ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 479 กำลังอยู่บนเส้นทาง
บทที่ 479 กำลังอยู่บนเส้นทาง…
ความเงียบแผ่ขยายท่ามกลาง ‘ศพ’ เป็นเวลานาน นานจนผู่ตานและเล่อเหอคิดว่าศพที่ยังไม่ตายสนิทครั้งนี้กลายเป็นศพจริง ๆ ขณะที่พวกเขากำลังจะเดินจากไปอีกครั้ง ศพนั่นก็เอ่ยปาก
“ผู่ตาน ท่านอาจารย์ นี่ข้าเอง”
“!!!”
ผู่ตานและเล่อเหอมองหน้ากันอย่างงุนงง คนแรกรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหูมาก ราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน โอ้! ศพรู้จักชื่อของเขาด้วยหรือ?!
ส่วนคนหลังลูกตาแทบจะถลนออกมา เขามีศิษย์แค่คนเดียว ถึงจะกลายเป็นเถ้าถ่านเขาก็ยัง… เอ่อ ตอนนี้แค่ถูกพลังแห่งความตายปกคลุมเขากลับจำไม่ได้แล้ว ถ้าอีกฝ่ายกลายเป็นเถ้าถ่านจริง เขาคงจำไม่ได้แน่ ๆ
เพียงแต่ทำไมเสียงของศิษย์ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย?
ฟังดูเป็นผู้ใหญ่และเย็นชาขึ้น ถึงจะแปลกแต่ฟังดูไพเราะดี
“โม่จวินเจ๋อ?!”
“พวกเรากำลังอยู่บนเส้นทาง… หลิงเยว่อยู่ในร่างของข้า”
“อะไรคือกำลังอยู่บนเส้นทาง? ที่นี่เป็นทางไปสู่แดนเทพหรือ?” เล่อเหอย่อตัวลงอีกด้านหนึ่ง พลางสำรวจศิษย์ของตนไม่หยุด ครุ่นคิดว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนถึงจะช่วยคนออกมาจากวงล้อมของพลังแห่งความตายได้
“อะไรนะ?! เจ้ากลืนกินศิษย์น้องห้าของข้าเหรอ? ข้าจะฆ่าเจ้า!!” ผู่ตานตะโกนด่าทอ แต่ร่างกายกลับไม่ขยับ ไม่ใช่เพราะขยับไม่ได้ แต่เพราะรู้ว่าโม่จวินเจ๋อไม่ใช่คนแบบนั้น
“ข้าไม่ได้กลืนกิน หลิงเยว่ยังปลอดภัยดี พวกเจ้ารีบไปหาทางออกก่อนที่วิหารยังไม่ฟื้นคืนสภาพสมบูรณ์เถอะ อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย”
“อะไรคือยังไม่ฟื้นคืนสภาพสมบูรณ์?” แน่นอนว่าเล่อเหอไม่อยากไป พวกเขาพบกันอย่างยากลำบากก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก่อนสิ!
นี่เป็นเพียงการคาดเดาของโม่จวินเจ๋อ ที่ว่าเหตุใดวิหารจึงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจเป็นเพราะสิ่งสำคัญที่สุดยังไม่ถูกเปิดใช้งาน และสิ่งนั้นอาจเป็นต้นไม้แห่งชีวิตที่เติบโตเต็มที่
พลังแห่งความตายทั้งหมดของวิหารเข้าแถวรอรดน้ำเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ การคาดเดาของโม่จวินเจ๋อคงเป็นจริงถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว
โม่จวินเจ๋ออธิบายคร่าว ๆ จากนั้นก็เร่งให้ทั้งสองคนไปหาทางออก
“เจ้าไม่ไปหรือ?” เท้าทั้งสองข้างของผู่ตานราวกับถูกตรึงด้วยตะปู ไม่ยอมทิ้งโม่จวินเจ๋อไว้ที่นี่เด็ดขาด อย่างน้อยก็ให้เขาได้พาศิษย์น้องห้าไปด้วยสิ
“ไม่ใช่ว่าเขาไม่เต็มใจจะไป แต่เป็นเพราะไปไม่ได้” สีหน้าของเล่อเหอเคร่งขรึม แม้เขาจะไม่ไวต่อพลังแห่งความตาย แต่รับรู้ได้ถึงพลังแห่งความตายที่กำลังหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของโม่จวินเจ๋ออย่างต่อเนื่อง
ดูเหมือนว่าพลังแห่งความตายนี้ถูกบังคับให้ดูดซับเข้าไป
แต่ศิษย์ของเขาก็ร้ายกาจนัก สามารถดูดซับพลังแห่งความตายปริมาณมหาศาลโดยไม่มีทีท่าว่าจะระเบิดร่างเลย ทำได้อย่างไรกัน?
โม่จวินเจ๋อไม่ได้ปิดบัง ร่างกายของเขาเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ส่งพลังแห่งความตายให้กับร่างแท้ของหลิงเยว่ ตอนนี้ทั้งสองคนไม่มีใครสามารถไปไหนได้ทั้งนั้น
“ศิษย์น้อง ศิษย์น้อง เจ้าได้ยินข้าพูดหรือไม่?”
ผู่ตานเรียกชื่อของหลิงเยว่ใส่ร่างโม่จวินเจ๋อไม่หยุด แต่น่าเสียดายที่ตะโกนจนคอแห้งก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองแม้แต่น้อย
“เจ้าไม่ได้กลืนกินหลิงเยว่จริง ๆ ใช่ไหม?!” สายตาของผู่ตานที่มองโม่จวินเจ๋อเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว หากว่าคนผู้นี้กลืนกินศิษย์น้องของเขาจริง เขาจะไล่ล่าอีกฝ่ายไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวเแน่นอน!
โม่จวินเจ๋อไม่อยากอธิบายอะไรอีก สิ่งที่ควรพูดเขาได้พูดไปหมดแล้ว จะเชื่อหรือไม่คงแล้วแต่ อย่างไรเสียตอนนี้ผู่ตานก็ไม่สามารถทำอันตรายอะไรเขาได้
ผู่ตานยื่นมือออกไปอย่างไม่รู้ตัว แสงนั้นตกลงบนฝ่ามือของเขาในชั่วพริบตา แล้วยังลูบไล้ปลายนิ้วของเขาอย่างสนิทสนม
“ศิษย์น้องหรือ?”
“ไม่ใช่หรอก”
โม่จวินเจ๋อรู้ว่าหลิงเยว่ที่ห่อหุ้มตัวเองเหมือนดักแด้ไม่สามารถพูดได้ จึงอธิบายแทนนางว่า “นี่คือวิญญาณส่วนหนึ่งของสนมปีศาจที่หก”
ผู่ตานตะลึงไปครู่หนึ่ง ถึงจะเข้าใจความหมาย
วิญญาณส่วนหนึ่งของสนมปีศาจที่หก นั่นหมายความว่านางตายแล้วใช่หรือไม่?
ทำไมจู่ ๆ นางถึงตายเช่นนี้?
ใครเป็นคนทำ!?
ต้องเป็นเทพปีศาจแน่นอน! เทพปีศาจคงไม่ยอมหยุดจนกว่าจะทำลายครอบครัวของเขาทั้งหมด
ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจของผู่ตาน เขาอยากจะหาเทพปีศาจและตายไปพร้อมกันทันที “เทพปีศาจอยู่ที่นี่ด้วยใช่หรือไม่?”
สนมปีศาจที่หกตายด้วยน้ำมือของสิบสองแม่ทัพปีศาจ แม่ทัพปีศาจก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเทพปีศาจ ดังนั้นการที่ผู่ตานจะแก้แค้นเทพปีศาจก็ไม่ผิด
ผู่ตานเก็บเศษวิญญาณของสนมปีศาจที่หกอย่างระมัดระวัง แม้จะรังเกียจวิธีการของแม่แท้ ๆ แต่คนตายก็เหมือนตะเกียงดับ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปคิดมากอะไรอีก
อย่างน้อยตอนอยู่ในเมืองปีศาจ นางก็ปกป้องเขาไว้…
มองดูวิญญาณของสนมปีศาจที่หกที่หายไป ผู่ตานอดนึกถึงอาจารย์ไม่ได้ ร่างแยกของเขายังคงตามหาวิญญาณของเหล่าอาจารย์และศิษย์พี่ในโลกผู้บำเพ็ญ กลับไม่พบเลยแม้แต่น้อย
เทพปีศาจช่างโหดร้ายเหลือเกิน แม้แต่ความหวังสุดท้ายก็ไม่ยอมเหลือไว้ให้เขา!
พอคิดถึงตรงนี้ ผู่ตานยิ่งมุ่งมั่นที่จะฆ่าเทพปีศาจด้วยมือตัวเอง “เขาอยากกลืนกินศิษย์น้องขนาดนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ไล่ตามพวกเจ้ามา?”
“…”
จริงอยู่ เพียงแต่เขาถูกดูดเข้าไปในวิหารเชิญเทพ แต่ที่นี่คือวิหารทำลายเทพ…
“วิหารเชิญเทพ วิหารทำลายเทพอะไรกัน?”
เล่อเหอพูดติดต่อกันสองประโยค ทำให้โม่จวินเจ๋อประหลาดใจยิ่งนัก สองวิหารนี่ควบหน้าที่หลายตำแหน่งหรือ?
หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบกริบ
หลิงเยว่ที่ปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าไว้หมด ไม่ได้ยินการสนทนาภายนอก ‘สิ่งสกปรก’ ก็ไม่อาจบุกรุกเข้าไปในตัวหลิงเยว่ที่ห่อหุ้มตัวเองไว้อย่างมิดชิด มันยังไม่มีร่างกายที่แท้จริงจึงไม่อาจลงมือกับปฐมวิญญาณของโม่จวินเจ๋อได้ ได้แต่รวบรวมพลังแห่งความตายอย่างต่อเนื่อง หวังจะทะลวงการป้องกันของทั้งสอง
ทั้งสองฝ่ายต่างแข่งขันกันอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่งต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เติบโตเป็นต้นกล้าเล็ก ๆ เติบโตขึ้นอีกครั้ง และต้องการพลังแห่งความตายมากขึ้น แม้โม่จวินเจ๋อจะมีพลังขอบเขตเซียนลึกล้ำขั้นปลายโดยสมบูรณ์แล้ว เพียงแค่ผ่านการทดสอบเส้นทางแห่งเทพสำเร็จเขาจะได้รับเทพสัญลักษณ์ดวงที่สอง แต่ยังรับมือกับพลังแห่งความตายเหล่านี้ได้อย่างยากลำบาก
ยิ่งไปกว่านั้นปฐมวิญญาณยังพยายามชำระล้างต้นกล้าของหลิงเยว่ที่ถูกมลทิน ต้องใช้พลังมหาศาล ทั้งยังต้องแบ่งสมาธิไปคุยกับผู่ตานอีก แทบจะรับมือไม่ไหวอยู่แล้ว เขาได้แต่ทิ้งคำพูดไว้ว่า “รีบไปเถิด” หลังจากนั้นก็กลายเป็น ‘ศพ’ อีกครั้ง
ไม่ว่าผู่ตานและเล่อเหอจะร้องเรียกอย่างไรก็ไม่ได้รับคำตอบแม้แต่คำเดียว
ทั้งสองสบตากัน ในที่สุดเล่อเหอก็เอ่ยปากก่อน
“ไปกันเถิด ด้วยพลังของพวกเราตอนนี้ช่วยอะไรไม่ได้มาก ขอเพียงไม่เป็นภาระของพวกเขาก็พอ”
เล่อเหอมีสีหน้าเหนื่อยล้า
เขาเคยภาคภูมิใจว่าเป็นปรมาจารย์กระบี่อันดับหนึ่งในโลกผู้บำเพ็ญ แต่พอมาถึงโลกผู้บำเพ็ญเซียนเขากลับไม่มีค่าอะไรเลย จะไม่ให้เหนื่อยล้าได้อย่างไรล่ะ?
อีกทั้งยามนี้เป็นช่วงที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่เขากลับทำได้เพียง… พยายามไม่เป็นภาระให้แก่ศิษย์
ผู่ตานรู้สึกเช่นเดียวกัน แม้จะรู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งพอแล้ว แต่ทุกครั้งกลับถูกความจริงทำลายความมั่นใจเสียหมด เขาช่วยใครสักคนไม่ได้เลย…