ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 466 สาปใครคนนั้นก็ตาย!
บทที่ 466 สาปใครคนนั้นก็ตาย!
……….
บทที่ 466 สาปใครคนนั้นก็ตาย!
เทพปีศาจที่กลับมายืนอยู่ที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง แม้จะโกรธจนแทบระเบิด แต่ยังแสร้งทำเป็นใจเย็นก้าวขึ้นบันไดต่อไป
แม้แต่บันไดทดสอบยังกล้าเตะเขา รอให้หลอมรวมเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ก่อนเถอะ พวกมันจะได้ลงไปอยู่ในนรกแน่!
เทพปีศาจเดินไปพลางร่ายคำสาป เมื่อสาปเสร็จ เขาที่เพิ่งขึ้นบันไดได้สิบขั้นก็กลับมาอยู่ที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
กลั่นแกล้งข้ารึ?
เทพปีศาจโกรธจัด เขาร่ายคำสาปนับครั้งไม่ถ้วนก่อนจะจ้องมองบันไดที่ปรากฏตรงหน้าอย่างเย็นชา
ค้อนยักษ์สีดำปรากฏในมือของเทพปีศาจ เขาจับด้ามค้อนด้วยสองมือ แล้วทุ่มพลังทั้งหมดฟาดใส่บันไดทดสอบทันที
บันไดตรงหน้าเริ่มแตกร้าว เทพปีศาจยังไม่หายแค้นจึงฟาดอีกครั้ง ความเร็วในการแตกร้าวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บันไดเริ่มพังทลาย
หลังจากฟาดครั้งที่สาม บันไดทดสอบด่านแรกของแดนเทพก็ถูกทุบจนเป็นผงและหายไปจากสายตาของเทพปีศาจ
นี่แหละคือผลลัพธ์ของการเล่นตลกกับเขา!
เทพปีศาจเพิ่งจะแย้มยิ้มบาง ๆ บันไดทดสอบใหม่ก็ปรากฏขึ้น คราวนี้แตกต่างจากบันไดทดสอบที่ถูกทำลายไป มันดูทรุดโทรมและชันมาก ราวกับว่าแตะนิดเดียวก็พังทลาย
ค้อนยักษ์ฟาดลงบนบันไดที่ทรุดโทรมอย่างแรง บันไดเพียงสั่นไหวเล็กน้อย ไม่มีทีท่าว่าจะแตกสลายแต่อย่างใด
ค้อนฟาดลงเป็นครั้งที่สอง สาม และสี่ บันไดยังคงตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเทพปีศาจอย่างมั่นคง สภาพที่ดูทรุดโทรมราวกับกำลังเยาะเย้ยผู้ที่อยู่ตรงหน้า
เทพปีศาจเก็บค้อนศักดิ์สิทธิ์ ตัดสินใจลองขึ้นบันไดทรุดโทรมดูก่อน นอกจากเยาะเย้ยเขาแล้ว มันยังมีความสามารถอะไรอีก?
ส่วนใหญ่เป็นเพราะเพิ่งเปลี่ยนร่างใหม่ยังอยู่ในช่วงอ่อนแอ ไม่ควรใช้พลังมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่มีใครอยู่
พลังคำสาปนับไม่ถ้วนต่างพุ่งออกจากเส้นทางแห่งแดนเทพมุ่งหน้าสู่ป่าต้นไม้มนุษย์ และก่อนหน้านั้นยังมีอีกสี่สิบเจ็ดสายที่เข้าไปก่อนแล้ว
เส้นทางเดิม แมลงดำตัวเดิม แต่ต่างกันตรงที่คราวนี้ต้นไม้หน้าคนทั้งหมดกลายเป็นใบ้
แต่นั่นจะเป็นไรไป ไม่ได้ยากเย็นอะไรสำหรับพลังคำสาปทั้งหลาย พวกมันกลืนกินวิญญาณที่เหลืออยู่อย่างรุนแรง ได้รับความทรงจำ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็ไม่ได้หยุดอยู่ แต่มุ่งหน้าไปยังน้ำตกเถ้าวิญญาณทั้งหมด
พลังคำสาปสี่สิบเจ็ดสายมาบรรจบกัน พวกมันไม่ได้เลือกที่จะรวมตัวกันเป็นพลังคำสาปที่แข็งแกร่งขึ้น แต่กลับแย่งกันกระโดดลงทะเลเถ้าวิญญาณ ราวกับว่าต้องการแย่งชิงความดีความชอบ
ความจริงเป็นเช่นนั้น ก่อนหน้านี้พวกมันรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวต่อหน้าเทพปีศาจเพียงเพื่อหลอกเขาเท่านั้น ในเมื่อพวกมันเป็นคู่แข่ง จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะสามัคคีกัน?
คำสาปใดที่เกิดผลก่อนจะได้รับพลังคำสาปอันมหาศาล เมื่อสะสมพลังคำสาปได้มากพอก็จะยกระดับเป็นวิญญาณแห่งคำสาป เวลาสาปใครคนนั้นก็ต้องตาย!
สำหรับพลังคำสาปแล้ว นี่เป็นสิ่งล่อใจอันยิ่งใหญ่ ใครบ้างไม่อยากยกระดับเป็นวิญญาณแห่งคำสาป?
ดังนั้นจึงต้องแย่งชิงกันแน่นอน!
โม่จวินเจ๋อที่กำลังเดินอยู่หยุดฝีเท้าอีกครั้ง ความรู้สึกคุ้นเคยนั้นกลับมาอีกแล้ว ดูเหมือนครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก เทพปีศาจใช้คำสาปเทพกี่ครั้งกันแน่?
พลังคำสาปตัวแรกพุ่งเข้าหาแสงสีทองแล้ว รูปร่างที่เดิมมองไม่เห็นปรากฏขึ้นมา สิ่งนี้ไม่ใช่หนอนดำตัวเล็กอีกต่อไป แต่เป็นหนูดำจิ๋ว มันร้องจี๊ด ๆ แล้วทำเหมือนกับคำสาปตัวแรกที่กัดกินแสงสีทอง
โม่จวินเจ๋อ “…”
พวกมันไม่ได้แลกเปลี่ยนข่าวสารกันเลยหรือ?
รูปร่างต่างกัน แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน ในที่สุดหนูดำจิ๋วก็กลายเป็นยาบำรุงของหลิงเยว่
แสงสีทองรอบกายของโม่จวินเจ๋อยิ่งเปล่งประกายสว่างจ้า จนแทบจะทำให้พลังคำสาปที่แย่งกันมา ‘ส่งไออุ่น’ ตายด้วยแสงสว่างนั้น
คราวนี้พลังคำสาปไม่ได้โง่เง่าพุ่งเข้าใส่อีกต่อไป แต่พวกมันล้อมรอบโม่จวินเจ๋อไว้ ภายใต้แสงสีทอง ร่างของพวกมันที่ซ่อนตัวอยู่ ทั้งตาเปล่าและจิตสัมผัสก็มองไม่เห็น พวกมันปรากฏขึ้นมาแล้วหายไปเป็นระยะ มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป โดยแมลงดำตัวเล็กมีจำนวนมากที่สุด
“หนึ่ง สอง สาม…” หลิงเยว่ยิ่งนับยิ่งดีใจ ยิ้มจนแก้มแทบปริ
รวมกับพลังคำสาปสองสายก่อนหน้านี้ ทั้งหมดมีสี่สิบแปดสาย
ใบหน้าของโม่จวินเจ๋อที่ถูกสาปเริ่มกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ เทพปีศาจช่างใจดีเสียจริง
หากไม่มีหลิงเยว่ โม่จวินเจ๋อสามารถจินตนาการถึงชะตากรรมอันน่าเศร้าและโชคร้ายของตัวเองได้เลย
โชคดีที่… เขามีหลิงเยว่
เมื่อนึกถึงหลิงเยว่ โม่จวินเจ๋อแอบมองนางด้วยหางตา แต่กลับพบว่าสายตาของนางถูกดึงดูดไปยังพลังคำสาปทั้งหมด ดวงตาที่เปล่งประกายนั้นแทบจะสว่างกว่าแสงสีทองเสียอีก
“อ้าว เมื่อไหร่แก่นปราณแสงจะสามารถเผยร่างแท้จริงของพวกเราได้เล่า?”
“ใช่แล้ว ช่างแปลกจริง ๆ!”
“พลังคำสาปที่พุ่งเข้าใส่สายแรกนั้นสัมฤทธิผลแล้วหรือ?”
“คงจะล้มเหลวกระมัง เพราะชายผู้นี้ยังดูสบายดีอยู่นะ”
พลังคำสาปพากันพูดจาวุ่นวาย แต่เสียงที่ดังเข้าหูของหลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อกลายเป็นเพียงเสียงรบกวน ไม่อาจเข้าใจได้แม้แต่น้อย
“ตอนนี้ใครจะเป็นคนแรกล่ะ?”
คนแรกล้มเหลวไปแล้ว แต่กลับไม่ได้ทำให้พลังคำสาปที่มาทีหลังหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย กลับกันพวกมันกลับตื่นเต้นขึ้นมา
แม้แต่คำสาปเทพยังล้มเหลว แสดงว่าผู้ถูกสาปนั้นมีพลังมหาศาล หากพวกมันคนใดประสบความสำเร็จ อาจจะยกระดับเป็นวิญญาณแห่งคำสาปได้เลยทีเดียว
สิ่งล่อใจนี้ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน!
มีพลังคำสาปบางตนคิดจะฉวยโอกาสในยามที่พวกมันกำลังวุ่นวายแอบเข้าไป แต่กลับถูกสังเกตเห็นด้วยสายตาอันว่องไว จึงถูกฟาดกระเด็นไปไกล
การกระทำนี้ทำให้พลังคำสาปตนอื่นต้องลงมือในทันที หนูตัวจิ๋วและแมลงดำตัวเล็กจำนวนสี่สิบหกตัวที่แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเริ่มต่อสู้กัน!
หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อ “…”
นี่เกิดอะไรขึ้น?
โม่จวินเจ๋อไม่ค่อยสนใจนัก เขาเดินต่อไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว แต่เพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งในสาม ส่วนที่เหลืออีกสองในสามดูยาวนานเป็นพิเศษ
“อย่าเพิ่งไปสิ รอให้พวกมันสู้กันจนจบก่อน!” หลิงเยว่ไม่อยากปล่อยยาบำรุงชั้นดีที่อยู่ตรงหน้าไป
“วางใจเถิด พวกมันจะตามพวกเรามาเอง”
น้ำเสียงของโม่จวินเจ๋อฟังดูจนใจเล็กน้อย พลังคำสาปไม่มีทางยอมปล่อยผู้ถูกสาปไปได้ เว้นแต่จะเป็นเหมือนสองอันก่อนหน้านี้ที่คำสาปหมดฤทธิ์ ไม่เช่นนั้นมันจะต้องไล่ตามเขาไปจนสุดขอบฟ้า
“พวกมันคืออะไรกันแน่?”
หลิงเยว่ที่วางใจแล้วมองยาบำรุงที่อยู่ไกลออกไปด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
“มันคือคำสาปเทพที่เหล่าปีศาจใช้”
“นี่มันคำสาปหรอกหรือ?! คำสาปไม่เพียงแต่มีรูปร่างแต่ยังสื่อสารได้อีกด้วย?”
หลิงเยว่ไม่เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งสิ่งเดียวที่เกี่ยวข้องกับคำสาปที่นางเคยสัมผัสก็คือ จื่อเฉาอวี่ น่าเสียดายที่นักเรียนผู้นี้ไม่ได้สนใจในศาสตร์แห่งคำสาป ถึงขนาดที่แม้แต่คำสาปโชคร้ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังทำให้เป็นจริงได้ยาก
“ข้าก็เพิ่งเห็นรูปร่างของพวกมันเป็นครั้งแรกเช่นกัน”
โม่จวินเจ๋อเหมือนกับเทพปีศาจ แม้ว่าทั้งสองคนจะถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกเทพ แต่ยังไม่สามารถมองทะลุรูปร่างของคำสาปได้
“ไม่จริงใช่ไหม?” หลิงเยว่ชัดเจนว่าไม่ค่อยเชื่อ แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของโม่จวินเจ๋อถึงเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหก
“เมื่อคำสาปพบท่านแล้ว นั่นหมายความว่าเทพปีศาจกำลังจะมาถึงใช่หรือไม่?”
สิ่งที่หลิงเยว่สนใจมากที่สุดคือเทพปีศาจ
“แม้ว่าเขาจะเป็นผู้สาป แต่ไม่สามารถติดตามพลังคำสาปของตัวเองได้ ดังนั้นตอนนี้เขายังหาพวกเราไม่พบหรอก”
เป็นเช่นนั้นหรือ?
ตอนนี้เทพปีศาจนั่นคงโกรธจนแทบระเบิดแล้วกระมัง?