ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 478 ปัญหาที่ยากที่สุดของวิหารเชิญเซียน
บทที่ 478 ปัญหาที่ยากที่สุดของวิหารเชิญเซียน
หลิงเยว่ตรวจสอบวิญญาณของตนเองอย่างละเอียด ราวกับใช้แว่นขยายส่องดู แต่ยังไม่พบแหล่งที่มาของสิ่งปนเปื้อนนั้น วิญญาณของนางยังคงบริสุทธิ์เช่นเดิม
“มันมีความสามารถมาก”
ไม่เพียงแต่หลบการค้นหาของลูกแก้ววิญญาณได้ แม้แต่แสงทองปกป้องก็ไม่อาจทำลายมันได้
“แน่ใจหรือว่าไม่ได้มองผิดไป?”
หลิงเยว่ยอมแพ้เพราะหาไม่เจอจริง ๆ
ถ้าครั้งแรกอาจจะมองผิดได้ แต่โม่จวินเจ๋อมั่นใจว่าครั้งที่สองไม่ได้มองผิดแน่นอน!
“ระบบ ถ้าเจ้าไม่ออกมาตอนนี้ ข้าจะซ่อนเจ้าไว้ไม่ได้แล้วนะ!”
หลิงเยว่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากระบบ แม้โอกาสที่มันจะโผล่ออกมาจะน้อยมาก แต่ยังมีความหวังอยู่บ้าง
แต่ระบบไม่ได้โผล่ออกมา นั่นหมายความว่าให้นางแก้ปัญหาเองใช่ไหม?
แม้ว่าตอนนี้ระบบจะแกล้งตาย ซึ่งไม่มีผลกระทบอะไรต่อหลิงเยว่ แต่ตอนนี้พวกนางเป็นหนึ่งเดียวกัน หากระบบถูกจับได้ นางก็ต้องพินาศไปด้วย
ในตอนนี้ร่างแท้จริงของหลิงเยว่ได้เติบโตจากเมล็ดพืชครึ่งเมล็ดจนกลายเป็นต้นกล้าเล็ก ๆ ครึ่งต้น ต้นกล้านั้นดูราวกับถูกใครบางคนใช้มีดคมกริบผ่าครึ่งตรงกลาง รอยตัดนั้นดูเรียบเป็นพิเศษ เมื่อสังเกตอย่างละเอียด โม่จวินเจ๋อยังสามารถเห็นเส้นพลังแห่งความตายที่บางกว่าเส้นผมวูบผ่านไป
นั่นคือมันใช่หรือไม่!?
โม่จวินเจ๋อลงมือทันทีที่เห็นพลังแห่งความตาย แต่ด้วยพลังขอบเขตเซียนลึกล้ำขั้นปลายโดยสมบูรณ์ในตอนนี้ กลับช้ากว่ามันไปหนึ่งก้าว!
พลังแห่งความตายหายวับไปในพริบตา ไม่เหลือร่องรอยใด ๆ อีกเลย
โม่จวินเจ๋อกำมือใต้แขนเสื้อไว้แน่น น่าตายนัก! ตอนนี้แม้แต่เส้นพลังแห่งความตายสักเส้นเขาก็ไม่สามารถจับได้แล้วหรือ?
ควรทำอย่างไรดี? ในเมื่อระบบพึ่งพาไม่ได้ ตัวหลิงเยว่เองก็ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและร่างแท้จริง หลิงเยว่จึงได้แต่พึ่งพาโม่จวินเจ๋อเท่านั้น
อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่กลับมาเกิด น่าจะพึ่งพาได้กระมัง?
โม่จวินเจ๋ออยากจะบอกว่าพึ่งพาไม่ได้ แต่มันช่างพูดยากเหลือเกิน เขาได้แต่เอ่ยว่า “เจ้าเพียงแค่รักษาจิตใจของตัวเองไว้ อย่าให้ถูกกระทบกระเทือนก็พอ”
เมื่อไม่อาจค้นหาสิ่งสกปรกที่ซ่อนอยู่ ก็ใช้ปฐมวิญญาณของเขาชำระล้างพลังแห่งความตายให้หลิงเยว่แทนแล้วกัน
โม่จวินเจ๋อเปลี่ยนจากท่ายืนเป็นนั่งขัดสมาธิ ค่อย ๆ ปิดตาลง ส่วน ปฐมวิญญาณที่หลับตาอยู่กลับลืมตาขึ้น เขาอ้าปากน้อย ๆ ดูดต้นกล้าเล็ก ๆ ที่งอกจากเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในปาก
โม่จวินเจ๋อขนาดย่อส่วนเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า หลิงเยว่ที่กำลังนั่งยอง ๆ อยู่ข้างกายเขายังเห็นเส้นเลือดเล็ก ๆ ของเขากลายเป็นสีทอง… แต่มีเส้นสีเทาแฝงอยู่อย่างคลุมเครือ
สีเทา…
พลังแห่งความตาย!
นี่คือสิ่งสกปรกนั้นใช่หรือไม่?
สายตาของหลิงเยว่พลันเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ แล้วกลายเป็นความมืดมน มือของนางบีบคอโม่จวินเจ๋อย่อส่วนอย่างแรงโดยไม่อาจควบคุมได้
เพียงออกแรงนิดหน่อยก็สามารถบีบคอของปฐมวิญญาณให้แหลกได้ แต่เมื่อ ‘มัน’ กำลังจะออกแรง มือขวาที่เป็นกายเนื้อกลับกลายเป็นวิญญาณทะลุผ่านร่างของปฐมวิญญาณไป
ครั้งนี้หลิงเยว่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าวิญญาณของนางถูกสิ่งสกปรกควบคุม ถึงกับคิดจะใช้มือของนางฆ่าโม่จวินเจ๋อด้วย อภัยให้ไม่ได้!
ลูกแก้ววิญญาณแปรเปลี่ยนจากแสงสว่างเป็นเส้นใยสีขาวนับพันเส้น พวกมันพันร่างของหลิงเยว่ จนนากลายเป็น ‘ดักแด้’ ไม่มีช่องว่างแม้แต่น้อย
หากสิ่งสกปรกสามารถพูดได้ คงจะด่าทอแม่นางเสียยกใหญ่
ต้นกล้าศักดิ์สิทธิ์ถูกปฐมวิญญาณชำระล้างด้วยร่างกาย ตอนนี้วิญญาณของมันก็ผูกมัดตัวเองเช่นกัน แม้มันอยากจะก่อเรื่อง ลูกแก้ววิญญาณก็ไม่อนุญาต!
พลังแห่งความตายจำนวนมหาศาลท่วมทับโม่จวินเจ๋อ พวกมันพุ่งชนไปมาในร่างกายของเขา แต่ทุกครั้งแสงแห่งการปกป้องก็จะดูดซับพลังแห่งความตายได้อย่างเหมาะเจาะ จากนั้นก็คายสิ่งสกปรกที่ซ่อนอยู่ภายในออกมา
โดยมีลูกแก้ววิญญาณจัดการทำลายสิ่งสกปรกนั้นอีกครั้ง
ทั้งสองร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ แต่พลังแห่งความตายกลับคลั่งมากขึ้น
ใบหน้าของโม่จวินเจ๋อเป็นสีเทาซีดดั่งคนตาย ร่างกายภายนอกถูกปกคลุมด้วยพลังแห่งความตายหนาแน่น หากไม่ใช่เพราะยังเห็นโครงร่างของมนุษย์ คงไม่คิดว่าตรงนั้นมีคนนั่งอยู่ด้วย
“นี่คือคนตายหรือคนเป็นกันแน่?”
เสียงคนดังขึ้นในวังที่มืดมิดเงียบสงัด ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ เข้ามาใกล้
เบื้องหลังยังมีบุรุษรูปงามยืนอยู่อีกหนึ่งคน
บุรุษรูปงามเล่อเหอ มองดู ‘ศพ’ หลายครั้ง แน่ใจว่านี่อาจเป็นร่างของผู้ที่ถูกพลังแห่งความตายสังหาร โดยไม่รู้เลยว่า ‘ศพ’ นี้คือศิษย์สุดที่รักของเขาเอง
“ช่างน่าสงสารเหลือเกิน…”
ผู่ตานก็ไม่รู้เช่นกันว่าใน ‘ศพ’ นี้ยังซ่อนศิษย์น้องสุดที่รักที่เขาตามหาอย่างยากลำบากอยู่ด้วย
โม่จวินเจ๋อที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ในตอนนี้เขาไม่อาจทำอะไรได้ จึงนิ่งเงียบเป็น ‘ศพ’ ให้อาจารย์และผู่ตานมองดูอยู่เช่นนั้น
“ข้าคิดว่าวิหารนี้คงอันตรายมาก แต่กลับไม่มีอะไรเลย ด้อยกว่าวิหารบูชาปีศาจที่ข้าและศิษย์น้องเคยเข้าไปเสียอีก”
ผู่ตานผู้มีหงส์ทองคำแก่นปราณแสงไม่กลัวพลังแห่งความตายแม้แต่น้อย เขานั่งลงข้าง ‘ศพ’ เห็นได้ชัดว่าเขาเดินจนเหนื่อยแล้ว จึงต้องการพักผ่อนสักครู่
“จริงด้วย” เล่อเหอรู้สึกสงสัยเช่นกัน เขาเตรียมพร้อมที่จะตายแล้ว แต่ดูเหมือนการเตรียมตัวนั้นจะสูญเปล่า “งั้นรอพบคนอื่นแล้วเราค่อยออกไปเถอะ”
ทั้งที่ถูกดูดเข้ามาในวิหารเชิญเซียนพร้อมกัน ทำไมสุดท้ายจึงเหลือแค่พวกเขาสองคนล่ะ?
ผู่ตานลุกพรวดจ้อง ‘ศพ’ เขม็ง “พลังแห่งความตายกำลังวนเวียนรอบกายข้า แล้วไหลเข้าสู่ร่างไร้วิญญาณนี้!”
“เขากำลังดูดซับพลังแห่งความตายอยู่หรือ?”
เล่อเหอไม่มีแก่นปราณแสง จึงไม่ไวต่อพลังแห่งความตาย เลยไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของ ‘ศพ’ นี้แต่แรก เมื่อได้ยินผู่ตานกล่าวเช่นนั้น เขาจึงถอยห่างจาก ‘ศพ’ โดยไม่รู้ตัว
การที่สามารถดูดซับพลังแห่งความตายได้ แสดงว่าคนในร่างนั้นยังไม่ตายสนิท อาจจะโจมตีพวกเขาได้ทุกเมื่อ!
“หากเป็นเช่นนั้น พวกเราควรฉวยโอกาสนี้…”
ผู่ตานค่อย ๆ ถอยหลัง แล้วทำท่าเชือดคอให้เล่อเหอดู การดูดซับพลังแห่งความตายจำนวนมาก ไม่มีทางเป็นสิ่งดีแน่ หากลงมือก่อนก็จะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้
เล่อเหอคิดเช่นเดียวกัน มือขวาที่ว่างเปล่าพลันปรากฏกระบี่สีขาวดั่งหยก แต่พอเขาฟันลงไป…
กระบี่กลับหยุดอยู่ที่ไหล่ของโม่จวินเจ๋อ ไม่ว่าเล่อเหอจะออกแรงหรือใช้พลังเซียนทั้งหมดฟันลงไปอย่างไร กระบี่ก็ไม่สามารถขยับได้เลย
แม้จะกลายเป็นศพแล้ว แต่ร่างกายยังมีสัญชาตญาณป้องกันตัว แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“ข้าจะลองดู”
เมื่อกระบี่ไม่สามารถทำร้ายศพได้ ก็ลองใช้ไฟหงส์เผาดูแล้วกัน
เปลวไฟสีทองพุ่งขึ้นมาที่ปลายนิ้วของผู่ตาน เมื่อเขาโยนมันออกไป ไฟยังไม่ทันแตะถูกศพก็ดับวูบไปเสียแล้ว
เล่อเหอและผู่ตาน “???”
สองคนสบตากันแล้วถอยหลังอีกครั้ง กระบี่ฟันไม่เข้า ไฟเผาไม่ติด แถมยังดูดซับพลังแห่งความตายได้มหาศาล คราวนี้พวกเขาคงเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในวิหารแห่งนี้เสียแล้ว!
รีบหนีดีกว่า!
ทั้งสองหันหลังกลับ กำลังจะเผ่นแน่บ แต่กลับพบว่าเท้าทั้งสองข้างถูกตรึงไว้เสียแล้ว
“ข้าขอโทษด้วย พวกข้าแค่ล้อเล่นกับท่านเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายท่านจริง ๆ หรอก ช่วยปล่อยพวกข้าไปสักครั้งได้ไหม?”
ผู่ตานที่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นประจบประแจงทำให้เล่อเหอพูดไม่ออก และยิ่งทำให้โม่จวินเจ๋อที่กำลังจะเอ่ยปากต้องตกอยู่ในความเงียบงัน
……….