ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 480 ใครบ้างที่ไม่เคยถูกตี?
บทที่ 480 ใครบ้างที่ไม่เคยถูกตี?
ผู่ตานและเล่อเหอมองโม่จวินเจ๋อที่ถูกกลืนหายไปในม่านพลังแห่งความตายจนไม่เห็นเค้าโครงความเป็นมนุษย์อีกต่อไป
ตอนนี้พวกเขาต้องหาทางออกให้เจอ และรีบออกจากที่นี่โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางออกไปได้แล้ว
แต่วิหารหลังนี้ใหญ่โตมโหฬาร มีทั้งจำนวนชั้นและห้องมากมายเกินกว่าที่พวกเขาเคยเห็นมา แล้วจะหาทางออกเจอได้อย่างไร?
อีกอย่าง… จะมีทางออกจริง ๆ หรือ?
แม้ทั้งสองไม่ได้หวังว่าจะมีทางออก แต่ยังคงแยกย้ายกันค้นหา
ทั้งวิหารเงียบสงัด ฉากที่เคยถูกบดบังด้วยพลังแห่งความตายอันหนาแน่นก็ปรากฏให้เห็น เป็นห้องธรรมดา หากจะมีอะไรแตกต่างคงเป็นเตียงใหญ่หรูหราสีขาวดำที่ตั้งอยู่กลางห้อง
ราวกับโลงศพขนาดยักษ์
ผู่ตานขมวดคิ้ว เขาไม่มีความคิดจะเข้าไปเปิดผ้าห่มดูด้วยซ้ำ ทางออกจะมาอยู่ในห้องแรกได้อย่างไร?
ขณะที่กำลังจะถอยออกจากห้อง ผู่ตานก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังมาจากด้านหลัง เขาหันกลับไปโดยสัญชาตญาณ และพบกับใบหน้าขาวซีดราวกระดาษไข
ริมฝีปากสีแดงฉานขยับขึ้นลง ใบหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาว่างเปล่า
ผู่ตานมั่นใจว่าชายผู้นี้คือ ‘ศพเดินได้’ แน่นอน!
ด้วยความคิดที่ว่าอย่าหาเรื่องใส่ตัว เขาจึงถอยไปด้านข้างอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยมาส่งของว่างและสุราให้แขกขอรับ”
ผู่ตานหยิบจานขนมดอกท้อพร้อมเหล้าสมุนไพรออกมาจากแหวนมิติ แล้ววางลงบนโต๊ะอย่างนอบน้อม ระหว่างนั้นไม่กล้าสบตากับศพเดินได้ตรงหน้า ด้วยเกรงว่าหัวใจดวงน้อย ๆ ของตนจะทนไม่ไหว
“โอ้? มีบริการดี ๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?” ศพเดินได้เห็นของว่างและสุราก็ขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าออกแรงมากเกินไปหรือไม่ เนื้อหนังบริเวณคิ้วจึง… หลุดออกมา เผยให้เห็นศีรษะที่ว่างเปล่า
ไม่มีกะโหลกด้วย!
ศพเดินได้ผู้นี้ทำจากกระดาษหรือ?
ทำจากกระดาษ แต่เขากลับมองพลังอีกฝ่ายไม่ออก ไม่สิ… นี่มันทำมาจากหนังคน…
ผู่ตานรู้สึกขนลุกซู่ แต่ยังฝืนไม่แสดงสีหน้าหวาดกลัว ถอยไปที่ประตูห้องอย่างนอบน้อม “เช่นนั้นขอให้ท่านค่อย ๆ ลิ้มรส ข้าน้อยต้องไปส่งของว่างให้แขกท่านอื่นอีก ไม่รบกวนท่านแล้ว”
ศพนั่นไม่ได้ขัดขวาง!
ผู่ตานที่พิงอยู่หน้าประตูรู้สึกร่างอ่อนยวบ ใครกันที่มีวิธีการโหดร้ายทารุณเช่นนี้ ถึงกับลอกหนังของผู้บำเพ็ญขอบเขตเซียนแท้ขึ้นไปทั้งเป็น เพื่อทำเป็น… นี่มัน… ควรบรรยายอย่างไรดี?
คนตายที่เป็นหรือตุ๊กตากระดาษสวมหนังมนุษย์หรือ?
ผู่ตานเพิ่งเคยเห็นสิ่งนี้เป็นครั้งแรก จริง ๆ แล้วไม่รู้ว่าควรเรียกอย่างไรดี…
เสียงเคี้ยวและกลืนดังมาจากในห้อง ทำให้ผู่ตานตกใจรีบวิ่งไปหาเล่อเหอที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ผลคือไม่พบเล่อเหอ แต่กลับเจอ ‘พี่สาวศพ’ เดินมาเผชิญหน้า ผิวของพี่สาวศพขาวเนียนละเอียด แต่… ทั้งร่างดูเหมือนคนที่ถูกปล่อยลม มีลักษณะแบนราบ ทำให้คนที่เห็นครั้งแรกไม่อยากมองเป็นครั้งที่สอง!
“เสี่ยวเอ้อร์คนใหม่ น้ำชาของข้าจะมาส่งเมื่อไหร่?”
พี่สาวศพเริ่มต้นด้วยการซักถาม น้ำเสียงมีความอ่อนหวานนุ่มนวลอยู่บ้าง
ผู่ตาน “…”
“ท่านพักห้องใดหรือ?” ผู่ตานถามอย่างนอบน้อมพลางโค้งคำนับ แท้จริงแล้วเขากำลังเปิดแหวนมิติเพื่อดูว่ายังมีของเหลือพอจะแจกจ่ายให้กี่ห้อง
แปลกนัก เมื่อก่อนตอนที่เขาและบรรพจารย์เล่อเหอถูกดึงเข้ามา ยังไม่มีพวกหนังมนุษย์น่าสยองพวกนี้ ทั้งยังไม่มีห้องที่มองไม่เห็นปลายทางเช่นนี้ด้วย
ไม่นานผู่ตานก็คิดออก คงเป็นเพราะตอนแรกทั้งวิหารถูกปกคลุมด้วยพลังแห่งความตายหนาทึบ จนบดบังศพเหล่านี้ไว้ พอพลังแห่งความตายทั้งหมดถูกดึงไปหาโม่จวินเจ๋อแล้ว จึงเผยให้เห็นสภาพที่แท้จริงของที่นี่
“ข้าอยู่ชั้นหกห้อง 144 รีบส่งขึ้นไปด้วย!”
พี่สาวศพพูดจบก็แสดงกลหายตัวต่อหน้าผู่ตานทันที
นางรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นเสี่ยวเอ้อร์คนใหม่ที่กำลังจะส่งน้ำชาให้?
ผู่ตานชำเลืองมองห้องแรก คงเป็นพี่ชายศพห้องนี้บอกกระมัง คนหนังมนุษย์กินอาหารได้ด้วยหรือ? แถมยังสื่อสารกันได้อีก?
อืม… ที่นี่ชั้นไหนนะ?
ว่าแต่บรรพจารย์เล่อเหอไปไหนแล้ว?
ขณะที่เล่อเหอหันหลัง ผู่ตานอ้าปากค้าง ท่านบรรพจารย์… ตอนนี้หน้าตาบวมช้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะยังสวมชุดเดิมอยู่ เขาคงจำไม่ได้เลย
“รอดแล้ว!” เล่อเหอที่รอดชีวิตออกมาจากห้องได้ ตอนนี้เหลือแต่ความโล่งอก ส่วนเรื่องหน้าตาบวมช้ำอะไรนั่น เขาไม่สนใจเลย
มีใครบ้างไม่เคยโดนตีล่ะ?
“ห้องที่ท่านเข้าไป… ก็มีคนหนังกระดาษด้วยหรือ?”
คนหนังกระดาษ… ช่างเป็นคำที่เหมาะจริง ๆ
เล่อเหอพยักหน้า “เจ้าก็เจอเหมือนกันหรือ?”
สองคนแอบซุ่มอยู่ที่บันไดราวกับขโมย แลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างลับ ๆ
ผลคือเมื่อผู่ตานรู้ว่าเล่อเหอไม่ยอมอยู่ร่วมห้องกับศพ จึงถูกตีออกมา เขาก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
พี่สาวศพเป็นพวกเปิดเผยเช่นนี้หรือ?
“ฮึ! ข้าเป็นบรรพจารย์รักษาความบริสุทธิ์มาพันปี จะยอมสละตัวให้สิ่งน่าเกลียดนั่นได้อย่างไร!”
ก็จริง หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็คงไม่ยอมรับใช้… เอ่อ สิ่งนั้น เพื่อเอาชีวิตรอดเหมือนกัน
“เจอหนึ่งหรือสองคนยังพอหลอกได้ แต่ถ้ามีห้องมากมายเช่นนี้…”
เล่อเหอรู้สึกว่าโอกาสในการหาทางออกช่างริบหรี่นัก ส่วนที่โม่จวินเจ๋อกล่าวว่าวิหารยังไม่สมบูรณ์ จริง ๆ แล้วหมายถึงตอนที่เพิ่งเข้ามาใช่หรือไม่?
ตอนนี้นับว่าตื่นครึ่งหนึ่งแล้วหรือ?
หากตื่นสมบูรณ์จะเป็นเช่นไรกัน?
“ท่านบรรพจารย์ ที่นี่… มีทั้งหมด 144 ชั้น แต่ละชั้นมี 174 ห้อง…” ในขณะที่เล่อเหอเหม่อลอย ผู่ตานก็เริ่มนับ เมื่อได้ผลลัพธ์เขาแทบจะเสียสติ!
ไม่แปลกที่วิหารเชิญเซียนจะสูงเสียดฟ้า ที่แท้มีห้องมากมายถึงเพียงนี้ แล้วพวกเขาจะต้องค้นหาไปถึงเมื่อไหร่กัน?
เล่อเหอตะลึงงัน เขาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “แล้วพวกเราอยู่ชั้นที่เท่าไหร่?”
“อยู่ชั้นที่ 72 ตรงกลางพอดี…”
ผู่ตานนึกว่าพวกเขาอยู่ชั้นแรก ไม่คิดว่าจะเป็นชั้นที่ 72 เสียอย่างนั้น
เล่อเหอลูบคางที่ช้ำเขียว มองดูโม่จวินเจ๋อที่อยู่ชั้นล่าง รู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ถ้าคิดเช่นนี้ จุดที่พวกเขาพบกับศิษย์อยู่ชั้นแรก แล้วทำไมพอก้าวขึ้นบันไดก็มาถึงชั้น 72 เลยเล่า?
“พวกเราลองไปชั้นแรกกันเถอะ”
เล่อเหอพูดพลางวิ่งลงบันได ที่จริงเขาก็ไม่อยากวิ่ง แต่เมื่อครู่ลองกระโดดลงไปทีเดียว ผลคือถูกดีดกลับมา
จึงต้องใช้วิธีวิ่งเท่านั้น
ส่วนเหตุผลที่ต้องลงไปก็เพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยของเขา
สองคนเดินอยู่นาน แม้ว่าจะมุ่งหน้าไปทางทิศของโม่จวินเจ๋อ แต่กลับยิ่งห่างออกไปทุกที
“แปลกจริง!”
“ช่างประหลาดเหลือเกิน เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?!”
ผู่ตานขยี้ผมด้วยความหงุดหงิด นี่มันเป็นสถานที่บ้าบออะไรกันแน่!!!