ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 476 ช่างน่าเบื่อเสีย
บทที่ 476 ช่างน่าเบื่อเสียจริง
“ปล่อยข้าลงไปเถิด”
อดีตเจ้าอาวาสพุทธวิหารไม่อาจนิ่งดูดายได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจไปสำรวจด้วยตนเองเพียงลำพัง หวังว่าจะสามารถหาต้นตอของพลังแห่งความตายที่แผ่ขยายได้
หากพบก็น่าจะมีวิธีแก้ไข
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ดูเล่อเหอสิ เพียงแค่ส่งจิตสำรวจเท่านั้นก็บาดเจ็บสาหัสแล้ว เจ้าจะไปหาที่ตายทำไม?”
เจ้าสำนักเมี่ยวอินโกรธจัด พวกเขาเพิ่งได้โอกาสหายใจหายคอสักหน่อย คนผู้นี้สมองมีปัญหาหรืออย่างไร? พวกหัวโล้นนี่ต้องการสร้างบุญกุศลจนไม่เห็นคุณค่าชีวิตตนเองแล้วหรือ?
“ข้าไม่ได้ทำเพื่อบุญกุศล แต่เพื่อผู้คนนับพันนับหมื่นที่ทนทุกข์ทรมาน…”
“พอเถอะ ๆ” เล่อเหอตัดบท “ผู่ตาน เจ้าอย่าสนใจเขาเลย รีบไปกันเถอะ”
ผู่ตานตัดสินใจทำตามเสียงส่วนใหญ่ แต่เพิ่งจะขยับปีก อดีตเจ้าอาวาสพุทธวิหารก็กระโดดลงจากหลังของเขามุ่งหน้าตรงไปยังป่าต้นไม้มนุษย์ทันที
“ที่นี่ต้องมีสมบัติแน่นอน!”
“พี่น้องทั้งหลายรีบเข้าไปเถิด ไม่เช่นนั้นแม้แต่กลิ่นก็จะไม่ได้สัมผัส!”
มีผู้ที่รีบร้อนเข้าไปในป่าต้นไม้มนุษย์เพราะสมบัติปรากฏ แต่ก็มีผู้ที่มีสติสัมปชัญญะเช่นกัน
“เดี๋ยวก่อน พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าป่านี้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันหรือ? ข้าจำได้ว่าที่นี่ไม่มี…”
“ใครบอกว่าไม่มี ข้าเคยผ่านทางนี้บ่อย ๆ แต่พอเจ้าพูดแบบนี้ ข้าก็สังเกตเห็นว่าป่านี้ใหญ่กว่าตอนที่ข้าเคยผ่านมามากทีเดียว”
“จริงด้วย ปกติมันไม่มีกลิ่นอายความตาย มีแต่ต้นไม้ประหลาด ๆ เท่านั้น สิ่งเดียวที่แปลกคือในนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากต้นไม้ แต่ตอนนี้มีเสียงกรีดร้องดังออกมาเรื่อย ๆ ซึ่งแสดงว่าในนั้นมีสิ่งมีชีวิตด้วย…”
ตอนแรกพวกเขามองผิดไปหรือ?
แน่นอนว่าไม่ใช่ นี่เป็นเพียงกลลวงตาขั้นสูงเท่านั้น ตอนที่โม่จวินเจ๋อพาหลิงเยว่เข้ามา ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะเข้าไปได้จริง ๆ
“พวกเจ้าดูเร็ว มีสมบัติจริง ๆ ด้วย!”
คนที่พูดก้าวเข้าไปในพริบตา และที่ที่เขาบอกให้ดูเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มีวังสีเทาปรากฏขึ้นมา บนวังมีตัวอักษรสามตัวเขียนไว้ชัดเจนว่า ‘วิหารเชิญปีศาจ’
ทั้ง ๆ ที่วิหารแห่งนี้เหมือนกับวิหารทำลายเทพที่ดูดกลืนเทพปีศาจไปไม่มีผิด แต่เหตุใดจึงเขียนว่าวิหารเชิญปีศาจเล่า?
ไม่มีผู้ใดสามารถอธิบายได้
“ตรงนั้น ตรงนั้นยังมีอีกหลังหนึ่ง!”
วิหารสีแดงเข้มปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันเช่นเดียวกับวิหารเชิญปีศาจ วิหารทั้งสองตั้งอยู่ตรงข้ามกัน โดยมีป่าต้นไม้หน้าคนคั่นกลาง
“แล้วนั่นคือวิหารอะไร?”
“วิหารเชิญเซียน”
วิหารทั้งสองที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เหล่าปีศาจที่มาถึงลำบากใจ วิหารหลังไหนจะมีสมบัติมากกว่ากัน?
ช่าง… เลือกยากเสียจริง!
ในไม่ช้าพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเลือกอีกต่อไป ประตูใหญ่ของวิหารทั้งสองที่ปิดสนิทเปิดออกพร้อมกัน วิหารเชิญปีศาจดูดกลืนเหล่าปีศาจทั้งหมดเข้าไป
ส่วนผู่ตานที่มีลางสังหรณ์ไม่ดีและพยายามถอยห่างจากวิหารก็ถูกแรงดูดดึงไปทางวิหารเชิญเซียน ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนเพียงใดก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพลังนั้นได้ รวมถึงผู้คนบนหลังของเขาก็ถูกลากไปด้วย
วังสีแดงเข้มและสีเทาสูงตระหง่านเสียดฟ้า ดึงดูดความสนใจของสรรพชีวิตในโลกผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดในทันที
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดหรือกำลังทำสิ่งใดอยู่
สรรพชีวิตทั้งหมดต่างมุ่งหน้าไปยังป่าต้นไม้มนุษย์ ราวกับว่าวังนั้นมีสิ่งล่อใจที่ไม่อาจปฏิเสธได้
เพียงแค่เข้าใกล้อาณาเขตป่าต้นไม้มนุษย์ ทุกชีวิตก็ถูกดูดเข้าไปในวังโดยไม่มีข้อยกเว้น
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินไปอย่างยาวนาน นานจนกระทั่งป่าต้นไม้มนุษย์ที่กว้างสุดลูกหูลูกตาเหี่ยวเฉา น้ำตกเถ้าวิญญาณพลันเหือดแห้ง
ประตูวังทั้งสองที่เปิดกว้างกลับปิดลงและหายไป… พร้อมกับสรรพชีวิตทั้งหมดในโลกผู้บำเพ็ญเซียน
โลกผู้บำเพ็ญเซียนจมดิ่งสู่ความเงียบงัน เสียงที่เหลืออยู่มีเพียงสัตว์ปีกและสัตว์เดินดินที่เพิ่งเริ่มมีสติปัญญาเท่านั้น
อ้อ! เกือบลืมไปว่ายังมีคนอยู่
แม้ว่าเส้นทางแห่งเทพจะถูกทำลายจนกลายเป็นซากปรักหักพัง ร่างแยกหมายเลขเจ็ดของเทพปีศาจที่อ่อนแอก็ไม่ได้ออกไปแม้แต่ก้าวเดียว
แน่นอนว่าเขาได้เห็นวังทั้งสองหลังและได้ยินเสียงเรียกเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่บนเส้นทางแห่งเทพหรือไม่ แรงดึงดูดอันร้ายกาจนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบมากนัก
ดูเหมือนว่าทั้งโลกจะเหลือเพียงเขาและสัตว์เลี้ยงของเขาเท่านั้น…
ร่างแยกที่อ่อนแอรู้สึกเหงาขึ้นมาทันใด นี่คือสิ่งที่เทพปีศาจต้องการหรือ?
ช่างน่าเบื่อเสียจริง
ร่างหลักคงอยู่ในวังด้วยสินะ?
ร่างอ่อนแอที่พิงสัตว์อสูรค่อย ๆ ยืนตรง แล้วเดินไปทิศทางที่วังเริ่มหายไป
เมื่อทุกคนเข้าไปในวังทั้งสองหลังแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเฝ้าเส้นทางแห่งเทพอีกต่อไป เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์และศัตรูคู่อาฆาตต้องอยู่ที่นั่นแน่
เมื่อร่างแยกหมายเลขเจ็ดมาถึงป่าต้นไม้หน้าคนมนุษย์ ที่นี่ก็ไม่เหลือสภาพป่าอีกต่อไป เพราะที่ที่ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวจะเรียกว่าป่าได้อย่างไร?
ช่างอ้างว้างเสียจริง
พื้นใต้ดินทั้งหมดเต็มไปด้วยน้ำสีน้ำตาลดำเหนียว มีฟองผุดขึ้นมา ด้านบนและมีหมอกพิษสีแดงเข้มลอยอยู่ด้านบน
คนป่วยผอมแห้งทำจมูกย่นด้วยความรังเกียจ แล้วเหยียบลงไป
ทันใดนั้นภาพที่น่าประหลาดใจพลันปรากฏขึ้น น้ำเถ้าวิญญาณอันชั่วร้ายไม่ได้ละลายคนป่วยผอมแห้ง แต่กลับเปิดทางให้เขา เพื่อนำไปสู่ทะเลเถ้าวิญญาณโดยตรง
ร่างแยกของคนป่วยผอมแห้งรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เท้าทั้งสองก้าวเข้าไปในเส้นทางที่เปิดออกโดยไม่รู้ตัว แล้วหยุดลงในทะเลเถ้าวิญญาณที่เกือบจะหายไปแล้ว
ในเวลาเดียวกันมีเสียงในใจคอยเร่งเร้าให้เขาเข้าไปในทะเล บอกว่าถ้าช้าจะไม่ทันการ
คนป่วยผอมแห้งไม่ได้ทำตาม แต่กลับถอยหลังแล้วหันตัวเดินจากไป
เขาไม่ได้ถูกพลังลึกลับดึงดูด และไม่ได้ถูกน้ำเถ้าวิญญาณโจมตี เขากลับเดินจากไปอย่างโอหังเลยทีเดียว!
เมื่อร่างของเขาหายไป น้ำที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในทะเลเถ้าวิญญาณก็หายไปเช่นกัน
ป่าต้นไม้หน้าคนกลายเป็นดินแดนแห่งความตาย หมอกพิษและพลังแห่งความตายนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ฟองที่ผุดขึ้นจากน้ำเถ้าวิญญาณสีน้ำตาลดำแตกพร้อมกันในเวลาเดียวกัน วิญญาณอาฆาตและดวงวิญญาณที่ถูกละลายเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นในลักษณะที่ต่างไปจากเดิม
คราวนี้พวกมันได้ครอบครองร่างมนุษย์ แต่ร่างกายนั้นผอมแห้งดั่งกิ่งไม้ ทุกส่วนดูราวกับถูกปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ดูประหลาดพิลึกยิ่งนัก ที่แปลกไปกว่านั้นคือสีผิวของพวกมันเป็นสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ ดวงตาไร้ชีวิตชีวา เมื่อลุกขึ้นยืนก็โงนเงนไปมา แม้แต่จะยืนให้มั่นคงยังทำไม่ได้
หากหลิงเยว่อยู่ที่นี่คงรู้สึกคุ้นตากับร่างที่ถูกปะติดปะต่อเหล่านี้ เพราะพวกมันช่างคล้ายคลึงกับคนตายเป็นที่ปรากฏขึ้นหลังจากการสังหารหมู่ที่หมู่บ้านต้าสี่
อีกทั้งยังคล้ายกับศพที่ถูกปะติดปะต่อและคนตายทั้งเป็นนับไม่ถ้วนของนิกายซากศพ
คนตายเป็นที่เมื่อครู่ยังเดินสะเปะสะปะ บัดนี้ดูเหมือนจะปรับตัวเข้ากับร่างกายได้แล้ว จึงเริ่มก้าวเดินอย่างรวดเร็ว จากหนึ่งคน สองคน… กลายเป็นฝูงแล้วฝูงเล่า พวกมันออกจากป่าต้นไม้มนุษย์ มุ่งหน้าไปยังทิศทางต่าง ๆ อย่างมีจุดหมาย
……….