ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 433 หากหมดหนทางก็อธิษฐานเถิด
บทที่ 433 หากหมดหนทางก็อธิษฐานเถิด
การปรากฏตัวของร่างแยกของเทพปีศาจทั้งสาม ทำให้เผ่าปีศาจรู้สึกสิ้นหวัง แต่การที่หลิงเยว่ยังสามารถกระโดดโลดเต้นต่อหน้าแม่ทัพปีศาจทั้งสิบสองและร่างแยกของเทพปีศาจทั้งสาม ทำให้หัวใจที่สิ้นหวังของพวกเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาเล็กน้อย
“หลิงเยว่ช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ”
“ไม่ใช่แค่นั้น ลองคิดดูสิว่านางมาถึงโลกปีศาจเลยนะ…”
“หลิงเยว่ในโลกวิญญาณก็ไม่ธรรมดาใช่ไหม?”
“แน่นอน ถึงแม้จะบอบบางแต่มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง เป็นประเภทที่ฆ่าไม่ตาย สมองก็ดี ส่วนนิสัยนั้น ก็แค่ขี้ขลาดไปหน่อย…”
ทั้ง ๆ ที่กำลังชมหลิงเยว่ แต่หัวหน้าตะขาบมรกตกลับเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ และเริ่มต้นการชมแบบประชดประชัน
เรื่องราวต่าง ๆ ของหลิงเยว่หลุดออกมาจากปากของหัวหน้าตะขาบมรกต ทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างตกตะลึง
หลิงเยว่มองดูร่างแยกหมายเลขสามที่ค่อย ๆ เดินมาทางนาง หัวใจของนางเต้นรัว
เขาเห็นการพรางตัวของนางแล้วหรือ?!
หลิงเยว่กลั้นหายใจ แม้ว่าตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องหายใจเลย เพราะเป็นเพียงพลังปีศาจ แต่การปรากฏตัวของร่างแยกหมายเลขสามกลับทำให้นางรู้สึกกดดันมากขึ้นไปอีก
ไม่ได้! นางไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ แต่ก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี ดังนั้น…
หลิงเยว่มองไปทางหอคอยปีศาจ ไปที่นั่นดีไหมนะ?
“ไม่อยู่ที่นี่หรือ?”
ร่างแยกของปีศาจหมายเลขสามเดินผ่านหลิงเยว่ไป หลิงเยว่เอียงศีรษะมองไปทางนั้น แล้วรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
ที่นั่นคือสถานที่ที่นางได้รับบาดเจ็บสาหัส นึกถึงเรื่องนี้แล้วนางรู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน เลือดของนางมีค่ามากแค่ไหน สามารถใช้เลี้ยงฮวนฮวน เลี้ยงเสี่ยวจิน และยังใช้ช่วยชีวิตผู้คนได้อีกด้วย การที่ต้องพ่นเลือดออกมาเปล่า ๆ เช่นนี้ จะไม่ให้ปวดใจได้อย่างไร?
“ข้านึกว่าเจ้าจะเห็นการพรางตัวของนางเสียอีก แต่ผลก็คือ…”
“ไม่มีอะไรเลย!”
ประโยคแรกมาจากร่างแยกหมายเลขหนึ่ง ส่วนประโยคหลังมาจากหมายเลขสอง
เมื่อหมายเลขสามหันหน้ามา ดวงตาไร้ซึ่งตาขาวของเขาช่างน่าขนลุกยิ่งนัก อีกทั้งเขายังจ้องมองมายังร่างของหลิงเยว่ที่เป็นกลุ่มพลังปีศาจ ด้วยสายตาอันน่าสะพรึงกลัว
ราวกับว่าเขามองทะลุการพรางตัวของหลิงเยว่ได้
คราวนี้หลิงเยว่ตกใจจริง ๆ เพราะร่างแยกปีศาจกลับยิ้มมุมปากใส่กลุ่มพลังปีศาจของนาง “ข้าพบเจ้าแล้ว!”
ขณะที่หลิงเยว่กำลังจะหนี เขาก็คว้าจับสิ่งที่อยู่ข้าง ๆ นางไว้แน่น
มันไม่ใช่พลังปีศาจ แต่ส่งเสียงร้องจี๊ด ๆ
เมื่อเผยร่างแท้จริงออกมา หลิงเยว่ถึงกับตะลึง นั่นคือหนูตัวดำสนิท!
หนูตัวหนึ่งแอบซ่อนอยู่ข้างกายนาง โดยที่นางไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ!
เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?
“หนูน้อยของข้า เจ้าจะหนีไปไหนกัน?” ร่างแยกหมายเลขสามลูบไล้หนูน้อยที่ดิ้นรนไม่หยุด การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงไม่ช่วยปลอบประโลม แต่กลับทำให้… มันหยุดหายใจไปเสียอย่างนั้น
หลิงเยว่ “…”
ใช่แล้ว พวกเขาลืมไปว่าหมายเลขสามนั้นเป็นคนวิกลจริต ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ชอบแต่ ‘เอ็นดู’ สัตว์ตัวเล็ก ๆ และสัตว์ที่ถูกเขา ‘เอ็นดู’ จนตายไปแล้วนั้น ถ้าไม่ถึงหนึ่งหมื่นล้านตัวก็คงเก้าพันแปดร้อยล้านตัวแน่ ๆ
“หากเจ้าไม่ได้ออกมาหาเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ก็รีบกลับไปเสียเถิด”
“อย่ามายืนขวางหูขวางตาอยู่ที่นี่!”
หมายเลขหนึ่งเอ่ยขึ้น หมายเลขสองก็รีบต่อทันที
หมายเลขสามกวาดตามองพวกเขาอย่างเย็นชา แล้วหยิบเก้าอี้มานั่งลง พลางอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ตายไปแล้วไว้ในมือ
“ข้าต้องการหาสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ หากเป็นเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ คงไม่ตายเร็วแบบนี้กระมัง?”
“นั่นเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์ครึ่งหนึ่งเท่านั้น” ร่างแยกหมายเลขหนึ่งเริ่มมีสีหน้าเย็นชา
“หากเจ้าต้องการ ต้องถามเจ้าของที่แท้จริงก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่”
พูดตรง ๆ ก็คือ พวกเขาที่เป็นร่างแยกเหล่านี้เป็นเพียงลูกน้องของเทพปีศาจตัวจริงอย่างไม่มีทางเลือก หมายเลขสองนึกถึงเรื่องนี้แล้วเกิดความคิดอยากกำจัดเจ้านายขึ้นมาทันที
ตอนแรกหลิงเยว่ยังเห็นใบหน้าของร่างแยกหมายเลขสองที่ดูไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อย แต่แล้วใบหน้าของเขากลับเปลี่ยนไป ร่างแยกหมายเลขสองแขนขวาของตัวเอง แล้วบิดมันอย่างแรง เพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ให้ตัวเอง
เทพปีศาจแขนเดียว!
หมายเลขหนึ่งและสามดูเหมือนจะคุ้นชินกับภาพเช่นนี้ คนหนึ่งดื่มชาอย่างสงบ ส่วนอีกคนยังคงลูบไล้สัตว์เลี้ยงที่ตายแล้ว
หลิงเยว่ตกตะลึง!
จากแขนเดียวกลายเป็นไร้แขน ขาทั้งสองข้างหายไป ศีรษะตกลงบนพื้นกลิ้งไปมาอยู่หลายรอบ
ในชั่วพริบตาร่างแยกของเทพปีศาจหมายเลขสอง ก็สังหารตัวเอง โดยการตัดชิ้นส่วนร่างกายของตนเองจนหมด
ชิ้นเนื้อที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทำให้หลิงเยว่รู้สึกขนหัวลุก ในขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกยินดีขึ้นมาโดยธรรมชาติ แม้จะดูเลือดสาดไปหน่อย แต่ถ้าร่างแยกของเทพปีศาจสามารถจัดการตัวเองได้ เช่นนั้นนางก็มีโอกาสออกไปไม่ใช่หรือ?
น่าเสียดายที่หลิงเยว่ถูกกำหนดให้ต้องผิดหวัง
ชิ้นส่วนศพนอนอยู่สองวันสองคืน เมื่อส่งกลิ่นเน่าเหม็น พวกมันก็เริ่มขยับ
ความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักผุดขึ้นมาในใจของหลิงเยว่
แน่นอนว่าพวกมันประกอบร่างกันเป็นศพเน่า หลังจากนั้นเนื้อเน่าก็หลุดร่วงลงมา กระดูกงอกเนื้อใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง
หมายเลขสองที่ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่ใช่เป็นคนสบาย ๆ แล้วละ นี่มันคนวิปริตชัด ๆ เลย!
วิปริตในหมู่คนวิปริต น่าขนลุกยิ่งกว่าคนบ้าหมายเลขสามเสียอีก!
หลิงเยว่ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ
ช่างเถอะ นางจะทำตามแผนเดิม ไปหอคอยปีศาจดีกว่า!
ขอเพียงมีพายุบ้าคลั่งรุนแรงสักครั้ง นางจะได้ถูกพัดไปยังหอคอยปีศาจสักที!
ถึงตอนนั้นก็ปล่อยให้สามคนนี้รออยู่จนกว่าฟ้าดินจะมลายเถอะ!
“ระบบ ข้าต้องการซื้อยันต์!”
[เจ้าหมดโอกาสแล้ว]
“ข้ายังมีอายุขัยเหลืออยู่ สักห้าพันพอหรือไม่…”
[ไม่สามารถใช้ได้]
“เหตุใดกัน?”
[เพราะจะถูกเปิดเผย]
“เจ้าก็ถูกจับได้เช่นกันหรือ? แล้วลูกแก้ววิญญาณนั่น…”
[ไม่ได้เหมือนกัน เพียงแค่แสดงตัวออกมาเล็กน้อย ก็จะ…]
ถูกค้นพบ
ตรงหน้าพวกเขาคือร่างแยกของเทพปีศาจสามตน หากกล้าเคลื่อนไหวโดยไม่ไตร่ตรอง แม้แต่โอกาสในการเกิดใหม่ก็จะไม่มี
“ดังนั้นพวกเราทำได้แค่รอ… ลมมาเท่านั้นหรือ?”
ใช่แล้ว
ที่ระบบไม่ยอมรับอายุขัย คงเป็นเพราะสามคนวิปริตตรงหน้านี้จัดการยากเกินไป
[บางทีหากเจ้าอธิษฐานขอให้เทพสวรรค์ส่งพายุมาให้เจ้าก็ได้]
ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นพวกเดียวกัน ต่างต้องการหยุดยั้งการกระทำโง่เขลาของปีศาจที่จะทำลายโลกและสร้างโลกใหม่
[ก็… ทำได้แค่นี้แหละ]
[เมื่อเจอเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ ก็ต้องพึ่งการอธิษฐาน]
“โอ้ ท่านเทพ! ธิดาสุดที่รักของท่านกำลังถูกคนบ้าสามคนกักขังอยู่ ขอให้ท่านส่งลมที่แรงพอจะพัดพวกเขาไปไกลนับหมื่นลี้ด้วยเถิด!”
“เทพสวรรค์ผู้งดงามสง่า งามประดุจเทพบุตรเทพธิดา ขอจงส่งพายุใหญ่มาด้วยเถิด!”
“…”
ชิงเหนี่ยวทั้งสงสัยทั้งทวนคำพูดของหลิงเยว่ให้หัวหน้าตะขาบมรกตและคนอื่น ๆ ฟัง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นงุนงงสับสน
นี่กำลังขอลมจากสวรรค์อยู่หรือ?
การกระทำของหลิงเยว่ทำให้ทุกคนพูดไม่ออก นี่จะได้ผลจริงหรือ?
“ข้าว่าไม่ต้องศึกษาเรื่องค่ายกลอะไรแล้ว ศึกษาวิธีส่งลมแรง ๆ เข้าไปในค่ายกลเลยดีกว่า!” คำพูดของอดีตผู้นำเผ่าได้รับการเห็นชอบจากทุกคน
“หลิงเยว่นางต้องการลมเพื่อ…”
“ไม่ต้องสนใจว่านางจะเอาไปทำอะไรหรอก รีบศึกษาวิธีส่งเข้าไปเร็วเข้า!” หัวหน้าตะขาบมรกตเร่งเร้า
ตอนนี้สภาพจิตใจของหลิงเยว่ไม่ดีนัก เห็นได้ชัดว่านางกำลังตกอยู่ในสภาวะวิกฤต
“ใช่ ๆ ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นลมใหญ่ลมเล็กหรือพายุ ยังไงก็ส่งลมเข้าไปก่อน!”
ผู้อาวุโสกระทิงพยักหน้ารัว ๆ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนผังของมนุษย์ “…”
เขายังไม่เคยส่งลมเข้าไปในค่ายกลสังหาร ตอนนี้ลองดูสักหน่อยแล้วกัน