับความช่วยเหลือไม่มีเวลาร้องไห้ ได้แต่หวังว่าเมื่อออกไปได้อย่างปลอดภัย บาดแผลบนร่างกายจะน้อยลงหน่อย
หลิงเยว่ไม่รู้เรื่องพวกนี้ เพราะนางมัวแต่ยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือผู้คน
“พวกเจ้าดูสิ นั่นอะไร!?”
ในตอนนั้นเอง ท้องฟ้าเบื้องล่างถูกย้อมเป็นสีม่วงด้วยเปลวเพลิงสีม่วงพิสดาร
หลิงเยว่สังเกตเห็นตั้งนานแล้ว ในตอนที่พลังในร่างกายไหลออกอย่างรวดเร็ว นางสัมผัสได้ถึงดอกบัวเพลิงที่ไล่ตามเปลวเพลิงสีม่วงพิสดารมา พวกมันกำลังต่อสู้กันอยู่!
หลิงเยว่ที่ช่วยเหลือผู้คนจนเกือบหมดแล้วไม่ได้คิดจะเข้าไปยุ่งอีก แต่กลับเร่งความเร็วพุ่งออกจากทะเลทราย นางต้องรีบกลับไปหาโอสถฟื้นปราณมากิน ไม่อย่างนั้นพลังวิญญาณของนางคงจะหมดเกลี้ยง!
เมื่อพวกเขาออกจากทะเลทรายได้สำเร็จ พายุทรายในทะเลทรายก็ถูกย้อมเป็นสีม่วง และไม่ได้พัดออกไปด้านนอกอีก แต่กลับเคลื่อนตัวเข้าไปด้านในราวกับนัดกันไว้
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว!”
กลุ่มคนที่ได้รับความช่วยเหลือพากันโห่ร้อง แต่แล้วก็ถูกเสวียนอู่พลิกตัวคว่ำลงมา เมื่อตั้งสติได้ สัตว์เทพตัวนั้นก็หายวับไปแล้ว
ผู้บำเพ็ญที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังไม่ได้โกรธเคือง ตรงกันข้าม พวกเขากลับคุกเข่าลงกับพื้น ก้มลงคำนับไปทางท้องฟ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับตะโกนว่า “ขอบคุณท่านเสวียนอู่ที่ช่วยชีวิต!”
เมื่อคนหนึ่งตะโกน คนอื่น ๆ จึงพากันตะโกนตาม จนเสียงดังกึกก้องไปทั่ว
เสียงขอบคุณเหล่านั้นทำให้หลิงเยว่แอบยิ้มออกมา