ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 464 ข้าจะสาปแช่งเจ้า!
บทที่ 464 ข้าจะสาปแช่งเจ้า!
หลิงเยว่ไม่ได้เข้าใกล้วิญญาณที่เหลืออยู่ของสนมปีศาจที่หกอีก รอจนถึงแดนเทพแล้วค่อยหาวิธีทำให้วิญญาณของนางสมบูรณ์แล้วกัน ส่วนความทรงจำนั้น หากลืมไปคงจะดีกว่า…
แล้วยังมีวิญญาณบรรพบุรุษที่อยู่เคียงข้างหลิงเยว่มานาน หลิงเยว่จะต้องทำให้พวกเขาได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
สิ่งที่ต้องทำนั้นมีมากมายเหลือเกิน
“นางเป็นใคร?”
คำถามกะทันหันของโม่จวินเจ๋อ ทำให้หลิงเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง “ท่านเห็นด้วยหรือ?”
“เจ้าสามารถเข้าออกร่างของข้าได้ตามใจชอบ ข้าย่อม…”
หลิงเยว่ “…”
ทำไมประโยคนี้ฟังดูแปลก ๆ นะ?
“นางคือสนมปีศาจที่หก เป็นแม่แท้ ๆ ของผู่ตาน”
โม่จวินเจ๋อนิ่งเงียบไป ภูมิหลังของผู่ตานช่างแปลกประหลาดนัก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตัวอีกฝ่ายถึงเป็นคนแปลกประหลาดเช่นนั้น
ร่างแท้ของผู่ตานที่หนีเตลิดไปทั่วโลกผู้บำเพ็ญเซียน และร่างแยกที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในโลกเบื้องล่าง “?”
เขาเป็นคนประหลาดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ใส่ร้ายกันชัด ๆ!
“ในแดนเทพมีดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ ส่งนางเข้าไปสักพันปีน่าจะฟื้นฟูดวงวิญญาณที่เหลือและเรียกวิญญาณอีกเจ็ดดวงที่สูญหายกลับมาได้”
“ภายใน… พันปี?” หลิงเยว่กระตุกมุมปาก นานเกินไปแล้ว!
“แค่พันปีเองหรือ?!”
เหล่าวิญญาณที่เหลือต่างตื่นเต้นไม่หยุด พวกเขาที่สูญเสียไปเพียงสี่หรือหนึ่งดวงวิญญาณ ก็ใช้เวลาแค่ร้อยกว่าปีเองไม่ใช่หรือ?
หลังจากมีดวงวิญญาณสมบูรณ์แล้วเขาก็จะเริ่มบำเพ็ญได้แล้วใช่ไหม?
แม้ว่าพลังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตของหลิงเยว่จะสามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณของพวกเขาได้ แต่ตอนนี้นางยังโตไม่เต็มที่ อีกทั้งร่างกายยังขาดไปครึ่งหนึ่ง แถมพลังก็กระจัดกระจายเกินไป การฟื้นฟูวิญญาณทั้งหมดให้สมบูรณ์ภายในร้อยปีจึงเป็นไปไม่ได้
แน่นอนว่า หากเป็นเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์ย่อมใช้เวลาไม่ถึงร้อยปี แม้แต่หนึ่งปีก็ถือว่านานแล้ว แต่น่าเสียดาย… สถานการณ์ของหลิงเยว่นั้นพวกเขารู้ดี อีกครึ่งหนึ่งอยู่กับเทพปีศาจและถูกหลอมรวมไปแล้ว การจะได้มาคืนนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย
“แค่พันปีงั้นหรือ?”
หลิงเยว่รู้สึกว่าพันปีนั้นยาวนานเหลือเกิน ศิษย์พี่สี่จะรอไหวหรือ?
“พันปีสำหรับผู้บำเพ็ญแล้วไม่นับว่านานเลย”
สำหรับเทพแล้วยิ่งสั้นมาก โม่จวินเจ๋อแทบจะลืมไปแล้วว่าตนเองมีชีวิตอยู่มานานเท่าไหร่ นานจนเขาลืมความทรงจำก่อนที่จะเป็นเทพไปแล้วด้วยซ้ำ
หากไม่ได้ใช้เคล็ดวิชากลับมาเกิด ความทรงจำที่ถูกผนึกไว้คงไม่มีวันถูกระลึกขึ้นมาอีก โชคดียิ่งกว่านั้นคือหลังจากกลับมาเกิดแล้วเขายังได้พบกับหลิงเยว่
โม่จวินเจ๋อเริ่มจินตนาการถึงการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับหลิงเยว่
อืม หลังจากจัดการกับเทพปีศาจเสร็จ ทุกอย่างก็จะ…
หลิงเยว่ถูกมองจนต้องเงียบไป
หากเทียบกับตอนที่อยู่ประเทศจีน คาดว่าหลิงเยว่คงกลับชาติมาเกิดแล้วกว่าสิบครั้ง ผ่านไปสิบชาติแล้ว ยังไม่นับว่านานอีกหรือ?
แต่พอมาถึงโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน แม้จะผ่านมาไม่ถึงสองร้อยปี แต่นางรู้สึกว่าช่างยาวนานเหลือเกิน ราวกับผ่านไปหลายสิบศตวรรษ
สาเหตุหลักคงเป็นเพราะได้ผ่านประสบการณ์มากมาย
“จริง ๆ แล้วก็ไม่นานนัก”
เรื่องของสนมปีศาจที่หกถูกมองข้ามไปชั่วคราว สิ่งที่หลิงเยว่ทำได้ตอนนี้คือรักษาวิญญาณสุดท้ายของนางไว้ เพื่อมอบให้ศิษย์พี่สี่
ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งกำลังบุกเข้าไปในน้ำตกเถ้าวิญญาณ อีกฝ่ายที่วางกับดักและกำลังรอคอยเหยื่ออย่างเทพปีศาจกลับมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ทำไมทุกครั้งที่เขาวางแผน จะต้องมีชายชาติชั่วผู้นั้นมาขัดขวางตลอด คราวนี้เขาจะต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ได้!
เทพปีศาจค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ ในเมื่อเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ติดกับก็ให้ดำเนินการตามแผนเดิม
ไปรอคอยเหยื่อในแดนเทพ ดีที่สุดคือรอข้าง ๆ ‘ศพ’ ของชายชาติชั่วนั่น แล้วรอให้เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์กลับมาเขาเอง
แต่ว่า… ที่ซ่อนตัวของชายชาติชั่วนั่นหายากจริง ๆ เทพปีศาจขมวดคิ้ว อีกฝ่ายจะซ่อนอยู่ในตำหนักเหมันต์หรือไม่?
ด้วยนิสัยระมัดระวังและเจ้าเล่ห์ของเขา คงไม่มีทางทิ้งร่างที่หลับใหลไว้ในตำหนักของตัวเองแน่นอน
นอกจากการซุกตัวอยู่ในตำหนักทั้งวัน เขาก็ไม่มีสถานที่ใดที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ
เทพปีศาจจ้องมองเส้นทางสู่แดนเทพเบื้องหน้า จมดิ่งสู่ห้วงความคิด
ผู้ที่สามารถก้าวเท้าสู่เส้นทางแห่งเทพได้นั้น ล้วนมีระดับการบำเพ็ญขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นปลายขึ้นไป ซึ่งเป็นระดับการบำเพ็ญสูงที่สุดในโลกผู้บำเพ็ญเซียน และการจะกลายเป็นเทพอย่างแท้จริงนั้น จำต้องผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์และผ่านการทดสอบของแดนเทพเสียก่อน หากผ่านการทดสอบและมีชีวิตรอด จึงจะมีคุณสมบัติรับการชำระล้างจากทัณฑ์สวรรค์และแปรสถานะเป็นเทพ
เพียงเป็นเทพก็ไม่จำเป็นต้องผ่านการทดสอบบนเส้นทางแห่งเทพ แต่เมื่อเทพปีศาจนึกถึงสถานะเทพของตนที่ถูกชายชาติชั่วผู้นั้นทำลายก็รู้สึกโกรธจนแทบระเบิด
ทว่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแม้อีกฝ่ายยังมีสถานะเทพโดยสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในร่างที่กลับมาเกิด ความโกรธนั้นจึงมลายหายไป
อีกฝ่ายขึ้นสู่แดนเทพลำบากกว่าเขา บางทีอาจถึงขั้นสิ้นชีวิตบนเส้นทางสู่แดนเทพก็เป็นได้
ขอให้คนคนนั้นตายไปเถิด!
เพียงแค่คิดเทพปีศาจยังไม่รู้สึกสะใจ เขาจึงลงมือสาปแช่งโม่จวินเจ๋อทันที
การสาปแช่งเพียงครั้งเดียวนั้นไม่พอ เขาจึงสาปแช่งติดต่อกันหลายสิบครั้งก่อนจะหยุดมือ
ห้าร่างแยกที่อยู่ข้าง ๆ “…”
การสาปแช่งเพิ่มอีกไม่กี่ครั้งไม่ได้ทำให้พลังคำสาปแรงขึ้น การกระทำนี้ร่างแยกคิดว่าเป็นเพียงการระบายอารมณ์ของร่างหลักเท่านั้น
คำสาปหลายสิบครั้งรวมตัวกันเป็นควันเส้นหนึ่ง แล้วหายไป
การที่มันหายไปแสดงว่าคำสาปสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าหากมันสามารถไปถึงโม่จวินเจ๋อก็จะมีโอกาสเป็นจริงถึงแปดส่วน
แต่ต้องมีเงื่อนไขว่า ต้องหาเป้าหมายของคำสาปให้เจอก่อน
เทพปีศาจมั่นใจในวิชาสาปแช่งของตนเองมาก ถ้าหากสามารถตามหาเป้าหมายได้จะถือว่าสำเร็จ…
น่าเสียดายที่เขาค้นคว้ามาหลายหมื่นปีแล้ว ยังไม่สามารถรู้ได้ว่าคำสาปนั้นหายไปไหน
เฮอะ!
คำสาปที่หายไปบางส่วนละลายลงสู่พื้น บางส่วนบินออกไปนอกเส้นทางแดนเทพ บางส่วนยังคงอยู่ที่เดิม เพียงแต่เทพปีศาจมองไม่เห็นเท่านั้น แม้ว่าเขาจะมีพลังของเทพ และเป็นผู้ร่ายคำสาปเอง ก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้
ความลึกลับของวิชานั้น แม้แต่เทพก็ไม่อาจรู้ได้ ช่างน่าอนาถใจยิ่งนัก
โชคดีที่มองไม่ทะลุปรุโปร่ง มิเช่นนั้นโม่จวินเจ๋อและหลิงเยว่ที่กำลังดำดิ่งสู่น้ำตกเถ้าวิญญาณคงจะเคราะห์ร้ายเสียแล้ว
คำสาปที่หายไปพลันปรากฏขึ้นตรงทางแยกของโลกผู้บำเพ็ญเซียน หยุดนิ่งอยู่ชั่วครู่ แล้วค่อย ๆ เคลื่อนไปในทิศทางหนึ่ง และทิศทางนั้นคือทิศทางของป่าต้นไม้มนุษย์
ร่างแยกหมายเลขเจ็ดที่ถูกคำสาปทะลุผ่านร่างไปนั้นไม่รู้สึกอะไรเลย ยามนี้นอกจากไอเป็นครั้งคราวแล้ว เขาก็ยืนเฝ้าหน้าประตูที่เชื่อมสองโลกอย่างเงียบสงบ
ยามนี้โลกผู้บำเพ็ญเซียนช่างคึกคักยิ่งนัก บรรดาผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวอยู่ต่างเลือกที่จะลุกขึ้นต่อต้าน หากต่อสู้เพียงลำพังโอกาสตายนั้นสูงเกินไป พวกเขาจึงรวมตัวกันเป็นกลุ่ม คอยช่วยเหลือกัน
พวกเขารู้ดีว่ามนุษย์ผู้บำเพ็ญมีเพียงการรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น จึงจะทำให้โลกผู้บำเพ็ญเซียนมีแต่ชื่อไร้ซึ่งตัวตน กลายเป็นโลกของปีศาจ!
และผู้ที่รวบรวมพวกเขาเข้าด้วยกันก็คือ ผู่ตาน เล่อเหอ อดีตเจ้าอาวาสพุทธวิหารและเหล่าผู้บำเพ็ญขอบเขตพ้นโลกีย์ในภายหลัง
บรรดาผู้รอดชีวิตในโลกผู้บำเพ็ญเซียนต่างเหนื่อยหน่ายกับชีวิตที่ถูกไล่ล่าไม่หยุดหย่อน จึงตัดสินใจรวมตัวกัน
แม้สถานการณ์จะยังไม่สู้ดีนัก แต่อย่างน้อยพวกเขาได้โอกาสหายใจหายคอสักเล็กน้อย และความหวังเพียงน้อยนิดที่จะมีชีวิตรอด
เล่อเหอใช้กระบี่ฝ่าการล้อมโจมตีของเผ่าปีศาจ มือหนึ่งคว้ากรงเล็บสีทองตรงหน้า อีกคนหนึ่งโยนเส้นโปร่งใสสายหนึ่งออกไปพันรอบกรงเล็บของหงส์ทองคำ พวกเขาจึงหลุดพ้นจากวงล้อม
สองคนกับหงส์ทองคำหนีรอดจากการล้อมของเผ่าปีศาจไปได้เช่นนี้
“ขอบคุณ…”
ผู้บำเพ็ญที่ได้รับการช่วยเหลือจากเผ่าพันธุ์เดียวกันเป็นครั้งแรก ต่างร้องไห้ออกมาทันที
……….