ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 314 ชายผู้โชคร้ายดำเนินชีวิตตามชื่อของเขา
บทที่ 314 ชายผู้โชคร้ายดำเนินชีวิตตามชื่อของเขา
หุบเขาโบราณตะวันตกในยามนี้ช่างเงียบสงบยิ่งนัก เสียงคำรามของสัตว์ร้าย แมลงมีพิษและงูพิษต่างลดน้อยลงจนแทบไม่มีให้เห็น บางพื้นที่แม้แต่แมลงตัวยังไม่มี
ม่านพลังยังคงอยู่ แต่พวกสัตว์ร้ายหายไปไหนกันหมด?
แล้วครอบครัวของเฝิ่นอีย้ายไปอยู่ที่ใดกัน?
“ท่านพี่ของเจ้าจะถูกเผ่าปีศาจจับตัวไปหรือไม่?”
ผู่ตานเอ่ยถาม ก่อนจะถูกเฝิ่นอีจ้องมองด้วยแววตาดุร้าย!
หลังจากจ้องผู่ตานแล้ว เฝิ่นอีก็หันไปจ้องโมจวินเจ๋อ “หากพวกเจ้าไม่ย้ายวังของท่านพี่ข้าไป ท่านพี่คงไม่ย้ายบ้านหรอก!”
มนุษย์ช่างชั่วร้าย ซ้ำยังกัดกินวังเห็ดของท่านพี่ข้าต่อหน้าต่อตา!
แถมยังหลอกลวงให้ข้ากินด้วย ช่างน่าชังนัก!
โมจวินเจ๋อมองไปทางอื่นอย่างรู้สึกผิด มิใช่เขาหรือหลิงเยว่ที่เป็นคนย้ายตำหนักไป แต่เป็นหัวหน้าตะขาบมรกต ตะขาบโลภมากตัวนั้นต่างหากที่เป็นคนลงมือกินเห็ดยักษ์
“เจ้าแน่ใจหรือว่าพี่ชายของเจ้าเพียงแค่ย้ายที่อยู่ มิใช่พาชาวเผ่าทิ้งถิ่นฐานไปจากหุบเขานี้แล้ว?”
พวกเขาร่อนเร่อยู่แถบนี้มาเนิ่นนาน หากเหล่าวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยยังคงพำนัก ณ ที่แห่งนี้ คงปรากฏกายออกมาล้อเลียนพวกเขาเป็นแน่
เฝิ่นอีนิ่งเงียบไป นางเองไม่อาจรู้แน่ชัด กลิ่นอายของเผ่าวิญญาณผู้พิทักษ์เลือนรางมาก คล้ายเกิดเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้พี่ชายของนาง…
“เป็นไปไม่ได้ พวกข้าเผ่าวิญญาณผู้พิทักษ์ต่างพำนัก ณ ที่แห่งนี้สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ไม่อาจทิ้งถิ่นฐานไปได้ง่ายดายเช่นนี้ พี่ชายข้าต้องพบเจอกับศัตรูที่ร้ายกาจ จึงจำต้องหลบซ่อนตัวเป็นแน่!”
วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
ผู่ตานลูบคางอย่างครุ่นคิด หรือว่าพวกปีศาจร้ายจะล่วงหน้ามาพบกับเผ่าวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยก่อนพวกเขา และควบคุมพวกเขาไว้ จุดประสงค์เพื่อปิดกั้นไม่ให้เผ่าวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยยื่นมือเข้าช่วยปิดผนึกพลังปีศาจทั่วทั้งดินแดนตะวันตก
โม่จวินเจ๋อเองก็คาดการณ์เช่นนั้น ในเมื่อมนุษย์ยังมีวิหารบูชาปีศาจได้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีเพียงนางสนมปีศาจและนายพลปีศาจอยู่เพียงเท่านั้น คงต้องมีปีศาจร้ายอีกจำนวนไม่น้อยแฝงตัวอยู่เป็นแน่!
“พวกเราลองตามหาอีกหนึ่งเดือน หากยังไร้วี่แวว ค่อยออกจากที่นี่เถอะ”
โม่จวินเจ๋อเอ่ย ในใจก็ยังกังวลถึงหลิงเยว่ด้วย
ฮวนฮวนเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์ หากถูกพวกปีศาจร้ายหลอกล่อ จนเผลอก่อเรื่องทำร้ายหลิงเยว่ขึ้นมา คงไม่ต่างอะไรกับ… ผู้อาวุโสมู่ที่ถูกสหายรักอย่างปรมาจารย์เซียงเวยลอบทำร้าย
แม้มิใช่เรื่องของฮวนฮวน หากบังเอิญท่านพ่อของนาง…
เพียงนึกถึงเรื่องนี้ โม่จวินเจ๋อก็ไม่อยากรั้งรออยู่ในหุบเขานี้อีกต่อไป ปรารถนาเพียงมุ่งหน้าไปหาหลิงเยว่ในทันที
หุบเขากว้างใหญ่เพียงนี้ หนึ่งเดือนจะเพียงพอหรือ?
และหากจินหนิงถูกจับตัวไป พวกเขาจะไม่ช่วยเหลือเชียวหรือ!
เฝิ่นอีโกรธจนตัวพอง คงอยู่ท่าเดิมไม่ยอมไปไหน
โครม!
ไม่ไกลนัก ต้นไม้ใหญ่ล้มครืนลงมา เสียงดังสนั่นหวั่นไหว วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยตกใจสะดุ้งสุดตัว นางหลบไปด้านหลังโม่จวินเจ๋อด้วยความหวาดกลัว พลางมองต้นไม้อื่น ๆ ที่ล้มตามมาเพราะแรงกระแทก มีทั้งฝุ่นควันและใบไม้ร่วงหล่นลงมาเต็มพื้น
และบนพื้นดินยังปรากฏหลุมขนาดใหญ่…
“พี่ชาย!”
ครั้นทั้งสองก้าวล่วงเข้าไปในโพรงใต้ดิน ใบไม้ที่ร่วงหล่นเต็มพื้นดินพลันม้วนตัวปิดปากโพรงราวกับมีชีวิต ต้นไม้ที่ล้มครืนก็กลับยืนต้นตรงดังเดิม…
ราวกับว่าเมื่อครู่ ต้นไม้ที่ล้มลงเป็นเพียงภาพมายา!
เสียมู่ที่สะกดรอยตามทั้งสองมาถึงกับขมวดคิ้ว
“นี่คือภาพลวงตาหรือ?”
เขาค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ต้นไม้ที่กลับคืนสู่สภาพเดิม เตะบ้าง ถีบบ้าง ครั้นแน่ใจว่าเป็นต้นไม้จริงก็กระทืบเท้าลงกับพื้น
“เมื่อครู่โพรงนี้อยู่ตรงนี้เอง!”
ปากโพรงปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับไม่ใช่โพรงใต้ดินอันมืดมิด หากเป็นหลุมที่เขาใช้กำลังกระทืบจนเกิดเป็นโพรงขึ้นมา
“โพรงนั่นเปลี่ยนที่ไปแล้ว!”
เสียมู่จ้องมองหลุมลึกที่ตนเหยียบไว้พลางครุ่นคิด ไม่แปลกใจที่ใคร ๆ ต่างกล่าวขานว่าผังเมืองในหุบเขาโบราณตะวันตกนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
หรือว่าโม่จวินเจ๋อจะรู้ตัวแล้ว จึงแกล้งทำเช่นนี้?
เรื่องนี้เสียมู่กล่าวโทษโม่จวินเจ๋อผิดไป ระดับการบำเพ็ญขอบเขตปฐมวิญญาณของเขาและผู่ตาน จะสู้เขาที่มีระดับบำเพ็ญถึงขอบเขตบำเพ็ญเต๋าได้อย่างไร พวกเขาไม่รู้ว่ามีคนตามอยู่เบื้องหลังด้วยซ้ำ!
ผู่ตานลูบแขน ปล่อยแก่นปราณอัคคีออกมา แต่ไฟกลับส่องสว่างได้ในระยะเพียงสั้น ๆ ส่วนเบื้องหน้าออกไปยังคงมืดมิด แม้แต่ลมก็ไม่มี
“เฝิ่นอีเจ้าอยู่ไหน?”
เฝิ่นอีไม่ตอบ โม่จวินเจ๋อไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของนางเลย แม้ใช้เวทเรียกคืน แต่ร่างของนางก็ยังไม่ปรากฏ
โม่จวินเจ๋อมองผู่ตาน
จนผู่ตานรู้สึกขนลุกที่ถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น “เจ้ามองข้าเช่นนั้นทำไม อย่าบอกนะว่าเพราะข้ามาด้วย เจ้าถึงได้มาเจอหลุมดำนี่!”
โม่จวินเจ๋อมองด้วยสายตาที่มีความหมายว่า ‘เจ้ารู้ก็ดีแล้ว’ ก่อนจะเดินนำหน้าไปโดยไม่เอ่ยคำใด
เมื่อเบื้องหลังถูกปิดตาย พวกเขาจึงทำได้เพียงฝืนก้าวเดินหน้าต่อไป
ยิ่งลึกเข้าไป อุณหภูมิยิ่งลดต่ำ กลิ่นสาบดินโชยตลบอบอวล ผู่ตานจึงใช้แก่นปราณอัคคีส่องไปยังกำแพงเบื้องหน้า ภาพที่ปรากฏทำให้ร่างของเขานิ่งราวกับถูกแช่แข็ง
สถานที่แห่งนี้หาใช่โพรงดำไม่ หากแต่เป็นเส้นทางที่สร้างขึ้นจากแมลงนับไม่ถ้วน เดิมทีเงียบสงัดไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว ทว่าเมื่อแสงเพลิงส่องกระทบ กำแพงแมลงก็กลับมีชีวิต แมลงน้อยใหญ่ต่างไต่ยั้วเยี้ยราวกับคลื่นซัดสาด
โม่จวินเจ๋อเองก็เห็นเช่นนั้น เขายกเท้าขึ้นเหยียบลงบนโคลนเบื้องล่างอย่างไม่ลังเล ความรู้สึกของแมลงที่ถูกบดขยี้จนแหลกเหลวส่งผลให้หนังศีรษะของเขาชาไปทั้งแถบ
โพรงดำที่แท้จริงแล้วหาใช่โพรงดำไม่ หากแต่เป็นโพรงแมลง!
“หรือว่าที่นี่จะเป็นฝีมือของพวกปีศาจอีก?”
คงมีแต่พวกวิปริตและโหดเหี้ยมเท่านั้น ถึงได้สร้างสรรค์สิ่งน่าขยะแขยงเช่นนี้ได้!
“มิน่าเล่า ยุงและแมลงในหุบเขาถึงได้ลดน้อยลง ที่แท้ก็มาอยู่ที่นี่กันหมด” โม่จวินเจ๋อเอื้อมมือไปสัมผัสผนังด้านข้าง ความรู้สึกเย็นเยียบ ผิวสัมผัสลื่นราวกับกำลังลูบไล้ผิวหนังของงู น่าขยะแขยงยิ่งนัก…
แม้กระทั่งงูยังถูกนำมาสร้างเป็นโพรงด้วย!
วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยอาจติดอยู่ในนี้จริง ๆ
ยิ่งเดินลึกเข้าไป ผู่ตานยิ่งหวาดกลัว แม้แต่แก่นปราณอัคคี เขายังไม่กล้าปลดปล่อยออกมา เพราะกลัวว่าความร้อนจะปลุกกองทัพแมลงที่กำลังหลับใหล
ฝูงแมลงและงูในโพรงนี้มิได้ตาย เพียงแต่ตกอยู่ในห้วงนิทราโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้ถูกสัมผัสหรือถูกเหยียบย่ำก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ
สถานที่อันน่าขนลุกเช่นนี้ ทำให้ทั้งสองหวาดผวา ยิ่งเมื่อรู้ว่าพวกเขากำลังเหยียบย่ำเส้นทางที่ฝูงแมลงสร้างขึ้น และเหนือหัวอาจเป็นงูหรือแมงป่องพิษ ยิ่งทำให้รู้สึกเสียวสันหลังมากขึ้น
“พวกเรากลับกันเถิด” ยิ่งเดินลึกเข้าไป ผู่ตานยิ่งรู้สึกไม่ดี ราวกับจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น!
“กลับทางใดเล่า?” โม่จวินเจ๋อหันกลับไปมองเบื้องหลัง มีเพียงความมืดมิด ทางเข้าที่พวกเขาผ่านมาถูกปิดตายเสียแล้ว บัดนี้มีเพียงทางเบื้องหน้าเท่านั้น
ทั้งสองเดินต่อไปจนพบกับสามแยก
โม่จวินเจ๋อยืนอยู่ตรงกลาง เขาได้กลิ่นอายของวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยที่เลือนหายไป กลิ่นนั้นลอยมาจากเส้นทางซึ่งปูด้วยงูยักษ์สีแดงเข้มที่กำลังหลับใหล
“เฝิ่นอีเข้าไปในทางนี้”
ผู่ตานไม่ชอบการตัดสินใจ ยิ่งหลังจากเหตุการณ์ที่วิหารบูชาปีศาจ เขาก็ยิ่งมีปมในใจ บัดนี้มีคนตัดสินใจแทนแล้ว เขาเลยไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจเรื่องเส้นทางอีกต่อไป!
“เจ้าก่อน…”
โม่จวินเจ๋อเหลือบมองผู่ตานที่ดูขลาดเขลา ท่าทางสงบนิ่งก้าวเท้าขึ้นไปเหยียบบนหัวงูหลามที่หันมาที่พวกเขา
แท้จริงแล้วเขามิได้สงบนิ่งอย่างที่แสดงออก งูหลามตัวนี้เห็นได้ชัดว่ายังมีชีวิต ลมหายใจของมันสามารถพัดคนธรรมดาให้ปลิวได้ โม่จวินเจ๋อยังคงเห็นลูกตาของมันขยับแม้หลับตาอยู่ด้วยซ้ำ!
ผู่ตานเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน เขาจึงวิ่งหนีทันที แต่พริบตาที่หันหลังกลับไป ปากของงูหลามกลับอ้ากว้าง
แรงดูดมหาศาลได้ดูดผู่ตานเข้าไปในท้องงูทันที
จากนั้นมันก็ลืมตาข้างหนึ่งขึ้นมอง
โม่จวินเจ๋อที่สบตากับงูหลาม “…”