ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 357 ตายไปส่วนหนึ่ง
บทที่ 357 ตายไปส่วนหนึ่ง
การใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบที่อยู่รอบตัวอย่างสมเหตุสมผล หลิงเยว่ชั่งใจคำพูดนี้อย่างละเอียด รอบตัวนางตอนนี้มีเพียงเผ่าปลาหมัวอินและสิงโตเก้าหางเท่านั้น อีกทั้งยังมี… เผ่าปีศาจกระทิง
โอ้! ระบบคงต้องการให้นางรีบไปตายสินะ?
เนื้อวัวธรรมดากินไม่ได้ แต่จะกินเผ่าปีศาจกระทิง… และมีเพียงเผ่าปีศาจกระทิงที่แปลงร่างได้สมบูรณ์เท่านั้นที่จะเข้าใจวิชาคงกระพัน
วิชาคงกระพันและวิชาต้านทานของงูตัวนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกัน อย่างหลังสามารถต้านทานความเสียหายจากวิชาเวททั้งหมด ส่วนอย่างแรกเป็นจุดอ่อนของผู้บำเพ็ญที่ใช้อาวุธในการต่อสู้ เช่น ผู้ฝึกดาบ เป็นต้น
หากกินทั้งปีศาจกระทิงและงูตัวนั้นพร้อมกัน รวมกับกายาต้านหายนะของนาง จะไม่กลายเป็นผู้ไร้พ่ายหรอกหรือ!?
หลิงเยว่จำต้องยอมรับว่านางตื่นเต้นขึ้นมา เลือดร้อนพลุ่งพล่านขึ้นสมอง อยากจะรีบไปถามผู้อาวุโสกระทิงทันทีว่า กระทิงที่แปลงร่างได้สมบูรณ์ในเผ่าของพวกเขาจะยอมตัดเนื้อให้นางสักชิ้นได้ไหม…
แต่นางคงจะถูกตีตายแน่เลยใช่ไหม?
งั้นลองใช้สิงโตเก้าหางทดลองก่อนดีกว่า
ต้องบังคับหรือค่อย ๆ ซื้อใจเหมือนกับเผ่าปลาหมัวอินที่ยอมให้นางสับเนื้อด้วยความเต็มใจ?
การทำให้สิงโตเก้าหางยอมเสียสละเนื้อให้นางทำการทดลองด้วยความเต็มใจนั้น ยังไม่ดีเท่ากับการซื้อจากระบบแลกเปลี่ยนเลย
หลิงเยว่เปิดตลาดในระบบและค้นหาวัตถุดิบ แล้วต้องตกตะลึง นี่มันแพงเกินไปแล้ว!
เนื้อหนึ่งชั่ง ห้าแสนล้านค่าพลังวิญญาณ แพงกว่าเลือดของสัตว์อสูรที่มีการสืบทอดเสียอีก!
“ระบบ ลดราคาลงหน่อยได้ไหม?”
[อยากซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ช่าง]
ดีนัก! ดูท่าทางยโสของมันเถอะ!
พอซื้อเนื้อสิงโตเก้าหางหนึ่งชั่งสำเร็จ หักห้าแสนล้านค่าพลังวิญญาณ ยอดคงเหลือสองแสนห้าหมื่นล้านค่าพลังวิญญาณ
หลิงเยว่เพิ่งซื้อเสร็จ หัวใจก็เริ่มเจ็บปวด
ขอคืนได้ไหม?
หลิงเยว่สบถเบา ๆ ไม่คืนก็ไม่คืนสิ!
สองแสนล้านหินปีศาจแลกมาเป็นค่าพลังวิญญาณหนึ่งแสนล้าน เจ็ดแสนล้านซื้อค่ายกลระดับเทพ ราคาแพงเกือบเท่ากับยันต์ทำลายล้างระดับเทพแล้ว แต่ก็ไม่ถูก ยันต์ทำลายล้างระดับเทพใช้ได้ครั้งเดียว ส่วนค่ายกลระดับเทพใช้ได้ตลอดตราบใดที่ไม่ถูกทำลาย คิดดูแล้วยันต์ทำลายล้างระดับเทพยังแพงกว่า
ช่างเถอะ! ไม่คิดแล้ว ทำภารกิจสำคัญกว่า ส่วนหินปีศาจ ถ้าจำเป็นนางค่อยไปปล้นเอาก็ได้!
หลิงเยว่ได้เนื้อมาแล้วก็เข้าสู่ภวังค์อีกครั้ง
นางเปลี่ยนไปอยู่ถ้ำใต้ดินแห่งใหม่ เพราะที่เดิมมีกระทิงกับสิงโตอยู่
หนึ่งเดือนผ่านไป กระทิงทั้งหกตัวอ้วนท้วนขึ้นไม่น้อย ผู้อาวุโสกระทิงดูเหมือนจะเอาชนะสิงโตเก้าหางไม่ได้ ไม่เพียงแต่นำอาหารมากินต่อหน้านางทุกวัน ยังอาศัยอยู่ที่นั่นด้วย อ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้สิงโตหนี!
ป่าทะเลปีศาจสงบสุข แต่นอกป่าทะเลปีศาจกลับวุ่นวาย
“ไร้ประโยชน์! ตามโจรคนเดียวยังไม่ได้ สิงโตเก้าหางช่างตกต่ำลงทุกที!” โม่จวินเจ๋อในร่างสนมปีศาจที่สี่ถากถางสิงโตเก้าหาง
ที่จริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องเอาเมล็ดพันธุ์ปีศาจมาให้ได้ เพราะไม่มีประโยชน์กับมนุษย์อยู่แล้ว แต่ถ้าเมล็ดพันธุ์ปีศาจถูกปีศาจเลี้ยงดูจนสำเร็จ มันจะเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวงต่อโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงต้องเอามาให้ได้!
สิงโตไม่ยอมแพ้คำพูดนั้น แล้วเอ่ยว่า “ท่านเองเป็นถึงมังกรดำห้าเล็บแห่งแดนปีศาจ เหตุใดถึงจับโจรร้ายเพียงคนเดียวมิได้…”
ยังไม่ทันสิ้นคำ เหล่าอสรพิษเก้าเศียรผู้จงรักภักดีก็กรูกันเข้าใส่ คำสาปแช่งและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของสิงโตเก้าหางดังก้องไปทั่วบริเวณ
โม่จวินเจ๋อมองภาพเบื้องหน้าด้วยหางตาที่กระตุก มุมปากสั่นไหวก่อนจะเอามือกุมขมับ
‘มันผู้นั้น… ซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่!’
นั่นคือความคิดในใจของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังตามหาโจรผู้นั้น
“มันซ่อนอยู่ที่ใดกันแน่?”
กระทิงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าของผู้อาวุโสกระทิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นางดูไม่สู้ดีนัก “ผู้ใดกันที่สามารถหลบเลี่ยงวิชาย้อนรอยของสิงโตเก้าหางได้ ย่อมไม่ธรรมดาแน่ บางทีมันอาจจะ…”
“ก่อนหน้านี้ พวกมันเตรียมการมาอย่างดีแล้ว”
ผู้ใดกันที่ชิงเอาเมล็ดพันธุ์ปีศาจไป ไยจึงมิรู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู หากเป็นมิตร… ในบรรดาเผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเขตแดนปีศาจ พวกมันล้วนรู้จักดี ไม่มีผู้ใดมีพลังเช่นนี้ได้
“ข้ารู้สึกว่ามิใช่มือมนุษย์ แต่เป็นเผ่าหนึ่งต่างหาก”
หญิงสาวเผ่างูเอ่ยขึ้น กลุ่มคนลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ในเขตแดนปีศาจ คงไม่ปรากฏตัวง่าย ๆ
“ข้าย่อมรู้จักอยู่กลุ่มหนึ่ง พวกมันไร้ร่องรอย แม้แต่วิชาของสิงโตเก้าหางก็ไม่อาจย้อนรอยตามหาพวกมันได้” เสียงแหบแห้งดังมาจากนอกประตู
“ท่านอดีตหัวหน้าเผ่า…”
ทั้งหัวหน้าเผ่ากระทิงและหญิงสาวเผ่างูต่างรีบลุกขึ้นต้อนรับ
“ท่านผู้อาวุโส พวกมันเป็นใครกัน” หัวหน้าเผ่ากระทิงโค้งคำนับผู้อาวุโสเผ่ากระทิงอย่างนอบน้อม
อดีตหัวหน้าเผ่ากระทิงเหลือบมองบุตรของตนที่มองด้วยแววตาเว้าวอน หากมิใช่เพราะบุตรคนนี้ เขาคงไม่มีวันยอมร่วมมือกับเผ่ามนุษย์เช่นนี้
ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้อีก
“เผ่าทิงมี่ที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษบนหุบเขาปีศาจ!”
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นเพิ่งได้ยินชื่อชนเผ่านี้เป็นครั้งแรก และพวกเขาอาศัยอยู่บนหุบเขาปีศาจที่เต็มไปด้วยสถานที่ต้องห้ามทุกย่างก้าวอีกด้วยหรือ?
สถานที่นั้นแม้แต่มังกรปีศาจก็ไม่แน่ว่าจะเข้าไปแล้วออกมาได้อย่างปลอดภัย หากเมล็ดพันธุ์ปีศาจตกอยู่ในมือของชนเผ่าทิงมี่จริง พวกเขาอาจต้องบุกเข้าไปในหุบเขาปีศาจเสียแล้ว
“จุดประสงค์ที่พวกเขาแย่งชิงเมล็ดพันธุ์ปีศาจไป คือต้องการปลูกมันบนหุบเขาปีศาจใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่ ในฐานะผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเทพปีศาจ ชนเผ่าทิงมี่จะต้องเลือกปลูกดอกไม้นรกในเหวปีศาจ เมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่ร่างแยกผู้สูงส่งแดนมนุษย์ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการก้าวข้ามดอกไม้นรกไป!”
แต่เดิมการเข้าสู่หอคอยปีศาจก็เป็นระดับนรกอยู่แล้ว หากเพิ่มชั้นของดอกไม้นรกเข้าไปอีก คงจะกลายเป็นฝันร้ายยิ่งกว่า!
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างกำหมัดแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด
โกรธแค้น แต่ทำอะไรไม่ได้
“เช่นนั้นตอนนี้เมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ในเหวปีศาจหรือ?”
อดีตหัวหน้าเผ่าส่ายหน้าเบา ๆ “ชนเผ่าทิงมี่จะไม่ไปที่เหวปีศาจในทันที แต่จะเลือกกลับไปที่หุบเขาปีศาจก่อน คาถาห้ามบนหุบเขาปีศาจสามารถทำให้เมล็ดพันธุ์ปีศาจงอกได้อย่างรวดเร็ว”
“ในเมื่อชนเผ่าทิงมี่เป็นผู้แย่งชิงเมล็ดพันธุ์ปีศาจไป เหตุใดมังกรปีศาจจึงยังไล่ตามอย่างไม่ลดละเช่นนี้?”
เพียงแค่เผ่าทิงมี่บอกกับมังกรปีศาจ ปีศาจส่วนใหญ่ที่ไล่ล่าเผ่าทิงมี่ก็จะถอยกลับไป ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้มากมาย
“เช่นนั้น ต้องแย่งชิงความดีความชอบกันหน่อยแล้ว!”
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ “…”
ดูท่าที พวกเผ่าปีศาจคงไม่สามัคคีกันเหมือนเผ่ามนุษย์กระมัง!
“ถ้าเช่นนั้น พวกเราไปที่หุบเขาปีศาจกันเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่?” หญิงสาวปีศาจกระทิงเอ่ยถามอย่างลังเล พวกเขาต่อสู้ได้ก็จริง แต่หากเป็นการทำลายมนต์ผนึก…
“ไม่จำเป็น”
หัวหน้าเผ่าปีศาจกระทิงรู้ดีแก่ใจ จึงเอ่ยปฏิเสธออกไป
“เผ่ามนุษย์มีค่ายกลอยู่มากมาย และการทำลายผนึกคงมิใช่เรื่องยากเย็นอันใด”
เหล่าปรมาจารย์ตำราด้านการวางแผนผังต่างมองหน้ากัน หากได้ไปเห็นกับตาค่อยตัดสินใจว่าจะทำลายผนึกได้หรือไม่ เพราะในตอนนี้ พวกเขายังไม่อาจรับรองสิ่งใดได้
ระหว่างที่พวกเขากำลังตามรอยเผ่าปีศาจโบราณ และใช้วิธีการคัดเผ่าปีศาจที่ละม้ายคล้ายคลึงกันออกไป พวกเขาก็พบว่า เหลือเพียงเผ่าทิงมี่เผ่าเดียวเท่านั้นที่มีหนทางช่วงชิงเมล็ดพันธุ์ปีศาจไปได้!
และแล้วโม่จวินเจ๋อก็ได้รู้จักกับเผ่าทิงมี่ จากคำบอกเล่าของแม่ทัพปีศาจใต้บังคับบัญชา
พอเอ่ยถึงขีดจำกัด โม่จวินเจ๋อพลันคิดถึงหลิงเยว่ขึ้นมา หากพานางไปด้วย การเข้าไปในหุบเขาปีศาจก็คงง่ายดายราวกับเดินเล่นในตลาดมิใช่หรือ?
ทว่าไม่นาน โม่จวินเจ๋อก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป ไม่สามารถเปิดเผยเรื่องร่างกายต้านหายนะของหลิงเยว่เป็นอันขาด!
อย่างมากก็ให้เหล่าขุนพลใต้บังคับบัญชา บุกโจมตีอย่างเต็มกำลัง ตายไปบ้างก็ช่าง จะได้ไม่ต้องไปลงมือกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในภายหลัง
เหล่าผู้อาวุโสต่างพากันทะยานไปยังหุบเขาปีศาจ แสงสีดำบนท้องฟ้าพุ่งวาบไปมา ราวกับฝนดาวตก
……….