ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 463 แผนการสำหรับโม่จวินเจ๋อ
บทที่ 463 แผนการสำหรับโม่จวินเจ๋อ
แม้จะถูกสองหนุ่มหล่อจ้องมอง แต่หลิงเยว่ไม่ได้เขินอาย กลับรู้สึกตื่นเต้นกับแผนการอันสมบูรณ์แบบของตัวเองมากกว่า
“มีอะไรหรือ?”
“ข้ามีความเห็นเกี่ยวกับวิธีที่ไม่ต้องตาย เอ่อ… หมายถึงวิญญาณไม่ต้องดับสูญน่ะ”
โม่จวินเจ๋อสบตากับดวงตาเป็นประกายและสายตาที่หลบ ๆ ซ่อน ๆ ของหลิงเยว่ เขารู้สึกว่า ‘ความเห็น’ นี้คงไม่เป็นมิตรกับตนเท่าไหร่ แต่เขายังรับฟังอย่างเงียบ ๆ
เมื่อรู้ว่าไม่ต้องตาย วิญญาณเงือกหนุ่มก็ไม่ได้ทำให้หลิงเยว่หุบปาก กลับมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตา ‘เปี่ยมด้วยความรัก’ และรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง นางช่างใจดีเหลือเกิน
โม่จวินเจ๋อก้าวเท้าขึ้นมา แล้วใช้แผ่นหลังบังสายตาของเงือกหนุ่ม
เจ้าปลาตัวนี้สมควรตายนัก!
เงือกหนุ่มเบ้ปาก ไม่ได้ถือสาโม่จวินเจ๋อ ใช่สิ! แม้อยากจะ แต่ก็… ไม่มีพลังมากพอ
“ข้าจะกลืนวิญญาณเงือกตัวนี้ แล้วกลับคืนร่างเดิมเข้าไปในร่างของท่าน นั่นไม่ใช่แผนการที่สมบูรณ์แบบสำหรับการข้ามน้ำตกของคนคนเดียวหรอกหรือ?”
โม่จวินเจ๋อ “?”
มีเพียงแผนการที่ทำให้เขาบาดเจ็บเท่านั้นที่จะสำเร็จหรือ?
“ท่านวางใจได้ มันไม่เจ็บหรอก ข้าจะคอยฟื้นฟูร่างกายและพลังวิญญาณของท่านตลอดเวลา” แน่นอนว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตมีความสามารถในการฟื้นฟูพลังวิญญาณ
ไม่เช่นนั้นจะสมกับเป็นต้นไม้แห่งการสร้างโลกได้อย่างไร?
ถูกต้อง ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตยังมีอีกชื่อหนึ่งคือต้นไม้แห่งการสร้างโลก นี่คือสิ่งที่ระบบบอกหลิงเยว่
“เจ้าจะกลืนกินวิญญาณของข้า?” เมื่อครู่ยังคิดว่าหลิงเยว่เป็นคนสวยและมีจิตใจดีงาม แต่ตอนนี้เงือกหนุ่มอยากจะหนีไปให้ไกลจากหญิงผู้นี้ทันที
มันต่างจากการให้เขาลงน้ำไปตายตรงไหน?
ก็ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง น้ำตกเถ้าวิญญาณจะค่อย ๆ กลืนกินวิญญาณของเขา ความเจ็บปวดนั้นทรมานยิ่งกว่าการถูกมีดทื่อ ๆ เฉือนเนื้อ แม้เขายังไม่เคยสัมผัสรสชาติของการถูกคนกลืนกิน แต่คงไม่เจ็บปวดเท่าน้ำตกเถ้าวิญญาณกระมัง?
“ก็ไม่ถึงกับกลืนกินหรอก แค่ให้วิญญาณของเจ้าอาศัยอยู่ในร่างของข้าชั่วคราวเท่านั้น”
แม้ว่าในร่างของหลิงเยว่จะมีวิญญาณอยู่มากมาย แต่การเพิ่มเงือกตัวนี้เข้าไปก็ยังพอไหว
“ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?”
เงือกหนุ่มเพิ่งเคยเจอคนแบบนี้เป็นครั้งแรก เขากำลังจะพูดอะไรต่อ แต่หลิงเยว่ก็ลงมือจับเขายัดเข้าไปในร่างทันที
เงือกหนุ่มหายไปแล้ว เหลือเพียงโม่จวินเจ๋อกับหลิงเยว่ที่ยืนจ้องตากัน
ฝ่ายแรกมองหลิงเยว่อย่างน้อยใจ ไม่พูดอะไรสักคำ
หลิงเยว่ยิ้มอย่างเก้อเขิน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นแสงสีทอง เข้าไปในหัวใจของโม่จวินเจ๋อ
ที่เข้าไปได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ เพราะร่างกายของทั้งสองเชื่อมถึงกัน และเหตุผลที่ชัดเจนกว่านั้นคือร่างของโม่จวินเจ๋อไม่ได้ขัดขวางหลิงเยว่
ร่างกายของเขาคุ้นเคยกับการมีอยู่ของหลิงเยว่แล้ว แม้แต่หัวใจก็เต้นตามการเข้าออกของนาง
หลิงเยว่ไม่ได้ผิดคำพูด ทันทีที่เข้าไปในร่างของโม่จวินเจ๋อ นางก็ใช้วิชารักษา ปกป้องอวัยวะภายในพร้อมทั้งคอยเติมพลังวิญญาณด้วย
โม่จวินเจ๋อถอนหายใจ ในชั่วขณะนั้นกลับเกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ไร้เทียมทาน ความรู้สึกวิตกกังวลที่เกิดจากน้ำตกเถ้าวิญญาณตรงหน้าพลันหายไปทันที
ไม่น่าแปลกใจที่ปีศาจจะไล่ตามเผ่าพันธุ์เทพอย่างไม่ลดละ…
โม่จวินเจ๋อไม่ได้กระโดดลงน้ำตกเถ้าวิญญาณในทันที แต่เดินช้า ๆ ไปทางซ้ายตามคำบอกของหลิงเยว่ ก้าวไปข้างหน้าสี่ก้าว ถอยหลังห้าก้าว แล้วเดินไปทางขวาสองก้าว ย่างก้าวของเขาทั้งสง่างามและรวดเร็ว
เงาจำนวนมากของโม่จวินเจ๋อปรากฏขึ้น น้ำตกเถ้าวิญญาณเบื้องหน้าเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง จู่ ๆ ก็มีน้ำวนปรากฏขึ้น น้ำวนหมุนอย่างรวดเร็วและเริ่มขยายออก
เมื่อน้ำวนหยุดหมุน โม่จวินเจ๋อถึงกระโดดลงไป
น้ำวนนี้สามารถไปถึงดินแดนของเผ่าเงือกในทะเลมรณะได้โดยตรง ซึ่งเป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้สุสานใต้น้ำมากที่สุด
ถือว่าเงือกหนุ่มตนนั้นยังมีประโยชน์อยู่บ้าง โม่จวินเจ๋อคิดในใจ
เมื่อโม่จวินเจ๋อเข้าไป น้ำวนก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว น้ำตกเถ้าวิญญาณกลับคืนสู่สภาพเงียบสงบอีกครั้ง
โม่จวินเจ๋อที่จมอยู่ในน้ำเถ้าวิญญาณรู้สึกถึงความเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ในชั่วขณะต่อมาความเจ็บปวดนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขามองดูร่างกายภายในแวบหนึ่ง แสงสีทองที่แผ่ขยายภายในปกคลุมเส้นเอ็นและตันเถียนไว้อย่างหนาแน่น
แสงสีทองยังไหลออกมาจากภายใน ปกคลุมคิ้วและดวงตาอันงดงามของโม่จวินเจ๋อ ใบหน้าของเขาเปล่งประกายสีทอง ทำให้ทั้งร่างดูราวกับเทพเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ เมื่อน้ำเถ้าวิญญาณพบกับแสงสีทอง ทำให้น้ำวนเปิดเป็นเส้นทางที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
เส้นทางนี้ไม่สามารถใช้วิชาใด ๆ ได้ ต้องอาศัยเท้าทั้งสองเดินไปเท่านั้น ส่วนจะเดินถึงดินแดนของเผ่าเงือกเมื่อไหร่ และจะถึงสุสานใต้น้ำหรือไม่ ขึ้นอยู่กับโม่จวินเจ๋อแล้ว
ใบหน้าของโม่จวินเจ๋อเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เขาเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวกลับพบว่า แม้จะมีเงือกหนุ่มที่คอยบอกทางลัด และมีหลิงเยว่เป็นผู้นำทาง แต่เขาไม่สามารถเดินได้เร็วนัก เพราะมันหนักเกินไป เท้าทั้งสองข้างราวกับถูกผูกติดกับภูเขามากมาย ทุกก้าวที่เดินเหมือนกับกำลังยกภูเขานับไม่ถ้วนไปด้วย
โม่จวินเจ๋อมองไปยังเส้นทางที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความคิดว่า บางทีอาจจะกลับไปต่อสู้เป็นตายกับเทพปีศาจดีกว่า
“ท่านรู้สึกว่าเดินลำบากหรือไม่?”
เสียงของหลิงเยว่ทำให้โม่จวินเจ๋อล้มเลิกความคิดที่จะไปต่อสู้กับเทพปีศาจ เขาควรอยู่เคียงข้างนางต่อไป
“อืม หนักมาก”
น้ำเสียงแฝงไปด้วยความน้อยใจเล็กน้อย
เงือกหนุ่มที่ถูกวิญญาณมากมายบีบให้อยู่ในมุม เมื่อได้ยินน้ำเสียงของโม่จวินเจ๋อ วิญญาณทั้งหมดพลันรู้สึกขนลุก ชายผู้นี้กำลังออดอ้อนอยู่หรือ?
ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!
เพราะมันยากที่จะจินตนาการว่าน้ำเสียงที่น้อยใจเช่นนี้จะหลุดออกมาจากปากของชายที่โหดร้ายผู้นี้
หลิงเยว่เพิ่มแสงสีทองลงบนเท้าทั้งสองข้างของโม่จวินเจ๋อ “เป็นอย่างไรบ้าง? ดีขึ้นหรือไม่?”
“อืม ดีขึ้นมาก”
โม่จวินเจ๋อยิ้มมุมปาก ฝีเท้าอันหนักอึ้งเบาลงเล็กน้อย “การทำเช่นนี้ เจ้าจะไม่สูญเสียพลังมากเกินไปหรือ?”
“พลังเพียงเท่านี้จะไปเทียบกับท่านได้อย่างไร?”
เมื่อหลิงเยว่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป นางก็รีบแกล้งตายทันที
รอยยิ้มบนใบหน้าของโม่จวินเจ๋อเด่นชัด เขาเดินเร็วขึ้น แถมยังรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แม้จะเรียกชื่อหลิงเยว่แล้วไม่ได้รับการตอบสนองก็ไม่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขา
เงือกหนุ่มที่คอยสังเกตการณ์พลันร้องตะโกนในใจ ในสถานการณ์เช่นนี้ยังมีอารมณ์มาหยอกเย้ากันอีกหรือ?!
แต่เงือกหนุ่มไม่มีเวลาจะมาสงสารตัวเอง วิญญาณของเขาถูกดวงวิญญาณเหล่านั้นมองจนจะสลายไปแล้ว!
เขาไม่เคยคิดว่าร่างกายของหญิงผู้นี้จะมีดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์อาศัยอยู่มากมายโดยไม่แตกสลาย และยังอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขด้วย ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก
ดวงวิญญาณดวงหนึ่งที่แทบจะมองไม่เห็นหากไม่สังเกตอย่างละเอียด ลอยลงมาบนศีรษะของเงือกหนุ่ม
“ท่านตื่นแล้วหรือ?!”
หลิงเยว่ที่แกล้งตายฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์ นางมองดวงวิญญาณนั้นด้วยความตื่นเต้นยินดี
ดวงวิญญาณไม่ตอบสนอง กลับเอียงศีรษะมองดูวิญญาณของหลิงเยว่ราวกับคนไม่รู้จัก
“ท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือ?”
หลิงเยว่เข้าไปใกล้ดวงวิญญาณ ให้มันได้พิจารณาอย่างละเอียด แต่ดวงวิญญาณกลับถอยหลังด้วยความกลัว
“เหลือเพียงหนึ่งในสามของดวงวิญญาณ หากจำเจ้าได้ก็แปลกแล้ว”
ดวงวิญญาณข้าง ๆ ถอนหายใจพลางส่ายหน้า “หากไม่ใช่เพราะร่างกายของเจ้าหล่อเลี้ยงไว้ ดวงวิญญาณนี้คงสลายไปนานแล้ว”
หลิงเยว่รู้สึกเศร้าสลดยิ่งนัก ศิษย์พี่สี่สูญเสียทั้งอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง และศิษย์พี่สามไปแล้ว หากรู้ว่าแม่แท้ ๆ ที่เพิ่งรู้จักก็… ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไร
……….