ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 477 นางแค่เหม่อลอยไปหน่อย
……….
บทที่ 477 นางแค่เหม่อลอยไปหน่อย
สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกผู้บำเพ็ญเซียน หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อไม่รู้ เพราะพวกเขาถูกเชิญเข้าไปในวิหารทำลายเทพ ในชั่วพริบตาก็ถูกพลังแห่งความตายห้อมล้อม แสงสีทองถูกกลืนกินทีละชั้น ๆ ขณะที่แสงทองหม่นลง หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อยังคงเพิ่มระดับการบำเพ็ญต่อไป แม้จะถึงขอบเขตเซียนลึกล้ำขั้นปลายโดยสมบูรณ์แล้วก็ตาม
“เขาต้องการให้พวกเราระเบิดร่างหรือ?”
ต้องยอมรับว่าวิธีการนี้ช่างรวดเร็วและเด็ดขาด!
หลิงเยว่พยายามต้านพลังแห่งความตายที่แทรกซึมเข้ามาทุกอณู แต่ไม่สามารถหยุดยั้งเมล็ดพันธุ์ที่หิวโหยได้ นางยังคงดูดซับพลังแห่งความตายอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อโม่จวินเจ๋อเห็นหน่อเล็ก ๆ งอกออกมาจากเมล็ดพันธุ์ครึ่งหนึ่ง เขาก็หยุดขัดขวางการรุกรานของพลังแห่งความตาย
แม้จะไม่รู้ว่าวิหารทำลายเทพต้องการอะไร แต่การกระทำในตอนนี้ชัดเจนว่ากำลัง ‘บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์’ เขาไม่อยากขัดขวางมากนัก
ท้ายที่สุดแล้วแม้หลิงเยว่จะมีระดับการบำเพ็ญขอบเขตเซียนลึกล้ำขั้นปลาย นอกจากเมล็ดพันธุ์ครึ่งซีกจะเพิ่มความแข็งแกร่งของแสงทองป้องกันแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีหน่ออะไรงอกขึ้นมา แต่ตอนนี้ภายใต้การรดน้ำด้วยพลังแห่งความตายอย่างต่อเนื่อง มันกลับงอกหน่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น…
ไม่ใช่ โม่จวินเจ๋อคิดว่าสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ แต่เป็นต้นไม้แห่งชีวิตที่สมบูรณ์และเติบโตเต็มที่ ดังนั้นจึงวางแผนทั้งหมดนี้อยู่เบื้องหลัง
สุดท้ายแล้วคนคนนั้นคือใครกันแน่…
“ขยับสิ เหตุใดท่านถึงไม่ขยับเล่า!”
แม้ว่าร่างแท้จะงอกงามแล้ว หลิงเยว่กลับไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย นางเพียงต้องการให้ร่างแท้หยุดดูดซับพลังแห่งความตาย ตอนนี้เมื่อเห็นโม่จวินเจ๋อหยุดชะงัก นางก็ยิ่งเอ่ยปากเร่งเร้า
“ท่านขยับไม่ได้อีกแล้วหรือ?”
โม่จวินเจ๋อส่ายหน้า “ข้าไม่อาจหยุดยั้งได้”
ร่างแท้ของหลิงเยว่กับพลังแห่งความตายตอนนี้เป็นเสมือน ‘แรงดึงดูด’ ไม่อาจหยุดยั้งได้
“เจ้าก็หยุดเถิด”
“ข้าไม่ยอม!”
แม้หลิงเยว่รู้ว่าไม่อาจหยุดยั้งได้ แต่นางยังไม่ยอมแพ้ นางจำต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อแสดงความมุ่งมั่นของตน!
นั่นคือสิ่งที่ถูกหลอมรวมจากวิญญาณของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน วิญญาณผู้ถูกฆ่าและวิญญาณอาฆาตแค้น ทุก ๆ ลมหายใจที่ร่างแท้ดูดซับเข้าไป ล้วนเป็นชีวิตหลายสิบชีวิต!
หลิงเยว่ไม่อาจยอมรับร่างแท้ที่เติบโตด้วยชีวิตของผู้อื่น เพราะไม่อย่างนั้นนางจะต่างอะไรกับคนที่วางแผนเรื่องทั้งหมดนี้เล่า?
หากนางได้รับผลประโยชน์นั้น เท่ากับนางคือต้นเหตุแห่งความตายของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน ความคิดของผู้อยู่เบื้องหลังช่างชั่วร้ายนักที่ให้นางแบกรับบาปกรรมที่พวกเขาก่อ
คาดว่าคงต้องรอจนนางเติบโตเป็นต้นไม้สูงใหญ่ ชำระล้างความแค้นของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนแล้ว ค่อยไปเก็บเกี่ยวต้นไม้แห่งชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของนาง!
ครึ่งหนึ่งที่อยู่ในร่างของเทพปีศาจจะมีชะตากรรมเดียวกันหรือไม่?
คำตอบคือใช่แน่นอน
เพียงแต่หลิงเยว่ดูดซับพลังแห่งความตาย ส่วนอีกครึ่งของนางกำลังดูดซับพลังแห่งความแค้นและพลังปีศาจอย่างบ้าคลั่ง เมล็ดสีทองอร่ามเปลี่ยนเป็นสีดำทอง แสงสีทองถูกปกคลุมด้วยสีแดงจาง ๆ
และหน่อที่งอกออกมาก็มีสีดำทองเช่นกัน
เทพปีศาจทำเช่นเดียวกับโม่จวินเจ๋อ พวกเขายอมแพ้
โม่จวินเจ๋อเห็นหลิงเยว่มีสีหน้าไม่พอใจ มองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ปากยังคงบ่นพึมพำอย่างไร้เสียง สุดท้ายจึงยอมขยับตัว
พลังทั้งหมดของทั้งสองคน รวมถึงมนุษย์เงือกที่ถูกปลุกให้ตื่นและวิญญาณที่เหลืออยู่มากมาย เพียงแค่หยุดยั้งพลังแห่งความตายได้เล็กน้อยเท่านั้น
“ไม่มีทางแล้ว ยอมแพ้เถอะ…”
เป็นครั้งแรกที่วิญญาณเหล่านั้นรู้สึกหมดแรง เหนื่อยล้า จนอยากจะหลับไปเช่นนี้
หลิงเยว่เหลือบมองด้วยหางตา ทันใดนั้นนางก็ดึงมือออก ทำให้วิญญาณที่ตื่นขึ้นมาทั้งหมดสลบไป แล้วจัดการซ่อนพวกเขาไว้ในส่วนลึกที่สุดของร่างกาย
วิญญาณของพวกเขากำลังจางหายไป แม้แต่วิญญาณที่เหลืออยู่ของสนมปีศาจที่หกก็ยังอยู่ในสภาพกึ่งตายกึ่งเป็น
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพลังแห่งความตาย หลิงเยว่เลยไม่กล้าปล่อยให้พวกเขาออกมาช่วยอีกแล้ว
โชคดีที่พบได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้น… บาปของนางจะยิ่งหนักขึ้นอีก
“ท่านคิดหาทางแก้เร็วเข้า!” หลิงเยว่รู้สึกกังวลยิ่งนัก
มีเพียงการกำจัดเขาอีกฝ่ายเท่านั้น…
“แน่ใจหรือว่าพวกเราสองคนจะสามารถกำจัดเขาได้?”
“ไม่ได้หรอก แต่ถ้าเพิ่มเทพปีศาจและอีกครึ่งของเจ้าเข้าไป บางทีอาจมีความหวัง”
โม่จวินเจ๋อพูดจบ หลิงเยว่ก็อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที “จะให้ข้าร่วมมือกับศัตรูที่ทำลายสำนักของข้าหรือ?! เช่นนั้นข้าขอร่วมมือกับคนที่อยู่เบื้องหลังเพื่อฆ่าเขาเสียดีกว่า!”
เมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นหรือตาย โลกใบนี้จะกลายเป็นอย่างไร แต่นางคงตายไปแล้ว จะสนใจอะไรมากมายเล่า?
อย่างไรก็ต้องแก้แค้นก่อน! การร่วมมือนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
“อืม ก็ได้”
ตอนนี้โม่จวินเจ๋อดูว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ พอจะปลอบประโลมอารมณ์ของหลิงเยว่ได้บ้าง
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน หน่อที่สองก็โผล่ออกมา หน่ออ่อนเป็นสีทองอร่าม ดูน่าชื่นชมเป็นพิเศษ
พลังแห่งความตายที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเห็นหน่อสองต้นนี้ ดูเหมือนจะหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะบุกรุกต่อด้วยท่าทีที่บ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม
พลังแห่งความตาย พลังปีศาจ พลังวิญญาณ พลังเซียน และเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
ผู้อยู่เบื้องหลังต้องการดัดแปลงหรือทำให้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตเปื้อนมลทิน เพื่อให้ได้ต้นไม้ต้นใหม่อย่างนั้นหรือ?
“เจ้าต้องควบคุมจิตใจให้มั่นคง อย่าให้พลังแห่งความตายมีผล…”
โม่จวินเจ๋อยังพูดไม่ทันจบ หลิงเยว่ก็มองเขาด้วยสายตาประหลาด
สายตาประหลาดนั้นวูบหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับเป็นปกติ
“เมื่อครู่ท่านพูดอะไรกับข้าหรือ?”
โม่จวินเจ๋อไม่ตอบ แต่หัวใจของเขากลับจมดิ่งลงสู่ก้นเหว
พลังแห่งความตายมหาศาลเช่นนี้ หลิงเยว่จะไม่ได้รับผลกระทบได้อย่างไร?
“เจ้าไม่ได้ยินสิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่หรือ?”
“อืม เมื่อครู่ข้ากำลังต้านพลังแห่งความตาย จึงเหม่อลอยไปหน่อย”
เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นแค่การเหม่อลอย หลิงเยว่ไม่เคยแสดงสายตาประหลาดเช่นนี้มาก่อน เมื่อครู่จะต้องมีสิ่งสกปรกบางอย่างบุกรุกเข้าไปในวิญญาณของนางแน่ เพียงแต่นางไม่ทันสังเกต
แสงสีขาวบริสุทธิ์ของลูกแก้ววิญญาณห่อหุ้มวิญญาณของหลิงเยว่เอาไว้ เส้นแสงบาง ๆ แทรกซึมเข้าไปในวิญญาณของหลิงเยว่ พยายามค้นหาสิ่งสกปรกที่ซ่อนตัวอยู่
“ท่านกำลังทำอะไร?” หลิงเยว่ถามเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติในวิญญาณของตน
นางมีแสงทองคุ้มครองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ลูกแก้ววิญญาณ ทำไมโม่จวินเจ๋อถึงต้องทำเกินความจำเป็นเช่นนี้?
“เจ้ารู้สึกแค่ว่าตัวเองเหม่อลอยไปเท่านั้นหรือ?”
“แล้วจะเป็นอะไรเล่า?”
หลิงเยว่เหลือบมองโม่จวินเจ๋อแล้วยิ้มให้เขา แต่รอยยิ้มนี้ไม่ได้อบอุ่นและเยียวยาเหมือนเช่นเคย กลับแฝงไว้ด้วยความน่าขนลุก มุมปากที่ยกขึ้นดูเหมือนกำลังเยาะเย้ยและท้าทายเขามากกว่า
ดูเหมือนมั่นใจว่าลูกแก้ววิญญาณและแสงทองแห่งการปกป้องไม่สามารถค้นพบสิ่งสกปรกที่ซ่อนอยู่ในวิญญาณของหลิงเยว่แน่นอน
สีหน้าของโม่จวินเจ๋อเปลี่ยนเป็นหม่นหมองในทันที
หลิงเยว่ที่กลับคืนสู่ร่างเดิมของนางอีกครั้ง รู้สึกงุนงงอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับโม่จวินเจ๋อที่จู่ ๆ ก็ทำหน้าบึ้งตึง
นางยิ้มให้เขา แต่เขากลับทำหน้าบึ้งงั้นหรือ?!
“ข้าไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เจ้า แต่วิญญาณของเจ้าถูกพลังแห่งความตายเปรอะเปื้อนแล้ว” โม่จวินเจ๋อเก็บสีหน้าหม่นหมองไว้
“!!!”
“อะไรนะ ท่านว่าอะไรนะ?!”
หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดนางถึงไม่รู้สึกอะไรเลยเล่า?