ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 412 กินเนื้อตัวเอง?
บทที่ 412 กินเนื้อตัวเอง?
ในช่วงเวลาต่อมา เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองดังขึ้นเป็นระยะในดินแดนของกระทิง ฝูงกระทิงที่อาศัยอยู่ในดินแดนไม่กล้าเข้าใกล้บริเวณนั้นเลย ทุกครั้งที่ต้องผ่านทางนั้น พวกมันจะเดินอ้อมไปไกล ๆ จึงจะรู้สึกปลอดภัย
ถึงแม้ว่าผู่ตานที่อยู่ในถ้ำใต้ดินจะยังคงรักษารูปร่างมนุษย์ไว้ได้ แต่ภายในร่างกายของเขาก็วุ่นวายไปหมด ใบหน้าก็ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง แม้หัวหน้าตะขาบมรกตจะมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง แต่ก็ทนต่อเสียงกรีดร้องที่ดังสนั่นอยู่ตลอดเวลาไม่ไหว จึงเลือกที่จะหลบไปอยู่ที่มุมห้องและปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าเพื่อเข้าสู่สภาวะฝึกฝน
โม่จวินเจ๋อที่ปลอมตัวเป็นต้นกล้าทองคำเล็ก ๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน ใบไม้ทั้งสองข้างห่อหุ้มตัวเองไว้แน่น
“ศิษย์น้อง ข้ารู้สึกว่าเจ้าพูดถูก หากไม่แก้ไขการผนึกนี้ก็ไม่เป็นไร!”
ผู่ตานคิดว่าตนเองสามารถทนต่อความเจ็บปวดทุกรูปแบบได้ แต่เขาประเมินตัวเองสูงเกินไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่คิดว่าจะมีการทรมานแบบเส้นเลือดแตก อวัยวะระเบิดจนแทบจะเสียสติเช่นนี้ด้วย…
“ศิษย์พี่ ธนูที่ยิงออกไปแล้วไม่มีทางหวนกลับ อดทนอีกหน่อย ตอนนี้แก้ไขไปแล้วสิบชั้น เหลือเพียงเก้าชั้นเท่านั้น!”
แม้หลิงเยว่จะสูญเสียพลังวิญญาณไปมากมาย แต่นางยังพยายามเอ่ยปากให้กำลังใจผู่ตาน
ยังเหลืออีกเก้าชั้น!
ผู่ตานรู้สึกตาพร่ามัว เขสไม่สามารถทนต่อไปได้อีก แล้วหมดสติไป
“ศิษย์พี่ อย่าเพิ่งเป็นลมสิ ในระหว่างกระบวนการปลดผนึก ผู้ที่ถูกปลดผนึกจำเป็นต้องมีสติรู้ตัวอยู่ตลอด!”
หลังจากที่เพิ่งสลบไป ผู่ตานก็ถูกหลิงเยว่ปลุกให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
เขาจ้องมองหลิงเยว่ด้วยดวงตาที่ไร้ประกาย ดูน่าขนลุกอย่างยิ่ง
หลิงเยว่อธิบายเสียงอ่อน “เพื่อป้องกันไม่ให้จิตใจของท่านอ่อนแอ แล้วถูกปีศาจเข้าครอบงำ ดังนั้น…”
ผู่ตานอยากจะตอบว่า ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เขากลายเป็นปีศาจไปเลยดีกว่า แต่เขาไม่มีแรงจะตอบ ในขณะเดียวกันเขารู้สึกได้ถึงพลังที่ถูกปลดผนึกในร่างกายเริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง
ฝ่ายหนึ่งคือใบไม้ทองเล็ก ๆ ที่ไม่รู้มาจากไหน อีกสองฝ่ายคือเลือดของสัตว์เทพและคนตัวเล็กสีดำ
คนตัวเล็กสีดำคืออีกร่างปฐมวิญญาณของผู่ตาน เพียงแต่อันหนึ่งมีสีผิวปกติ อีกอันเป็นสีดำสนิท ซึ่งเป็นแก่นแท้ของปีศาจ
พลังปีศาจพยายามบุกรุกร่างปฐมวิญญาณของผู่ตานอยู่ตลอดเวลา ใบไม้ทองเล็ก ๆ ต้องคอยป้องกันอยู่ตลอด อีกทั้งยังต้องคอยปลอบประโลมเลือดของสัตว์เทพที่คอยก่อความวุ่นวายเป็นระยะ
โม่จวินเจ๋อทำตาม เขามองผู่ตานด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและสงสาร ช่างน่าสงสารจริง ๆ…
ด้วยความช่วยเหลือของต้นกล้าทองคำทั้งต้น ผู่ตานที่ได้รับชีวิตใหม่เพิ่งคิดจะเปล่งเสียงถอนหายใจ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นเสียงร้องโหยหวนแทน
เพราะหลิงเยว่ฉวยโอกาสปลดผนึกชั้นที่สิบเอ็ดแล้ว
เหลืออีกแปดชั้นเท่านั้น!
หลิงเยว่ตัดสินใจลงมือทำอย่างเต็มที่ ดังนั้นเสียงร้องโหยหวนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว จึงกลายเป็นเสียงร้องต่อเนื่อง จากเสียงร้องนั้น เหล่ากระทิงไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าคนที่ร้องกำลังถูกกระทำอย่างไร
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า…
วันหนึ่งพวกกระทิงน้อยต่างประหลาดใจว่าเสียงร้องโหยหวนหายไปแล้ว พวกมันพากันคาดเดาว่าอีกฝ่ายอาจถูกทรมานจนตาย พวกเขาต่างมุดหัวออกมาสอดส่องบริเวณด้านนอกสถานที่บำเพ็ญของหลิงเยว่
แม้กระทั่งมีหลายคนคิดจะทะลวงประตูเข้าไปสำรวจดู แต่อดีตผู้นำเผ่าและผู้นำเผ่าได้ออกคำสั่งเด็ดขาดก่อนจากไปว่า ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร ห้ามรบกวนเด็ดขาด!
นานจนกระทั่งชิงหลงและผู้นำเผ่าทิงมี่แย่งชิง หินปีศาจจำนวนมหาศาลตามที่หลิงเยว่กล่าวไว้ และหอกระดูกในถ้ำปีศาจก็ถูกทำลายไปนับร้อย หลิงเยว่ยังไม่ออกมาเสียที
แม้ว่าผู้บำเพ็ญจะเก็บตัวบำเพ็ญเป็นเวลาหลายสิบปีหรือร้อยปีนั้นมีมากมาย แต่ทุกครั้งหลิงเยว่จะเก็บตัวไม่เกินสามปี แต่ครั้งนี้ชัดเจนว่าเกินสามปีแล้ว!
ใครบางคนยกมือขึ้นกำลังจะเคาะประตู
ประตูหินที่ถูกปิดตายมานานกว่าสามปีถูกเปิดออกจากด้านใน พร้อมกับกลิ่นหอมที่ทำให้ผู้คนน้ำลายสอ
ผู้นำเผ่าทิงมี่ ได้กลิ่นหอมนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปในถ้ำใต้ดิน
“พวกเจ้าเข้ามาสิ”
ทันทีที่หลิงเยว่พูดจบ อาหารปีศาจระดับหายากขึ้นไปชนิดสุดท้ายก็ทำเสร็จพอดี
[เสร็จสิ้นภารกิจหลักที่ 21 ทำอาหารวิเศษระดับหายากขึ้นไปห้าชนิดภายในสิบปี ได้รับรางวัล ค่าพลังวิญญาณสามพันล้านล้าน และอายุขัยห้าหมื่นวัน]
บนโต๊ะไม้เล็ก ๆ มีอาหารเลิศรสวางอยู่สิบอย่าง ในนั้นมีสี่อย่างที่เป็นอาหารสืบทอดวิญญาร ได้แก่ วิชาวัชระ วิชาเสือคำราม ผนึกเวลา และวิชาดับสูญ
สามอย่างแรกมาจากผู้อาวุโสกระทิง เสือหกตา และปีศาจสิงโตเก้าหาง ส่วนวิชาดับสูญนั้นมาจากเนื้อมังกรปีศาจ เพื่อให้สำเร็จภารกิจหลักภายในสิบปี หลิงเยว่ ถึงกับตัดเนื้อร่างมังกรของโม่จวินเจ๋อมาเล็กน้อย
ตอนนี้โม่จวินเจ๋อไม่ใช่ต้นกล้าทองคำอีกต่อไป เขากลายเป็นกระต่ายขาวตัวน้อย ขาหลังซ้ายของกระต่ายถูกพันผ้าไว้ ดวงตาสีม่วงเต็มไปด้วยความน้อยใจและงุนงง
ซึ่งส่วนชิ้นเนื้อเล็ก ๆ สีดำอมม่วงที่ส่งกลิ่นหอมแปลก ๆ ที่วางอยู่ตรงหน้านั้น คือเนื้อจากร่างใหม่ของเขานั่นเอง
หลิงเยว่ต้องการให้เขากินเนื้อของตัวเองหรือ?
“ไม่กินหรือ?” หลิงเยว่มองด้วยความสงสัย แล้วผลักเนื้อสีดำทองอีกชิ้นไปให้กระต่ายขาว “งั้นกินเนื้อสิงโตสิ”
พอนึกถึงว่าเนื้อสิงโตคือเนื้อของปีศาจสิงโตเก้าหาง โม่จวินเจ๋อ ก็ไม่อาจกลืนลงคอได้
“ศิษย์น้อง ถ้าเขาไม่กิน ข้าขอกินเอง!”
ผู่ตานที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยเริ่มเล็งชิ้นเนื้อเล็ก ๆ ศิษย์น้องของเขาช่างตระหนี่จริง ๆ ทำเนื้อชิ้นใหญ่มาก แต่สุดท้ายแบ่งให้แต่ละคนเพียงชิ้นเล็กเท่าเล็บ เอาไปใช้แค่แคะฟันยังไม่พอเลย!
แต่เมื่อนึกถึงสรรพคุณของมัน ผู่ตานก็อดมองไปที่แหวนเก็บของไม่ได้ ด้วยอาหารทั้งสี่อย่างนี้ แม้จะถูกสนมปีศาจที่หกจับตัวไปอีกครั้ง เขาก็สามารถใช้มันหลบหนีหรือโต้กลับได้!
“ข้าก็ช่วยได้นะ!” หัวหน้าตะขาบมรกตที่กำลังกอดปลาย่างกินอยู่ จ้องมองชิ้นเนื้อเล็ก ๆ บนโต๊ะด้วยดวงตาสีเขียวมรกต
สิ่งเหล่านี้มีรสชาติดีกว่าอาหารอร่อยทั้งหมดที่เขาเคยกินมา แม้ว่า หลิงเยว่จะกำชับว่าอย่ากินจนกว่าจะถึงยามคับขัน แต่หัวหน้าตะขาบมรกตก็อดไม่ได้
แค่เลียครั้งเดียว ยังทำให้เขารู้สึกว่ากินอะไรก็ไม่อร่อยอีกต่อไป แม้ว่าปลาย่างจะกรอบนอกนุ่มใน เนื้อแน่นและหวานฉ่ำ ผสมกับเครื่องเทศรสเผ็ดหอม นับว่าเป็นอาหารเลิศรส แต่ใจของ หัวหน้าตะขาบมรกตก็ถูกชิ้นเนื้อเล็ก ๆ สี่ชิ้นที่เก็บไว้ในท้องดึงดูดไปเสียแล้ว
โม่จวินเจ๋อจะให้พวกเขาได้อย่างไร เขาเก็บเนื้อทั้งสี่ชิ้นไปหมด รอไว้ภายหลัง… ค่อยลิ้มลอง
“นี่เป็นของพวกเจ้า!” หลิงเยว่มอบอาหารสืบทอดวิญญาณให้แก่ชิงหลงและผู้นำเผ่าทิงมี่ พร้อมทั้งอธิบายสรรพคุณ
“!!!”
ทั้งสองคนตกตะลึง
“อะไรนะ วิชาดับสูญ?”
ผู้นำเผ่าทิงมี่ชี้ไปที่ชิ้นเนื้อสีดำอมม่วง “เจ้าเอามังกรมารมาทำเป็นอาหารหรือ?!”
“เป็นไปไม่ได้!”
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
ผู้นำเผ่าทิงมี่ไม่สามารถยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง
“ข้าเพียงแค่ขอเนื้อจากเขาชิ้นหนึ่งเท่านั้น เหตุใดเจ้าจึงตอบสนองรุนแรงเช่นนี้?” คำพูดไร้สาระของหลิงเยว่ทำให้ผู้นำเผ่าทิงมี่รู้สึกราวกับถูกฟาดจนเนื้อนอกไหม้ เนื้อในสุก แถมยังมีควันลอยออกมาด้วย
“เจ้าขอจากนาง แล้วนางก็ให้เจ้าเช่นนั้นหรือ?!”
“ใช่แล้ว” หลิงเยว่พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา ในดวงตายังมีแววภาคภูมิใจเล็กน้อย
โม่จวินเจ๋อมองหลิงเยว่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ความจริงแล้วเป็นเพราะนางใช้วิธีการต่าง ๆ นานา ทั้งอ้อนวอน วิงวอน และยังออดอ้อน… เขาถึงได้ใจอ่อนยอมให้!
……….