ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 47 เจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถจ้างผู้คนได้งั้นหรือ? ข้าก็ทำได้เช่นกัน!
- Home
- ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน
- บทที่ 47 เจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถจ้างผู้คนได้งั้นหรือ? ข้าก็ทำได้เช่นกัน!
บทที่ 47 เจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถจ้างผู้คนได้งั้นหรือ? ข้าก็ทำได้เช่นกัน!
บทที่ 47 เจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถจ้างผู้คนได้งั้นหรือ? ข้าก็ทำได้เช่นกัน!
เหล่าผู้คนระดับสูงของสำนักที่เฝ้าดูจากคันฉ่องสวรรค์ ทุกคนรู้ว่าหลิงเยว่ขี้ขลาดมาก ทว่าเหตุการณ์เมื่อครู่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าหลิงเยว่จะใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายเพื่อ ‘ปล้นและแก้แค้น’
หลงหว่านโหรวพอใจกับการกระทำของหลิงเยว่มาก
ชิงยวนยังรู้สึกขบขันกับหลิงเยว่
นางหยิบขนมดอกท้อขึ้นมาและกินก่อนจะเหล่มองไปทางสยงฉีเลวี่ยซึ่งยังคงอยู่ในสภาวะรู้แจ้ง นางกินอาหารของหลิงเยว่ไปเยอะมากในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ทว่าเหตุใดนางกลับไม่เข้าสู่สภาวะรู้แจ้งบ้างเล่า?
ผู้นำยอดเขาและผู้อาวุโสหลายคนที่แอบออกไปกินอาหารของหลิงเยว่เพื่อหวังว่าจะเข้าสู่สภาวะรู้แจ้งบ้าง ต่างกลับมาพบกับความผิดหวัง เห็นได้ชัดว่าอาหารที่พวกเขาใช้หินวิญญาณระดับต่ำสองหมื่นก้อนซื้อมาไม่ได้ทำให้พวกเขาเข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง พวกเขาทั้งหมดมองไปที่สยงฉีเลวี่ยด้วยดวงตาแดงก่ำเพราะความอิจฉา
ในเวลาเดียวกันนี้มีบุคคลหนึ่งที่หาใช่คนปกติทั่วไปกำลังเดินมาอย่างช้า ๆ
ทุกคนยืนขึ้นและทำความเคารพ
เล่อเหอโบกมือด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่สยงฉีเลวี่ยซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่ลุกขึ้นทักทาย เขาแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง คนผู้นี้เข้าสู่สภาวะรู้แจ้งหลังจากดูเหล่าลูกศิษย์แข่งขันกันได้อย่างไร?
หืม กำลังถือน่องไก่ทอดที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งอยู่ในมืองั้นหรือ?
เล่อเหอเข้าใจในทันที น่องไก่ทอดนี้น่าจะเป็นสาเหตุแรก และสาเหตุที่สองน่าจะมาจากสิ่งที่เขาเคยพูดให้อีกฝ่ายฟังใช่หรือไม่?
ไม่คิดเลยว่าไม้แก่จะยังเอามาแกะสลักได้
“ท่านเจ้าสำนักเชิญนั่งเถิด”
ชิงยวนส่งสัญญาณให้หลงหว่านโหรวจัดโต๊ะใหม่ โต๊ะที่อาหารพร่องไปแล้วก่อนหน้านี้กลับมาเต็มไปด้วยอาหารอร่อย ๆ อย่างรวดเร็ว รวมทั้งซาลาเปาย่างก้าววายุอีกหลายลูกด้วย
เล่อเหอซึ่งเดิมทีแค่อยากจะมาร่วมสนุกแล้วจากไปเมื่อเห็นอาหารที่น่ากินมากมายก็ไม่ไปไหนอีก
แน่นอนว่าเขานั่งลง พลันจิบชานมและขนมดอกบัวสีสดใสพลางมองภาพในคันฉ่องสวรรค์ที่มีกลุ่มลูกศิษย์มากมายกำลังขับเคี่ยวกันอยู่ข้างหน้า การแข่งขันในปีนี้ดุเดือดกว่าครั้งก่อนใช่หรือไม่?
เล่อเหอเหลือบมองหลิงเยว่ที่วิ่งอย่างบ้าคลั่งในฝูงชน และเปลี่ยนการจ้องมองไปยังมิติลับหมื่นอสูรของเหล่าศิษย์ขอบเขตสร้างรากฐาน กลับพบศิษย์อกตัญญูของเขาเองที่กำลังรังแกผู้อื่นอย่างหน้าตาเฉย
“เจ้าเขียนชื่อของเจ้าแปะไว้ที่ตัวมันงั้นหรือ?”
โม่จวินเจ๋ออุ้มวัวสีดำที่มีขนาดใหญ่กว่าเขาหลายสิบเท่า มองจากบนลงล่างตามตัวของวัวราวกับพยายามค้นหาชื่อบนตัวมัน
“ศิษย์พี่ใหญ่ ชายผู้นี้จงใจยั่วยุพวกเรา!”
แน่นอนว่าจัวหลิงเหยารู้ว่าโม่จวินเจ๋อจงใจสร้างปัญหาให้พวกเขา หากเป็นการปล้นสัตว์อสูรไปสักหนึ่งหรือสองตัวนางก็สามารถแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ แต่ชายคนนี้แย่มาก ตราบใดที่พวกนางสนใจสมุนไพรวิญญาณหรือสัตว์อสูรตัวใด เขาจะแย่งชิงพวกมันไปทั้งหมดเสียก่อน
เพราะโม่จวินเจ๋อเพียงคนเดียวทำให้พวกนางไม่ได้รับอะไรเลยในช่วงหกวันที่ผ่านมา!
โม่จวินเจ๋อมองดูใบหน้าโกรธเกรี้ยวและบิดเบี้ยวของฝ่ายตรงข้ามที่มีอยู่หลายคน จากนั้นจึงเก็บวัวดำตัวใหญ่ไว้ในแหวนมิติด้วยสีหน้าพึงพอใจ ก่อนจะเหยียบกระบี่เหมันต์เร้นลับแล้วจากไป
ชายที่จากไปนั้นน่ารำคาญมากเสียจนจัวหลิงเหยาแทบอดกระโจนไปต่อสู้กับเขาไม่ไหว!
“ตรวจดูเร็วว่าเจ้าถูกติดเครื่องรางติดตามอยู่หรือไม่”
ทุกครั้งโม่จวินเจ๋อพบตำแหน่งของพวกนางอย่างแม่นยำ เป็นไปได้ว่าพวกนางอาจจะต้องถูกติดเครื่องรางติดตามหรือสิ่งอื่น ๆ ที่สามารถใช้ระบุตำแหน่งของพวกนางได้แน่ ๆ
จัวหลิงเหยากลัวโม่จวินเจ๋อจะติดตามนางมา ภารกิจของพวกนางมีระยะเวลาเพียงครึ่งเดือน หกวันสูญเปล่าไปแล้ว และเหลืออีกเพียงเก้าวันเท่านั้น
ศิษย์หลายคนค้นหาทั่วทั้งร่างกายของพวกเขา แต่ไม่พบเครื่องรางติดตาม ดังนั้นจึงทำได้เพียงจากไปด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
เมื่อพวกเขาพบเป้าหมายของภารกิจ และกำลังจะฆ่ามันหลังจากการพยายามอย่างหนัก โม่จวินเจ๋อจะปรากฏตัวขึ้นทุกครั้ง
เล่อเหออดมีความสุขไม่ได้เมื่อเห็นฉากนี้
เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้ซุกซนเช่นนี้?
ใบหน้าของรองผู้นำยอดเขาโอสถเปลี่ยนเป็นสีหม่น เขาไม่รู้ว่าเหล่าศิษย์ของเขาไปล่วงเกินศิษย์ของเจ้าสำนักได้อย่างไร หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ศิษย์ของเขาคงไม่ผ่านการแข่งขันรอบแรกแน่ ไม่ต้องพูดถึงการเข้าสู่การแข่งขันรอบสอง
จัวหลิงเหยาก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อโม่จวินเจ๋อจากไปพร้อมกับวัวดำ นางก็หยิบขวดโอสถออกมาและเริ่มตะโกนบอกผู้คน
ตอนนี้กลุ่มของนางมีสามคนที่ไม่มีทางเอาชนะโม่จวินเจ๋อได้ แต่นางไม่เชื่อว่าคนสิบหรือยี่สิบคนจะไม่สามารถเอาชนะศิษย์วายร้ายของเจ้าสำนักได้!
เมื่อมีผู้คนมากขึ้นโม่จวินเจ๋อที่เคยปรากฏตัวมาทุกครั้งก็ไม่มาอีก จัวหลิงเหยาและกลุ่มของนางจึงล่าสัตว์อสูรภารกิจแรกได้สำเร็จ
ทว่าราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการได้สัตว์อสูรที่น่าเกลียดนั้นแพงมาก แต่มันจะราคาถูกได้อย่างไรในเมื่อนางจ้างศิษย์สายในขอบเขตสร้างรากฐานช่วงกลางสิบคนมาปกป้อง?
จัวหลิงเหยาผู้โกรธแค้นได้ถ่ายทอดความเกลียดชังไปยังเหล่าศิษย์ของผู้นำยอดเขาโอสถและเด็กสาวตัวแสบที่นางโยนลงจากภูเขาวันนั้น สาเหตุที่โม่จวินเจ๋อมุ่งเป้ามาที่นาง ต้องเป็นเพราะคนเหล่านั้นแน่ ๆ!
“เฮ้! นั่นจัวหลิงเหยาศิษย์รักของท่านรองผู้นำยอดเขาไม่ใช่หรือ อย่างที่คาดไว้จริง ๆ ต้องจ้างองครักษ์มากมายมาคอยดูแล ต่างจากข้า เฮ้อ… ข้าไม่มีองครักษ์เลยสักคนเสียด้วยซ้ำ ศิษย์ผู้นำยอดเขาอย่างข้าเทียบเจ้าในเรื่องเช่นนี้ไม่ได้เลยจริง ๆ”
ว่านอวี้เฟิงพูดจากลับขาวเป็นดำพร้อมกับแสดงสีหน้ายอกย้อนอีกฝ่าย พลางสะบัดพัดในมืออย่างรวดเร็ว
“ทุบตีเขาแล้วส่งเขาออกไป!”
มีคนกล้าปรากฏตัวต่อหน้านางอย่างไม่ปิดบังได้อย่างไร?
จัวหลิงเหยาซึ่งไม่มีที่ระบายในที่สุดก็พบทางออก
‘สิบองครักษ์’ รุมเข้ามา ทำให้ว่านอวี้เฟิงก็ตกใจมากจนหันหลังกลับและวิ่งหนีไป
“ข้าไม่ได้ยั่วยุเจ้า!”
จัวหลิงเหยาเป็นผู้นำ วันนี้นางต้องทุบตีชายปากเสียคนนี้ให้นอนติดเตียงสักเดือนให้ได้!
“ศิษย์พี่ใหญ่ มีกับดักอยู่ข้างหน้าหรือไม่?”
“ด้วยความแข็งแกร่งของเราในปัจจุบัน เรายังต้องกลัวกับดักอยู่อีกหรือ?”
มีผู้บำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐานทั้งหมดสิบสามคน แม้จะมีกับดักอยู่ข้างหน้าก็ไม่กลัว
เอ่อ…
มีกับดักอยู่จริง ๆ
ทั้งสิบสามคนถูกล้อมรอบอย่างน่าสงสาร
โม่จวินเจ๋อยืนเป็นผู้นำยิ้มให้จัวหลิงเหยาด้วยความอารมณ์ดี
“พบกันอีกแล้ว”
ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาคือลู่เป่ยเหยียน อวี้เจิน ติงหลิวหลิ่ว และศิษย์ที่โดดเด่นหลายคนจากยอดเขาอื่น ๆ เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนมากกว่ากลุ่มของจัวหลิงเหยา
ความแตกต่างของตัวเลขไม่มาก แต่ในแง่ของความแข็งแกร่ง องครักษ์ทั้งสิบคนของนางนั้นยังไม่เพียงพออย่างเห็นได้ชัด
เมื่อองครักษ์ทั้งสิบเห็นว่าเหล่าผู้คนที่ล้อมพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิของสำนัก พวกเขาก็เกิดอยากล่าถอยเสียแล้ว
“ช้าก่อน ๆ ข้าแค่รับโอสถมาเพื่อทำงานง่าย ๆ ให้พวกเขา แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้วขอตัวก่อน” ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งควักโอสถที่เขาได้รับมาเป็นค่าจ้างก่อนหน้านี้ออกมาแล้วโยนคืนให้จัวหลิงเหยา จากนั้นหันหลังกลับและวิ่งหนีไป
“ข้าอนุญาตให้เจ้าไปแล้วหรือ?”
อวี้เจินหยุดผู้บำเพ็ญที่กำลังจะหนีไป นางไม่ใช่คนตัวใหญ่ ทว่ารัศมีพลังที่เปล่งออกมานั้นกดดันอีกฝ่ายยิ่ง
ผู้บำเพ็ญคนอื่น ๆ ที่ต้องการวิ่งหนีพลันชะงัก
ไม่มีใครกล้าขยับอีกต่อไป
ว่านอวี้เฟิงปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับสีหน้ายิ้มแย้ม “อย่างที่คิดอีกแล้ว ท้ายที่สุดพวกเจ้าก็ไม่ดีพอ องครักษ์ที่พวกเจ้าจ้างมานั้นไม่ดีเท่ากับกลุ่มคนของเรา เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยพูดก่อนหน้านี้หรือว่าเจ้าไม่ได้ขาดหินวิญญาณตอนครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน?”
จัวหลิงเหยาสุดจะทนแล้ว คำพูดของว่านอวี้เฟิงทำให้นางระเบิดอารมณ์ออกมาในที่สุด แม้ว่าวันนี้นางจะต้องตาย แต่อย่างน้อยก็ขอฉีกปากเน่า ๆ ของคนตรงหน้าให้เป็นชิ้น ๆ ก่อน!
ระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ไปซะ!
ยันต์ปึกหนึ่งถูกโยนไปทางว่านอวี้เฟิง
ว่านอวี้เฟิงรีบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังโม่จวินเจ๋อ “ปกป้องข้าด้วย!”
ถ้าว่านอวี้เฟิงไม่พูดประโยคนี้ โม่จวินเจ๋อก็คงปกป้องอีกฝ่ายต่อไป แต่ตอนนี้… มาระเบิดว่านอวี้เฟิงกันเถอะ!
การจากไปอย่างไร้หัวใจของโม่จวินเจ๋อทำให้หัวใจของว่านอวี้เฟิงแตกสลาย เขาต้องฟ้องศิษย์น้องห้าเมื่อเขาออกไปข้างนอกได้สำเร็จ ไม่ให้คนใจดำผู้นี้ได้กินอาหารฝีมือหลิงเยว่อีกในอนาคต!
เป็นเพียงยันต์ไม่ใช่หรือ?
เขาก็มีมันเหมือนกัน!
หลังจากการระเบิดอย่างรุนแรงของยันต์ชุดแรก การสู้รบก็เริ่มขึ้น
ฉากที่น่าหลงใหลนี้ทำให้เล่อเหอนึกถึงตัวตนในอดีตของเขา คนหนุ่มสาวควรจะหล่อหลอมตัวเองด้วยการต่อสู้ให้มาก!
การต่อสู้ในมิติลับหมื่นอสูรนั้นดุเดือด และการหลบหนีของผู้คนหลายคนในมิติลับแห่งแดนมายาก็น่าตื่นเต้นมากเช่นกัน เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักต่างรับชมกันอย่างพึงพอใจ